มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน | Reading Culture Promotion Foundation

What is Literature?

 

 
“ผมไม่อยากมีชีวิตอมตะผ่านผลงานของตัวเอง ผมอยากมีชีวิตอมตะด้วยการไม่ตาย"
 
วูดดี อัลเลน
 
 มั่นใจว่าคนหนึ่งที่จะต้องชอบแก๊กตลกข้างบนนี้ของอัลเลนมากๆ คือฌอง ปอล ซาร์ต   ขณะที่อัลเลนยั่วล้อศิลปินผู้พยายามไขว่คว้าความเป็นอมตะผ่านผลงานศิลปะ ซาร์ตเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งเพื่อวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมดังกล่าว
 
 
                What is Literature? ก็คือหนังสือเล่มนั้น
 
                ซาร์ตวิเคราะห์บทบาทของนักเขียน นักอ่าน และวรรณกรรมฝรั่งเศสตั้งแต่ยุคกลางจนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง   ในยุคกลาง ศาสนาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับวิถีชีวิตของผู้คน   คนที่มีความรู้และเวลาว่างพอจะประกอบอาชีพนักเขียนได้ก็คือเสมียนวัด และคนอ่านก็หนีไม่พ้นพระสงฆ์องค์เจ้าด้วยกันเอง   หัวข้อที่เขียนจึงมักวนเวียนอยู่แต่กับศาสนา   นี่เป็นยุคที่ผู้เขียนและผู้อ่านมีอุดมคติเดียวกัน และคนเราอ่านหนังสือเพื่อเสพย์ความคิดที่เจ้าตัวรู้หรือเชื่ออยู่แต่แรก
 
                ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา โดยเฉพาะหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส เมื่อชนชั้นกระฎุมพีเริ่มเข้ามามีบทบาทในสังคม เมื่อศาสนจักรและอาณาจักรเริ่มแยกออกจากกัน ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวก็เริ่มพังทลาย   "เมื่อนักอ่านแบ่งฝักแบ่งฝ่ายและขัดแย้งกันเอง ทุกสิ่งจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป"   นักเขียนกลายเป็นผู้ยืนอยู่ในตำแหน่งแห่งที่อันพิเศษ   พวกเขาเติบโตและได้รับการศึกษาท่ามกลางชนชั้นสูง แต่ความชอบในศิลปะและวรรณกรรมปลูกฝังความรักอิสรภาพ และความเห็นอกเห็นใจชนชั้นล่าง[1]   แต่แม้ว่านักเขียนจะอยากผลิตวรรณกรรมเพื่อชนชั้นแรงงานสักแค่ไหน ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนประเภทเดียวในสังคมที่จะมีเวลาว่างและความรู้มากกว่าพอจะเป็นนักอ่านก็หนีไม่พ้นชนชั้นปกครองนั่นเอง
 
                ความขัดแย้งเช่นนี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง[2]   พัฒนาการของวรรณกรรมสมัยใหม่จึงเป็นผลิตผลของการรับมือกับสภาพย้อนแย้งดังกล่าว อันนำไปสู่โรคร้ายของนักเขียน นั่นคือการเอาตัวเองเข้าไปอิงแอบกับนิรันดร (eternal)  
 
                พยาธิสภาพของโรคนี้แบ่งออกเป็นสองลักษณะ   ลักษณะแรกเป็นมรดกวิธีคิดที่ตกทอดมาจากนักเขียนในยุคกลาง   ก่อนยุคแห่งการรู้แจ้ง นักเขียนและนักอ่านมีข้อตกลงร่วมกันว่าว่าสัจธรรมในคริสตศาสนาเป็นสัจธรรมสัมบูรณ์ (absolute truth)   คนในยุคนั้นจึงเขียนและอ่านกันแต่เรื่องราวที่เกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิล   แต่เมื่อศาสนาสูญเสียอำนาจในการตีตราสัจธรรมสัมบูรณ์แล้ว นักเขียนจึงหนีเข้าไปหาอดีตกาลแทน   อดีตถูกสร้างขึ้นมาและผ่านการยอมรับโดยชนชั้นปกครองเพื่อให้กลายเป็นสัจธรรมสัมบูรณ์   อดีตคือความสวยงาม ขณะที่ปัจจุบันเป็นเพียงเศษซากอันล่มสลาย   ถึงแม้มนุษย์เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงปัจจุบันให้กลับกลายเป็นอย่างอดีต แต่สิ่งที่เราพอจะทำได้คือหยุดปัจจุบันเอาไว้   อย่าให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปอีกแม้เพียงเล็กน้อย  
 
                สภาพสังคมที่หยุดนิ่งก็คือนิรันดรนั่นเอง   นิยายฝรั่งเศสส่วนใหญ่จึงมักเล่าเรื่องด้วยกิริยาช่องสอง และเป็นบันทึกความทรงจำว่าด้วยเหตุการณ์ในอดีต ที่ถูกแต่งแต้มให้สวยหรูเกินจริง เพื่อตอบสนองอุดมการณ์แบบอนุรักษ์นิยม
 
                อีกพยาธิสภาพของการอิงแอบกับนิรันดรคือการกระโจนหนีไปสู่อนาคต   นักเขียนปฏิเสธที่จะพูดถึงปัญหาสังคมของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่างานศิลปะต้องตอบสนองผู้อ่านที่เป็นสากล[3]   พวกเขาพยายามสื่อถึงความสากลอันเป็นนิรันดร คาดหวังว่า แม้ในวันนี้จะไม่มีใครอ่านงานของพวกเขา แต่สักวันหนึ่ง กาลเวลาจะผลิตผู้อ่านขึ้นมาเอง   ซาร์ตค่อนขอดพฤติกรรมแบบนี้ว่า "พยายามทดแทนความล้มเหลวเชิงสถานที่ด้วยเวลา" (หมายถึงถ้าปัจจุบันนี้ไม่มีใครอ่านงานของฉันก็ไม่เป็นไร เพราะฉันเขียนให้คนรุ่นหลัง รุ่นต่อๆ ไปอ่าน)
 
                ปัญหาของหนังสือที่อิงแอบกับนิรันดรคือ เพราะมันถูกต้อง เป็นสัจธรรมสัมบูรณ์ไปเสียหมด เพราะนักเขียนไม่กล้าหรือไม่ยอมที่จะผิดเลย พวกเขาจึงเสมือนผู้ "ล่องลอยอยู่กลางอากาศ เป็นคนแปลกหน้าแห่งศตวรรษ ถูกสาปให้อยู่นอกเหนือบริบท"   นักเขียนประเภทนี้จะผลิตได้แต่งานศิลปะบริสุทธิ์ ซึ่ง "ไม่แตกต่างอะไรเลยกับศิลปะอันว่างเปล่า"[4]
 
                เช่นนั้นแล้ว วรรณกรรมในความคิดของซาร์ตจะต้องเป็นอย่างไร   ไม่ใช่หนังสือที่พูดถึงอดีตหรืออนาคต แต่ต้องอยู่กับปัจจุบัน   นักเขียนไม่ได้เขียนหนังสือเพื่อ "มนุษย์ที่เป็นนามธรรม ผู้อาศัยอยู่ในทุกยุคทุกสมัย หรือผู้อ่านที่ไร้กาลเวลา แต่ [ต้องเขียนเพื่อ] มนุษย์เป็นตัวเป็นตนที่อาศัยอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับนักเขียน"   อีกนัยยะหนึ่งคือเขียนเกี่ยวกับปัจจุบัน   เบอร์นาร์ด เฟรชต์แมน ผู้แปล ใช้คำว่า "situated” ซึ่งยากพอสมควรที่จะหาคำแปลไทยให้ตรงตัว   ความหมายใกล้เคียงที่สุดคือ “ตั้งอยู่” หมายถึงนักเขียนต้อง “ตั้งอยู่” ในโลกและกาลเวลาอันเป็นรูปธรรม ซึ่งก็คือปัจจุบันนั่นเอง
 
                เมื่อสังคมแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ซาร์ตยืนยันว่าเป็นหน้าที่ของนักเขียนที่จะต้องเลือกข้าง และเลือกที่จะ "ตั้งอยู่" ในข้างเดียวกับอิสรภาพ   นักเขียนที่ซาร์ตยกย่องได้แก่ริชาร์ด ไวร์ท   ชาวอเมริกันผิวดำผู้เป็นกระบอกเสียงให้เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์   สำหรับซาร์ต ไม่ใช่ว่าไวร์ท "ปฏิเสธที่จะเขียนถึงมนุษยชาติ ด้วยการเขียนถึงเฉพาะแต่ [ชาวผิวดำ] หากเขาเขียนถึงมนุษย์ชาติ ด้วยการเขียนถึง [ชาวผิวดำ] ต่างหาก"
 
                สิ่งที่ซาร์ตเรียกร้องจากนักเขียนคือความรับผิดชอบต่อสังคมอันหนักหน่วงและรุนแรง   หากปากกาของเราไม่อาจเปลี่ยนแปลงโลกให้มีอิสรภาพได้แล้วไซร้ สู้หักมันทิ้งเสียแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า   เมื่อซาร์ตเรียกร้องให้นักเขียนเลือกข้าง คำถามที่ตามมาคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าชัยชนะของข้างไหนที่รับประกันอิสรภาพ   ในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็อ้างว่าตนเองสู้เพื่อชุดคำอันสวยหรูกันทั้งนั้น (อิสรภาพ เสรีภาพ ภราดรภาพ ประชาธิปไตย ความจงรักภักดี ความรักชาติ ฯลฯ)   อย่างไรก็ดี อิสรภาพดูจะนิยามได้ง่ายกว่าความดีงาม (virtue) หรือความยุติธรรม (justice) เป็นไหนๆ   ถ้านักเขียนไม่มีแม้แต่ความสามารถที่จะแบ่งแยกอะไรคือกรงขัง อะไรคือประตู ก็อย่าคาดหวังเลยว่าเขาจะรู้อะไรคือความดีงาม อะไรคือความยุติธรรม
 
                วรรณกรรมประเภทไหนกันที่จะออกมาจากปลายปากกาแบบซาร์ต   มันคงจะ "situated” เสียจน ผ่านไปไม่กี่ปี นักเขียนอาจจะพบว่าตัวเองเลือกผิด คิดผิด หรือยิ่งกว่านั้น คำถามหรือทางเลือกนั้นอาจกลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้วก็ได้[5]   ซาร์ตกลับเชื่อว่า เพราะวรรณกรรมล้าสมัยได้ต่างหาก วรรณกรรมถึงเป็นสิ่งที่สวยงาม   "พรุ่งนี้ทุกสิ่งที่เราทำ จะกลายเป็นความผิดพลาด แต่วันนี้มันคือความถูกต้อง   เมื่อยุคสมัยสิ้นสุดลง และเมื่อเรามองย้อนกลับมา เราจะเห็นแต่ความผิดพลาด   หากตราบใดที่ยุคสมัยยังคงอยู่ ตราบนั้นทุกสิ่งก็ล้วนถูกต้อง"   ศีลธรรมและความสวยงามเกิดมาจากความไม่รู้ของมนุษย์ เกิดจากการลองผิดลองถูก ไม่ใช่เกิดมาจากการทำสิ่งที่รู้ๆ กันอยู่ว่าดีแน่ ถูกแน่   (ดังนั้นเมื่อรู้ตัวว่าทำผิดไป ก็อย่ามามัวเสียเวลาปกป้องความผิดพลาดของตัวเองในอดีต มิเช่นนั้นก็จะยิ่งทำให้ความผิดพลาดในอดีตเป็นนิรันดรออกไปยิ่งขึ้น) 
 
                ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมา จู่ๆ ผมก็รู้สึกขึ้นมาว่าบางที "หกบรรทัดต่อปีก็อาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำสำหรับวรรณกรรมไทย"   ถ้าไม่หลอกตัวเองจนเกินไปนัก เราคงปฏิเสธได้ยากว่า รัฐประหาร การยึดสนามบิน จนถึงกองศพ และซากปรักหักพังกลางเมืองหลวง ส่วนหนึ่งเป็นความรับผิดชอบของนักเขียนไทย   ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นพ้นการเมืองไปไกลแล้ว แต่เป็นปัญหาสังคม เป็นปัญหาทางวัฒนธรรม ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของวรรณกรรม   ความล้มเหลวของสังคมคือความล้มเหลวของวรรณกรรม   ผมจึงตั้งคำถามว่า วรรณกรรมแบบไหนจะผุดออกมาจากความล่มสลายของวรรณกรรมแบบเดิมๆ    (แน่นอนนี่ว่าเป็นคำถามที่มองโลกในแง่ดีมากๆ   เพราะเป็นไปได้ยิ่งกว่าที่สุดท้ายเราก็คงเขียน คงอ่านกันแต่สิ่งเดิมๆ )
 
                ผมหวังมากไปไหม ถ้าวรรณกรรมไทยยุคใหม่จะเป็นอย่างที่ซาร์ตพูด เป็นวรรณกรรมที่กล้าที่จะผิด มากกว่าไม่ยอมผิดเลย
 
                และนี่คือคำถามที่ซาร์ตฝากทิ้งไว้ให้คนอ่าน พวกเราทุกคน
 
 
 
[1]        ซาร์ตให้ความสำคัญกับอิสรภาพมาก   วรรณกรรมคือข้อตกลงระหว่างนักเขียนและนักอ่านที่จะมอบและแบ่งปันอิสรภาพให้แก่กันและกัน   นักอ่านมีอิสรภาพที่จะอ่านหรือไม่อ่านหนังสือเล่่มใดก็ได้ แต่เขาก็ตัดสินใจหยิบเล่มนี้ขึ้นมา    อิสรภาพที่คนอ่านเสียสละให้นักเขียนคือสิ่งซึ่งมอบชีิวิตให้แก่ตัวละคร ฉาก และเหตุการณ์ในหนังสือ   ในทางกลับกัน เมื่อนักอ่านหยิบยื่นอิสรภาพให้แก่นักเขียน สิ่งที่เขาได้รับตอบแทนมาก็คืออิสรภาพในโลกหนังสือ
 
                        ซาร์ตจึงเห็นว่าคุณธรรมขั้นต้นของนักเขียนคือต้องเป็นผู้รักในอิสรภาพ   "นักเขียนที่พยายามกักขังคนอ่าน ถือว่าล้มเหลวในเชิงศิลปะ" และ "ศิลปะแห่งร้อยกรองจะเฟื่องฟูได้ภายใต้ยุคสมัยเดียว…คือยุคแห่งประชาธิปไตย" ที่ประชาชนมีอิสรภาพ
 
[2]        แน่นอนว่าในแต่ละยุคสมัย ชนชั้นปกครองและใต้การปกครองก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ   ชนชั้นสูงถูกแทนที่ด้วยชนชั้นกลาง และชนชั้นชายขอบที่เริ่มตื่นตัวทางการเมืองก็กลายมาเป็นชนชั้นล่างต่ออีกทอดหนึ่ง
 
[3]        นักเขียนประเภทนี้จึงมักชอบทำตัวแบบที่หมอมฮุกแซวใน อ่าน ฉบับ แผลใหม่ คือแทนที่จะพูดว่า "ที่นี่มีคนตาย" ก็พูดว่า "ทุกที่มีคนตาย" เพื่อข่มว่าความจริงของฉันนั้นสากลกว่า สูงส่งกว่า
 
[4]        ในบริบทแบบไทยๆ  มีคำพูดหนึ่งซึ่งเราจะได้ยินบ่อยๆ ในช่วงความขัดแย้งของบ้านเมืองในขณะนี้คือ "ธรรมะลอยตัว"   หมายถึงธรรมะที่ผู้หลักผู้ใหญ่ชอบเอามาอ้างประกอบการตัดสินใจ การพูด หรือการกระทำ  ซึ่งบางครั้งธรรมะเหล่านี้ก็ "ถูกต้อง" ไปเสียหมด จนไปๆ มาๆ กลับนำมาใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย   นอกจากให้ประชาชนพึงพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น อยู่เฉยๆ และปฏิเสธที่จะลุกขึ้นมาทำอะไร   
               สิ่งที่ "ถูกใจ" ไม่จำเป็นต้อง "ถูกต้อง" และสิ่งที่ "ถูกต้อง" บางครั้งก็ "ถูกเอาไปใช้" ไม่ได้
 
[5]        ซึ่งนี่อาจจะเป็นสาเหตุ ทำไมผลงานนิยายของซาร์ตถึงไม่โด่งดังเท่านักเขียนรางวัลโนเบลร่วมชาติและร่วมสมัยอย่างกามูส์   ซาร์ตมีชื่อเสียงในฐานะนักคิด นักปรัชญามากกว่านักเขียน
 
ภาณุ ตรัยเวช