TRUTH GLOBALIZE ก้าวข้ามพรมแดน ‘ไทย-มาเลเซีย’

เมื่อเกิดเหตุความขัดแย้งในบริเวณพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลายครั้งมักเกิดความสงสัยต่อบทบาทของประเทศเพื่อนบ้านเสมอๆ
เมื่อเกิดเหตุความขัดแย้งในบริเวณพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลายครั้งมักเกิดความสงสัยต่อบทบาทของประเทศเพื่อนบ้านเสมอๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อมซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจกัน
ท่ามกลางความแตกต่างหรือไม่เข้าใจกันนั้น การใช้ศิลปะโดยเฉพาะ 'วรรณกรรม' เป็นตัวสื่อประสานอาจทำให้ผู้คนต่างวัฒนธรรมต่างความเชื่อสามารถล่วงรู้ถึงวิธีคิดและความรู้สึกนึกคิดของกันและกันมากขึ้น สามารถเข้าใจได้ว่าจิตใจของกันและกันเป็นเช่นไร ซึ่งสุดท้ายแล้วก็จะทำให้ต่างฝ่ายต่างเข้าใจและยอมรับในความแตกต่างเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขได้
ด้วยเหตุนี้ สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย นำโดย ชมัยภร แสงกระจ่าง จึงได้จัดทำโครงการวรรณกรรมสัมพันธ์ระหว่างนักเขียนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับ 'โครงการวรรณกรรมสัมพันธ์ไทย-มาเลเซีย' ได้เริ่มขึ้นเมื่อปี 2550 โดยกำหนดให้มีการคัดสรรวรรณกรรมประเภทเรื่องสั้นและบทกวีทรงคุณค่าของทั้งสองชาติมาจัดแปลแล้วพิมพ์เป็น 3 ภาษา นั่นคือ ภาษาไทย, ภาษามลายู และภาษาอังกฤษ เพื่อให้วรรณกรรมเป็นสื่อในการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างประเทศไทยและมาเลเซีย
ล่าสุดได้จัดเวทีเสวนา 'โลกไร้พรมแดน : วรรณกรรมสัมพันธ์ไทย-มาเลเซีย' ขึ้นเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมี นาถนิศา สุขจิตต์ ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายสัมพันธ์และแหล่งทุน สำนักศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม กล่าวเปิดงาน พร้อมด้วยนักเขียนจากมาเลเซีย ได้แก่ เอส.เอ็ม.ซากีร และ ดร.มูฮัมมัด ซาและฮ์ ราฮามัด ส่วนนักเขียนฟากฝั่งประเทศไทย ได้แก่ ไพฑูรย์ ธัญญา นักเขียนเรื่องสั้นรางวัลซีไรต์ ปี 2530 และซะการีย์ยา อมตยา กวีรางวัลซีไรต์ ปี 2553 ดำเนินรายการโดย เจน สงสมพันธุ์ ล่ามแปลโดย อับดุลรอยะ ปาแนมาแล และวนิดา เต๊ะหลง อาจารย์สอนภาษามลายูและภาษามาเลเซีย มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
เอส.เอ็ม. ซากีร (S.M. Zarkir) เลขาธิการสมาคมนักเขียนแห่งชาติมาเลเซีย และนักเขียนเรื่องสั้นดีเด่นแห่งศตวรรษที่ 20 ของมาเลเซีย กล่าวถึงความสัมพันธ์ไทย-มาเลเซียว่าเป็นเหมือน 'so close but so far away…' ทั้งๆ ที่ทั้งสองประเทศมีชายแดนติดกัน "นับว่ามีความสำคัญมาก ถ้าเราจะนำเรื่องสั้นของทั้งสองประเทศนี้มาเปรียบเทียบกัน จะได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างเหมือนๆ กันและก็แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นเรื่องสั้นของ ไพฑูรย์ ธัญญา และ ปราบดา หยุ่น ถ้าสามารถเปรียบเทียบได้ก็จะเห็นความเหมือนและความต่างของเรื่องสั้นจากทั้งสองประเทศมากยิ่งขึ้น"
ต้องยอมรับว่านักอ่านชาวไทยเองยังรู้จักนักเขียนหรือวรรณกรรมมาเลเซียค่อนข้างน้อยมาก เจน สงสมพันธุ์ มองว่า ไทยกับมาเลเซียไปมาหาสู่กันอยู่ตลอดเวลา เวลาไปภาคเหนือของมาเลเซียสามารถพูดไทยได้ ไม่ว่าจะเป็นที่ ลังกาวี เคดาร์ หรือ บันนังสตา และภาษาไทยที่เป็นภาษาสุไหงปาดีก็เป็นภาษามาเลเซียตอนเหนือ นักเขียนบางคนมีเชื้อสายเป็นคนไทยภาคใต้ โดยเฉพาะสุไหงปาดี
"สมาคมนักเขียนไทยแห่งประเทศไทยกับสมาคมนักเขียนแห่งชาติมาเลเซียเป็นองค์กรอิสระเหมือนกัน ฉะนั้นต้องหารายได้จากการบริจาคจึงจะมาดำเนินกิจกรรมของสมาคมได้ เวลาไปมาเลเซียทุกครั้งก็จะมีการอ่านบทกวี ครั้งล่าสุดไปทำเอ็มโอยูหรือข้อตกลงกับสมาพันธ์นักเขียนและกวีแห่งคาบสมุทรมลายู ซึ่งการประชุมวันนั้นมีการถกเถียงกันว่าจะนับประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของคาบสมุทรมลายูหรือไม่ เพราะว่าเราใช้ภาษาที่แตกต่างจากกลุ่มประเทศดังกล่าวโดยสิ้นเชิง แต่ในที่สุดที่ประชุมมีมติให้รับประเทศไทยเข้าเป็นภาคีด้วย
แต่เวลาจะคัดสรรบทกวีหรือเรื่องสั้นของนักเขียนหรือกวีมุสลิมของไทยเองแทบจะนับตัวได้ อย่างเช่น รัตนชัย มานะบุตร หรือมูฮัมหมัด ส่าเหล็ม และซะการีย์ยา อมตยา ได้มากระตุ้นให้คนมุสลิมได้มีโอกาสมากขึ้น ที่จริงนักเขียนที่อยู่ในพื้นที่ที่เป็นมุสลิมมีนักเขียนระดับประเทศยกตัวอย่างเช่น 'นราวดี' (เพ็ญศรี เคียงศิริ) จากนราธิวาส และวรรณกรรมที่เป็นมุสลิมซึ่งมุสลิมเขียนถึงตัวของเองก็มีน้อย ส่วนใหญ่เป็นคนภายนอกเขียนไปถึงมุสลิม"
ขณะที่ ซะการีย์ยา อมตยา กวีซีไรต์ 2553 จากรวมบทกวีนิพนธ์เรื่อง 'ไม่มีหญิงสาวในบทกวี' และเป็นกวีมุสลิมคนแรกที่ได้รับรางวัลซีไรต์ เป็นตัวแทนนักเขียนและกวีไทยไปประชุมกับสมาพันธ์นักเขียนและกวีแห่งคาบสมุทรมลายู ในการประชุมนานาชาติของกวีที่กัวลาลัมเปอร์ซึ่งทางมาเลเซียเป็นเจ้าภาพครั้งล่าสุด และได้ทำข้อตกลงทำสัญญาเป็นกลุ่มภาคีดังกล่าว เล่าถึงบรรยากาศการอ่านบทกวีนิพนธ์ว่า…
"นับเป็นการไปสร้างความสัมพันธ์อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รู้สึกว่านักเขียนมาเลเซียทุกท่านก็ให้ความเอ็นดูเราทุกคน ผมรู้สึกได้ว่าทางพี่-น้องนักเขียนมาเลเซียมีความรู้สึกว่าอยากจะอ่านงานของไทยที่ถูกแปลเป็นภาษามาเลเซีย แต่ว่างานดังกล่าวก็ไม่ได้ถูกแปล จะมีบางเรื่องเท่านั้นที่ถูกแปลไป ในการอ่านบทกวีนานาชาติที่มาเลเซีย ผมก็ได้ฟังประเด็นต่างๆ จากบทกวีที่อ่านเป็นภาษามาเลเซีย นั่นคือมาเลเซียเป็นประเทศที่อยู่ใต้อาณานิคม บทกวีมีความเป็นชาตินิยม และยังมีความรู้สึกที่ตกทอดทางขบถที่จะต่อสู้กับเจ้าอาณานิคมซึ่งผมก็เข้าใจได้
บทกวีเหล่านี้มันคงร่วมสมัยถ้าหากว่ามันยังอยู่ใต้อาณานิคม แต่ถ้ามาอยู่ในยุคปัจจุบันเรื่องของความเป็นชาตินิยมควรจะถอดทิ้งได้แล้ว เพราะว่ามาเลเซียก็ก้าวสู่ความเป็นชาติที่มีความหลากหลายของชาติพันธุ์ ในประเทศไทยก็เหมือนกัน ถ้าเป็นบทกวีชาตินิยมผมก็จะรู้สักว่ามันพอได้แล้ว ควรจะเขียนบทกวีนิพนธ์ที่ไปสู่สากลหรือว่าเอาความเป็นไทยหรือมาเลเซียนี่แหละก้าวไปสู่ความเป็นสากล"
กวีซีไรต์คนล่าสุดยังพูดถึงวรรณกรรมมลายูในภาพที่เป็นสากลด้วยว่า… "จริงๆ ถ้าเป็นวรรณกรรมมุสลิมต้องมองไปยังประเทศหลักของโลกอิสลามก็คือตะวันออกกลาง จะเป็นประเทศที่ใช้ภาษาอาหรับและวรรณกรรมอาหรับนั้นได้ถูกนับเป็นวรรณกรรมสากลไปแล้วเทียบเท่ากับวรรณกรรมละตินอเมริกาหรือวรรณกรรมยุโรป แต่ถ้ามองวรรณกรรมมุสลิมในภาคพื้นเอเชียแล้วมันก็จะเห็นว่าชื่อของนักเขียนอินโดนีเซียอย่างเช่น ปราโมทยา อนันตา ตูร์ ก็จะถูกมองว่าเป็นนักเขียนคนสำคัญของภูมิภาคนี้ สำหรับผมแล้ววรรณกรรมมุสลิมก็สามารถที่จะไปสู่ความเป็นสากลได้ ถ้ามองอย่างประเทศอาหรับก็จะมีร่างของ นากิบ มาห์ฟูซ หรือ ออร์ฮัน ปามุก ประเทศตุรกี ตั้งตระหง่านอยู่
วรรณกรรมอาหรับถูกยกให้เป็นวรรณกรรมของโลกได้อย่างรวดเร็วเพราะว่าจำนวนประชากรของผู้ใช้ภาษาอาหรับนั้น ในตะวันออกกลางทั้งหมดจะใช้ภาษาอาหรับ จึงถือว่าความเป็นสากลจะต้องถูกชูมากกว่ามุสลิมที่อยู่ ปากีสถาน อินโดนีเซีย หรือว่ามาเลเซีย ความเป็นสากลผมว่าถึงที่สุดแล้วก็คือการคิดถึงประเด็นความเป็นมนุษย์นั่นเอง นากิบ มาห์ฟูซ เคยบอกว่าเขาไม่เคยออกไปต่างประเทศ เขาเขียนแต่เรื่องราวครอบครัวของกรุงไคโร แต่ว่าเรื่องราวของเขาก็ถูกเล่าให้มีความเป็นสากลได้ หรือ ออร์ฮัน ปามุก ก็เขียนแต่เรื่องราวของยุคหนึ่งในตุรกี หรือ นากิบ มาห์ฟุซ ก็เขียนเกี่ยวกับปาเลสไตน์ แต่ว่าสิ่งที่เขาพูดถึงจะบอกว่าเป็นท้องถิ่นก็ท้องถิ่น แต่ว่าเชิดชูคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ส่องโฟกัสไปที่ความเป็นมนุษย์ ทำให้งานเป็นสากล"
ดร.มูฮัมมัด ซาและฮ์ ราฮามัด (Mohamad Saleeh Rahamad) อุปนายกสมาคมนักเขียนแห่งชาติมาเลเซีย มองการรวมประเทศไทยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของนักเขียนและกวีคาบสมุทรมลายูด้วยว่า…
"ผมมีความยินดีที่มีการรวมตัวกันของนักเขียนและกวีในกลุ่มประเทศคาบสมุทรมลายู การรวมตัวครั้งนี้ไม่ใช่การรวมตัวของประเทศที่พูดภาษามลายูเพียงอย่างเดียว นับเป็นสิ่งน่าท้าทายเป็นอย่างยิ่งที่เราจะมีการรวมตัวกันในกลุ่มประเทศอาเซียน คือนอกเหนือจากกลุ่มประเทศที่พูดมลายูอย่างเดียวก็จะมีประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และอีกหลายประเทศซึ่งไม่ได้พูดภาษามลายูทั้งหมด การรวมตัวกันครั้งนี้ไม่ใช่รวมตัวกันเฉพาะด้านภาษาเพียงอย่างเดียว แต่จะรวมถึงลักษณะวัฒนธรรมที่เหมือนกันหรือว่าคล้ายคลึงกันของภูมิภาคหรือว่าคาบสมุทรมลายูด้วย ประเทศมาเลเซียจะมีสถาบันการแปลทำหน้าที่เกี่ยวกับการแปลและคิดว่าในอนาคตจะมีการแปลเพิ่มขึ้นอีกระหว่างไทย-มาเลเซีย และมาเลเซีย-ไทย เพื่อจะได้ความร่วมมือกันบริเวณแถบนี้เกี่ยวกับด้านวัฒนธรรม"
โดยเฉพาะนโยบายการสานสัมพันธ์ด้านวรรณกรรมกลุ่มภูมิภาคอาเซียนในอนาคตนั้น เขาเห็นว่า "วรรณกรรมเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างความสมานฉันท์ วรรณกรรมเต็มไปด้วยคุณค่าของความเป็นมนุษย์ วรรณกรรมสามารถขจัดความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ได้ ในนามของสมาคมนักเขียนแห่งชาติมาเลเซียสามารถที่จะทำกิจกรรมระหว่างทั้งสองประเทศได้ และง่ายกว่าถ้าเปรียบเทียบกับหน่วยงานของราชการ ประกอบกับการทำงานอย่างเข้มแข็งของสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ฉะนั้นทางสมาคมนักเขียนแห่งชาติมาเลเซียเองมีความยินดีเป็นอย่างมากที่จะมีกิจกรรมในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องอีกในอนาคต"
ปิดท้ายด้วย ไพฑูรย์ ธัญญา นักเขียนรางวัลซีไรต์ ปี 2530 มองเห็นความจริงเช่นเดียวกับ 'เอส.เอ็ม. ซากีร' ว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียเป็นเหมือน 'so close but so far..' และกล่าวถึงความคาดหวังของวรรณกรรมในโลกไร้พรมแดนหรือ 'โลกาภิวัตน์' ว่า…
"เมื่อคนไทยได้ถูกทำให้รู้จัก 'โลกาภิวัตน์' หรือ 'Globalization' ที่เป็นคำยอดฮิตในรอบทศวรรษที่ผ่านมา มันเริ่มต้นโดยนโยบายหรือเจตนาที่แฝงเร้น หรือมันเป็น hidden agenda ที่ถูกอ้างขึ้นว่าตอนนี้ ณ เวลานี้ ว่าเราจะต้องเปิดรับ โลกนี้ไม่มีประตูรั้วแล้ว ไม่มีพรมแดนแล้ว จะต้องเปิดรับความสัมพันธ์หรือสลายเส้นแบ่งทางภูมิศาสตร์เพราะว่าโลกนี้เต็มไปด้วยเครือข่าย การสื่อสารหรือ Information ต่างๆ เราก็เชื่อและยอมรับอุดมการณ์ของ Globalization จริงๆ แล้วมันเป็น 'วาทกรรม' แต่ต่อมาพอเปิดรับ เตรียมประเทศของเรา เตรียมตัวเตรียมใจเตรียมทุกอย่างให้ยอมรับวาทกรรมโลกไร้พรมแดน สิ่งที่ตามมาก็คือผลประโยชน์ทางการค้าและการเปิดตลาดเสรี
ฉะนั้นโลกไร้พรมแดนที่เรารับรู้กันมันแฝงเร้นด้วยเจตนาทางการค้า จักรวรรดินิยมรุ่นใหม่ เราบอกว่าประเทศไทยไม่ได้ตกเป็นอาณานิคมใครๆ เหมือนกับมาเลเซียหรืออินโดนีเซีย แต่ว่าในความเป็นจริงเราก็เป็น แต่โลกไร้พรมแดนหรือ Globalization ในโลกของวรรณกรรมมันเป็นสิ่งที่ไม่มีเจตนาแฝงเร้นใช่หรือไม่ เพราะว่าคนเขียนวรรณกรรมไม่ได้มีเจตนาแอบแฝง เหมือนกับ ดร.มูฮัมมัด ซาและฮ์ ราฮามัด พูดไว้ว่าวรรณกรรมเขียนขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์จะนำเสนอเรื่องราวของมนุษย์ มนุษย์เป็นสากล มนุษย์ที่มีความรู้สึก ความต้องการ ความปรารถนา ความใฝ่ฝัน มีปัญหาคล้ายๆ กัน และเป็นสภาวะของมนุษย์
เวลาอ่านเราจะมีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งก็คือคนไทยไม่เก่งภาษาที่เป็นสากล แต่อ่านฉบับแปลออกมาก็เข้าใจ อ่านงานของนักเขียนใครต่อใคร ไม่ว่าอเมริกา ไม่ว่านักเขียนยุโรป หรือนักเขียนละตินอเมริกาต่างๆ ทำไมจึงชอบ ทำไมจึงรับได้ เพราะว่าจุดมุ่งหมายปลายทางของวรรณกรรมเหล่านี้ก็คือเขียนเรื่องของมนุษย์ที่อยู่ในโลกนี้ ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมวัฒนธรรมที่มันแตกต่างกันก็จริงอยู่ แต่โดยสารัตถะของมนุษย์ ธรรมชาติของมนุษย์ สภาวะของมนุษย์มันก็เป็นสากลเป็น universal เพราะฉะนั้นวรรณกรรมนั่นแหละจึงเป็นสิ่งที่ไม่มีพรมแดนมานานแล้ว"
นักวิชาการและนักวิจารณ์วรรณกรรมยังมองเห็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการแปลของไทยว่า…"คนไทยเสียเปรียบคนมาเลเซีย นักเขียนเองก็เหมือนกัน เพราะคนมาเลเซียจะรู้สองภาษาเป็นอย่างน้อย พูดง่ายๆ ว่าภาษาอังกฤษก็เป็นภาษาที่สามารถสื่อสารได้ดีกว่าพวกเรา ฉะนั้นนักเขียนมาเลย์จะได้เปรียบกว่านักเขียนไทย นักเขียนไทยรู้ภาษาอังกฤษบ้างแต่ก็ไม่มาก ไม่ได้เหมือน 'ซะการีย์ยา อมตยา' ที่สามารถสื่อสารโดยตรงได้ อันนี้ยินดีมากเลยที่จะได้มีสะพานเชื่อมที่สำคัญ ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่มาเลเซียได้ทำก้าวหน้าไปกว่าเรามากตรงที่มีสถาบันการแปลเกิดขึ้น แต่เราเรียกร้องกันมาตลอดว่าประเทศไทยน่าจะมีสถาบันการแปลตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ด้วยซ้ำไป ญี่ปุ่นเปิดประเทศพร้อมๆ กับเรา แต่ตอนนี้ไปไกลมากๆ เพราะเขามีเรื่องของการแปลและแปลทุกอย่างด้วย
ฉะนั้น นักเขียนญี่ปุ่นเลยเป็นสากลมากๆ มีรางวัลโนเบลเข้ามามากมาย แต่ของเราเหมือนรถไฟไทยคืออยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น (ฮา) ขณะที่ประเทศจีนเป็นรถไฟความเร็วสูงกันแล้ว แต่ของไทยก็ยังถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่างอีกนานเลย ทั้งๆ ที่รัชกาลที่ 5 เปิดมาก่อนทำมาก่อนมาก น่าเสียดายว่าสถาบันการแปลมันไม่เกิดขึ้นพร้อมกับหนังสือพิมพ์เลย จนบัดนี้ก็ยังไม่เกิด ฉะนั้นในฐานะนักเขียนคนหนึ่งคิดว่าเรายังมีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ อยู่ ทำให้ไม่สามารถเปิดรับวรรณกรรมเพื่อนบ้านได้อย่างเต็มที่ คือเรื่องของภาษาหรือข้อจำกัดของภาษา
ผมคิดว่าสิ่งที่ควรจะทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันและเอาจริงเอาจังก็คือตั้งสถาบันการแปลอย่างเป็นรูปธรรม และเมื่อนั้นแหละมันก็จะเป็น Truth Globalization อย่างแท้จริง" ไพฑูรย์ ธัญญา กล่าวทิ้งท้าย
///////////////////////////////
TRUTH GLOBALIZE โลกไร้พรมแดน : วรรณกรรมสัมพันธ์ไทย-มาเลเซีย ฉบับภาษาไทย ภาษามลายู และภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย…
เรื่องสั้นไทย 5 เรื่องจาก 5 นักเขียน ได้แก่ อีกวันหนึ่งของตรัน ของ ประภัสสร เสวิกุล, ลูกชายคนชวา ของ ไพฑูรย์ ธัญญา, ความน่าจะเป็น ของ ปราบดา หยุ่น, กาลีมะฮ์ ของ รัตนชัย มานะบุตร และวิปริต ของ จิรภัทร อังศุมาลี, เรื่องสั้นมาเลเซีย 5 เรื่องจาก 5 นักเขียน ได้แก่ คืนแรก ของ มูฮำหมัดลุตฟี อิสหัค, ณ คืนอีด ของ เอส.เอ็ม. ซากีร, โต๊ะกลมกับน้ำมันหอม ของ มูฮัมมัด ซาและฮ์ ราฮามัด, ชำระ ของ อันวาร์ ริดวาน และตราบาป ของ ไซฟูลลีซัน ยะห์ยา
บทกวีไทย 9 ชิ้นจาก 9 กวี ได้แก่ แรมนราฯ ของ มนตรี ศรียงค์, ลูกแม่โตแล้วนะ ของ อุเทน มหามิตร, บทสนทนาของคนพลัดถิ่น ของ อังคาร จันทาทิพย์, ความว้าเหว่แห่งเอเชีย ของ ศิริวร แก้วกาญจน์, "โอละเห่ฯ" ของ กฤช เหลือลมัย, แม่, รถไฟขบวนนี้กำลังเดินทางออกจากเมือง ของ พิทักษ์ ใจบุญ, รู้สึกไหม ของ วัน ณ จันทร์ธาร, ด้วยเส้นที่สร้างกรอบ : คำนึงของจิตรกร ของ ชูเกียรติ สุทิน และไม่เข้าใจ ของ วิโรจน์ วุฒิพงศ์ ผู้แปลเรื่องสั้นและบทกวีไทยเป็นภาษาอังกฤษ ได้แก่ วรนุช ตันสกุล ปรัชญา แฮมมอนด์ เศวตวิมล รศ.สมพร วาร์นาโด และปราบดา หยุ่น
บทกวีมาเลเซีย 10 ชิ้นจาก 10 กวี ได้แก่ อิกกยู ของ ราฮีมีดีน ซาฮารี, บทกลอนสำหรับเหยี่ยวขาวตัวอื่น ของ สูตง อูมัรฺ อาร์ เอส, ภาพในอดีต ของ บาฮา เซ็น, ดอกทิวลิปป่า ของ เซ็น กัสตูรี, โกรธ ของ อะห์มัด รอซาลี, ความรัก ณ สวนหัวใจ ของ ซำซุดดีน อุสมาน, เบื้องหลัง ของ อะมีรุล ฟากีรฺ, เจ้าขนมันไปไหน ของ นัสสูรี อิบราเฮ็ม, กัวลาสือดีลี ของ อะมีรุดดีน อะลี และบาดแผลแห่งคำถาม ณ เรือนร่างเอกราช ของ ชะฮรุนซาม อับดุลตาลิบ
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ