To Have and Have Not
ไม่ใช่การกดขี่ข่มเหง แต่เป็นความสะเพร่าต่างหาก ชนชั้นกลางผู้มั่งมี (the have) ไม่มัวมาเสียเวลากดขี่ข่มเหงกรรมาชนผู้ยากไร้ (the have not) หรอก ชนชั้นกลางก็มีปัญหาของตัวเองให้ต้องขบคิด เตียงสมรสสึกกร่อนลงทุกวัน ไก่แจ้ นกเขาที่เลี้ยงไว้จะขันไปได้อีกสักกี่น้ำ ผู้มั่งมีก็อยู่ในส่วนของผู้มั่งมี ผู้ยากไร้ก็อยู่ในส่วนของผู้ยากไร้
ในมหานครชิคาโก ในปี 1906 เศรษฐีเจ้าของโรงเนื้อกินผนึกกำลังกันเพื่อเอารัดเอาเปรียบชนชั้นแรงงาน ในนิยาย The Jungle ของอับตัน ซินแคลร์ ในอลาบามา อีกสาบสิบปีต่อมา อำนาจทุนบุคลาธิษฐานตัวเองเป็นสัตว์ร้ายไร้ใบหน้าและรถแทรคเตอร์ บดขยี้ไร่นาของเกษตรกร ใน The Grape of Wrath ของจอห์น สไตแบค
แต่ไม่ใช่ในคีย์เวส ฟลอริด้าใน To Have and Have Not ไม่เหมือนกับอลาบามา หรือมหานครชิคาโก ไม่ใช่ป่าซึ่งทุกชนชั้นแออัดยัดเยียดเข้าไปอยู่ ต่างฝ่ายต่างไล่ล่าและแก่งแย่งชิงดี โลกของเฮมมิงเวย์คล้ายคลึงกับสถานีรถไฟเสียมากกว่า เศรษฐีเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้เพื่อพักผ่อนตากอากาศ ผู้อพยพชาวจีน สละทุกบาททุกสตางค์ เพื่อหาโอกาสลักลอบเข้าไปในสหรัฐอเมริกา ขณะที่นักปฏิวัติชาวคิวบา ขนอาวุธและเงินทุนกลับเข้าประเทศตัวเอง [1]
ในดินแดนที่ผู้คนสวนทางไปมา ไม่มีใครมัวมาเสียเวลากดขี่ข่มเหงใคร ถ้าจะเกิดการปะทะระหว่างชนชั้นขึ้นมาจริงๆ ความสะเพร่าต่างหากที่เป็นสาเหตุ
นิยายแห่งความสะเพร่าเรื่องแรก และที่โด่งดังที่สุดคือ The Great Gatsby ใครเล่าจะหลงลืม "ความสะเพร่าไร้ก้นบึ้ง" (vast carelessness) ของทอมและเดซี "พวกเขาทุบทำลายผู้คนและข้าวของ ก่อนจะมุดหัวกลับไปยังกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง กลับไปยังความสะเพร่าไร้ก้นบึ้ง หรืออะไรก็ตามแต่ที่ผนึกทั้งสองไว้ด้วยกัน และปล่อยให้คนอื่นเก็บกวาด สะสางซากเดนที่พวกเขาเหลือทิ้งไว้"[2] หลายปีต่อมา ความสะเพร่ากู่ก้องสะท้อนเข้ามาในนิยายของเฮมมิงเวย์
To Have and Have Not แบ่งออกเป็นสามบทใหญ่ด้วยกัน คือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว แต่ละส่วนเป็นเรื่องสั้นจบในตอน แบ่งปันกันเพียงแค่ฉากและตัวละคร[3] แฮรี มอร์แกนเป็นกัปตันเรือ อาชีพเปิดเผยของเขาคือรับจ้างพานักท่องเที่ยวออกไปตกปลา แต่ลับหลังแฮรีขนเหล้าเถื่อนไปกลับระหว่างคิวบาและอเมริกา เขารับจ้างขนสินค้าผิดกฏหมายชนิดอื่นด้วย แต่แฮรีตั้งกติกากับตัวเองคือ จะไม่รับขน "อะไรก็ตามแต่ที่พูดได้" (นั่นก็คือไม่ยอมลักลอบพาผู้โดยสารเข้าออกชายแดน)
ใน ฤดูใบไม้ผลิ แฮรีขับเรือพามิสเตอร์จอห์นสัน ออกไปเหวี่ยงเบ็ดตกปลา แต่เพราะความสะเพร่าของลูกค้า เขาต้องสูญเสียเงินมหาศาลมาเป็นค่าซ่อมอุปกรณ์ พฤติกรรมของมิสเตอร์จอห์นสันใช่การกดขี่ข่มเหงหรือเปล่า ถ้าใช่ ก็คงเป็นเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างจากเจ้าของโรงเนื้อหรือเจ้าของธนาคาร หลังจากมิสเตอร์จอห์นสันทำเบ็ดตกปลาราคาแพงเสียหาย ก็มานั่งดื่มเหล้าสบายใจเฉิบ ปล่อยให้แฮรีงุนงงกับพฤติกรรมของอีกฝ่าย นี่คือผู้กดขี่ข่มเหงที่มีใบหน้า มิสเตอร์จอห์นสันสามารถรู้สึกผิดและละอายใจได้ เมื่อถูกแฮรีเรียกร้องค่าเสียหาย เขาตอบว่า "ให้เรื่องมันจบๆ ไปก็ได้…ผมจะยอมจ่าย แม้ไม่เห็นด้วยกับคุณก็ตาม" ก่อนจากกัน มิสเตอร์จอห์นสันถามย้ำอีกครั้ง "ไม่โกรธไม่เคืองกันแล้วใช่ไหม" และในเช้าวันถัดมาก็ขึ้นเครื่องบินหนีออกจากฮาวานา ทิ้งภาระค่าซ่อมเรือเอาไว้กับแฮรี
มิสเตอร์จอห์นสันไม่ได้ตั้งใจทำร้ายใคร เขาอาจไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าความสะเพร่า เผอเรอ และเห็นแก่ตัวเล็กๆ น้อยๆ สร้างความลำบากให้อีกฝ่ายสักแค่ไหน แฮรีจำเป็นต้องฝ่าฝืนกติกาของตัวเอง รับจ้างพาผู้อพยพชาวจีน ขึ้นเรือจากคิวบา หนีเข้าไปยังฟลอริดา[4]
ใน ฤดูใบไม้ร่วง การพบปะกันโดยบังเอิญกลางทะเล ระหว่างแฮรีและผู้มั่งมีอีกคน สร้างปัญหาและเปลี่ยนแปลงชีวิตเขา ในแบบที่ไม่มีฝ่ายใดคาดคิด ใน ฤดูหนาว อันเป็นช่วงที่ยาวสุดของนิยาย เฮมมิงเวย์เปลี่ยนมุมมองไปเรื่อยๆ พอถึงจุดไคลแมกซ์ อยู่ดีๆ แฮรีก็ถูกทิ้งไว้กลางทะเล เฮมมิงเวย์หันมาเล่าเรื่องราวของบรรดาผู้มั่งมีที่อาศัยอยู่ในคีย์เวส พวกเขาหมกมุ่นกับปัญหาของตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องผัวๆ เมียๆ [5] ไม่มีใครคิดที่จะเบียดเบียนใคร ที่แน่ๆ ไม่มีใครคิดที่จะเบียดเบียนผู้ยากไร้ แต่เพราะความสะเพร่าอีกนั่นแหละ เป็นทั้งสาเหตุและข้ออ้างของการทำร้ายซึ่งกันและกัน
โลกเราก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 แล้ว ในปัจจุบันจะยังมีปีศาจไร้หน้าของซินแคลร์และสไตนแบคอยู่อีกหรือเปล่า อะไรน่ากลัวกว่ากัน ระหว่างนายทุนข้ามชาติผู้ชักใยทำลายประเทศอยู่เบื้องหลัง หรือบรรดาเด็กจอมสะเพร่า สนับสนุนเผด็จการ สงคราม และการฆ่าแกงโดยไม่ทันคิด และภายหลังจากฝุ่นตลบแล้ว ก็ยังช่วยกันถ่ายรูปตัวเองเอามาแปะไว้ตามจุดต่างๆ อีก
และนี่คือคำถามที่เฮมมิงเวย์ฝากทิ้งไว้ให้คนอ่าน พวกเราทุกคน
[1] เฮมมิงเวย์แตกต่างจากซินแคลร์อย่างชัดเจน ฝ่ายหลังเป็นนักสังคมนิยมตัวเอ้ ส่วนใน To Have and Have Not นักปฏิวัติก็รับบทบาทผู้ร้ายไม่ต่างอะไรจากเศรษฐี นายทุน
[2] กระนั้นก็ตาม The Great Gatsby เป็นนิยายของชนชั้นกลางที่โจมตีชนชั้นสูง ขณะที่ใน To Have and Have Not พยาธิสภาพแห่งความสะเพร่าเริ่มระบาดลงมาถึงชนชั้นกลางแล้ว
[3] ก่อนจะเป็นนิยาย To Have and Have Not มาจากเรื่องสั้นสองเรื่องคือ One Trip Across และ The Tradesman's Return
[4] ถึงจะเป็นนิยายที่ผมไม่ชอบเอามากๆ แต่สำหรับผู้สนใจ Continental Drift ของรัสเซล แบงก์ มีฉากนั่งเรือลักลอบข้ามชายแดนที่น่าจดจำอย่างที่สุด
[5] เฮมมิงเวย์เขียนให้แฮรีมีชีวิตแต่งงานแสนสุขสันต์ ตรงข้ามกับบรรดาผู้มั่งมี
โดย ภาณุ ตรัยเวช http://www.onopen.com/loveyouallmass/11-03-29/5764