The World of Perception
โธมัส บาล์ดวินศาสตราจารย์วิชาปรัชญาเขียนคำนำให้กับหนังสือ The World of Perception ของเมอลัว-พอยตี โดยบาล์ดวินสรุปปรัชญาของเมอลัว-พอยทีไว้ในคำนำได้อย่างตรงประเด็นว่า “มนุษย์ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง แม้แต่ว่าผลแห่งการกระทำนั้นจะแปรเปลี่ยนไปตามความหมายที่ผู้อื่นมอบให้แก่มันก็ตาม” คลับคล้ายคลับคลากับคำเปรียบเปรยว่าการกระทำหรือคำพูดก็เหมือนลูกศร เมื่อยิงออกไปแล้ว เราไม่รู้หรอกว่าจะไปโดนใครเข้าโดยเราไม่ตั้งใจหรือเปล่า การที่เราต้องมารับผิดชอบการกระทำของตัวเอง ถึงแม้ว่าผลแห่งการกระทำนั้นอาจจะตรงข้ามกับเจตนาของเราโดยสิ้นเชิง นี่แหละคือโศกนาฏกรรมของมนุษย์สมัยใหม่[1] อย่างแท้จริง[2]
The World of Perception รวบรวมบทบรรยายทางวิทยุ 7บทของเมอลัว-พอยที นักปรัชญาสายปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) ชาวฝรั่งเศส ซึ่งออกอากาศช่วงปีค.ศ. 1948 หัวใจหลักของบทบรรยายทั้ง 7นี้คือเตือนให้มนุษย์กลับเข้ามาอยู่ใน “โลกแห่งผัสสะ” (the world of perception) หรือ “โลกที่เราเห็นๆ อยู่ในชีวิตประจำวันผ่านทางประสาทสัมผัส โลกที่เราน่าจะรู้จักดีที่สุด…[แต่] กลับกลายเป็นดินแดนลี้ลับ” ข้อเสนอนี้ฟังดูขัดแย้งกับสามัญสำนึกไม่น้อย ไม่ใช่ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้จักแต่การมองแค่เปลือกหรอกรึ ศาสนา ปรัชญา ศิลปะ หรือกระทั่งวิทยาศาสตร์ล้วนแล้วแต่เป็นกระบวนการความคิดที่เปิดเปลือยโลกภายนอก เพื่อให้เราเห็นความซับซ้อน สวยงามของสิ่งที่มองไม่เห็น[3] แต่นี่เมอลัว-พอยทีกำลังพยายามเรียกร้องให้เราคืนสู่โลกแห่งความผิวเผินหรืออย่างไร
แรกสุดเมอลัว-พอยทีอรรถาธิบายว่าประวัติศาสตร์ของความรู้นั้นสวนทางกับสิ่งที่เราคิด ปรัชญาตะวันตกถูกครอบงำด้วยลัทธิเหตุผลนิยม (rationalist) นักเหตุผลนิยมหลักได้แก่เดสการ์ด เดสการ์ดเชื่อว่ามนุษย์เราไม่อาจไว้ใจประสาทสัมผัสทั้งห้า รวมถึงองค์ความรู้ที่มาจากประสาทสัมผัสได้ มีแต่การใช้ตรรกะและสติปัญญาล้วนๆ รวมไปถึงเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในการวัดเท่านั้นที่จะช่วยให้มนุษย์เข้าถึงความจริง “พัฒนาการของวิชาความรู้เริ่มต้นเมื่อมนุษย์เพิกเฉยต่อสิ่งที่ประสาทสัมผัสบอก” เหตุผลนิยมคือต้นกำเนิดของวิชาวิทยาศาสตร์[4] และเป็นตัวอย่างการระแวงสงสัยในโลกแห่งผัสสะของนักปรัชญาตะวันตก
จากนั้นเมอลัว-พอยทีถกเถียงว่าวิทยาศาสตร์และศิลปะยุคใหม่ ได้ทำลายทัศนคติแบบโบราณที่เชื่อว่ามีกลไกหรือสัจธรรมยิ่งใหญ่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังโลกแห่งผัสสะ และคอยควบคุมทุกอย่างที่เห็นได้ด้วยตา สัมผัสได้ด้วยมือ ฟังได้ด้วยหู เมอลัว-พอยทีใช้ตัวอย่างจากภาพวาดของเซซาน ในการวาดทิวทัศน์แบบคลาสสิค จิตรกรจะกำหนดจุดรวมสายตาไว้ที่อนันต์ เพื่อสร้างความตื้นลึกให้กับรูปภาพ ในทางตรงกันข้าม เซซาน ศิลปินยุคหลังอิมเพรชชันนิสต์ วาดภาพซึ่งไม่มีจุดรวมสายตาที่แน่นอน วัตถุแต่ละชิ้นบนภาพวาดของเซซานจะเปลี่ยนจุดรวมสายตาไปเรื่อยๆ ถ้าเอาการวิเคราะห์ความสวยความงามแบบคลาสสิคมาจับกับภาพของเซซาน เราจะได้ภาพที่ดูบูดเบี้ยว เหมือนกับจิตรกรไม่รู้วิธีวาดภาพให้เป็นสามมิติ[5]
เมอลัว-พอยทีกลับคิดว่าภาพบูดเบี้ยวของเซซานต่างหากที่ตอบสนองความจริงได้ดียิ่งกว่า เพราะในชีวิตประจำวันเราไม่เคยพุ่งเป้าสายตาไปที่อนันต์ (ซึ่งไม่มีอยู่จริง) แต่จะเปลี่ยนจุดรวมสายตาตามสิ่งที่เราตั้งใจมอง จุดรวมสายตาที่อนันต์ก็เหมือนสัจธรรมยิ่งใหญ่เบื้องหลังโลกแห่งผัสสะ การทำลายความสำคัญของจุดรวมสายตาก็คือการทำลายทัศนคติแบบโบราณ และมาให้ความสำคัญกับกลวิธีการมองในชีวิตประจำวันนั่นเอง (ส่วนตัวอย่างจากวิทยาศาสตร์คือทฤษฎีสัมพันธภาพพิเศษของไอนสไตน์ ซึ่งพูดตามตรง ผมว่าความเข้าใจทฤษฎีตัวนี้ของเมอลัว-พอยทีออกจะแก่นๆ แกนๆ ไปบ้าง)
ขณะที่นักเหตุผลนิยมอย่างเดสการ์ดเชื่อว่าความคิด[6] และร่างกายแยกออกจากกัน ร่างกายเป็นเพียงภาชนะที่ใช้บรรจุความคิด เมอลัว-พอยทีกลับเสนอว่า “มนุษย์คือความคิดที่มาพร้อมกับร่างกาย” ความคิดมาจากกระบวนการแบบบุคลาธิษฐาน หรือแทนที่สรรพสิ่งว่ามีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับมนุษย์ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีหรือไม่มีชีวิตก็ตาม (เมอลัว-พอยทีใช้ตัวอย่างจากฟรานซิส พองเกอร์ ผู้เขียนบทกวีเปรียบเปรยธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ด้วยบุคลาธิษฐาน) เมื่อบุคลาธิษฐานเป็นต้นกำเนิดของความคิด กระบวนการความรู้ ความเข้าใจทั้งปวงก็ต้องมาจากบุคลาธิษฐานเช่นกัน และการที่มนุษย์เราจะพัฒนาโวหารแบบนี้ขึ้นมาได้ ก็ต้องอาศัยความเข้าใจในร่างกายตัวเองก่อน ดังนั้นบทบาทของร่างกายจึงมีมากกว่าเพียงแค่ภาชนะบรรจุความคิด[7]
เมอลัว-พอยทีสรุปว่าประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์ควรให้ความสำคัญกับโลกแห่งผัสสะ มากกว่าสัจธรรมที่อยู่เบื้องหลังมนุษย์แต่ละคน จริงอยู่ว่าเมื่อเราโกรธใคร เรารู้สึกว่าความโกรธนั้นอยู่ในตัว และแสดงออกผ่านทางภาชนะหรือร่างกาย แต่ผู้อื่นไม่มีวันเห็นตัวตนความโกรธภายในตัวเราได้ เช่นเดียวกัน เมื่ออีกฝ่ายโกรธเรา สิ่งที่เราเห็นก็เพียงอาการแสดงออกภายนอกเท่านั้น ดังนั้น “ความโกรธจึงอยู่บนพื้นที่ที่เราอาศัยอยู่ร่วมกัน” พื้นที่นั้นไม่ใช่ความคิดส่วนบุคคล หากเป็นโลกแห่งผัสสะ สำหรับเมอลัว-พอยที สังคมไม่ใช่ “จิตวิญญาณล้วนๆ ที่มาอยู่ร่วมกัน” แต่เป็น “ปฏิสัมพัทธ์ระหว่างบุคคล” อีกนัยหนึ่งคือ “เราไม่อาจใช้เจตนาดีเป็นข้ออ้าง สำคัญกว่าคือเจตนาคือผลของการกระทำ”[8]
เกี่ยวกับสงครามสีในประเทศไทย มีแง่มุมหนึ่งที่น่าขบคิดคือ เรามักจะรู้สึกตลอดว่าตัวเราเองเป็นกลาง เพราะเราไม่เห็นด้วยกับผู้นำหรือมวลชนของสีใดสีหนึ่งทุกประการ คำกล่าวอ้างประเภท “ฉันทะเลาะมาแล้วกับคนทั้งสองสี” เหมือนจะเป็นตรารับประกันว่าเราเป็นกลาง ขณะเดียวกันเมื่อเราตัดสินการกระทำของคนอื่น เราไม่มีทางรู้ว่าฝ่ายนั้นคิดอะไรอยู่ และหลายครั้งการกระทำจะบ่งชี้ได้ง่ายมากว่าเป็นการกระทำสีอะไร (แม้แต่เรื่องกลางๆ และสมควรเป็นหน้าที่ของพุทธศาสนิกชน เช่น ออกมาเรียกร้องให้หยุดยั้งการสังหารหมู่ ก็ยังกลายเป็นเรื่องของสีไปแล้ว) เราถึงรู้สึกว่าเราเป็นกลางอยู่คนเดียว ท่ามกลางสังคมที่แบ่งสีแบ่งข้าง และเมื่อความเป็นกลางในบริบทของสังคมไทยเท่ากับความถูกต้อง เราเลยรู้สึกว่าตัวเองถูกกว่าคนอื่น
เมื่อเร็วๆ นี้ ผมไปออกรายการสนทนารายการหนึ่ง พิธีการถามว่าจำเป็นไหมที่เราต้องเลือกข้างในสถานการณ์ความขัดแย้ง ณ ปัจจุบันนี้ ถ้าเชื่ออย่างที่เมอลัว-พอยทีเชื่อว่า สังคมคือ “ปฏิสัมพัทธ์ระหว่างบุคคล” และไม่มีอะไรอยู่เบื้องหลังโลกแห่งผัสสะ คำถามนี้อาจจะไม่มีความหมายเลยก็ได้ เพราะสีถูกใส่อยู่ในการกระทำและปฏิสัมพัทธ์ตั้งแต่แรก (ขนาดการไม่ทำอะไรเลยยังถือเป็นการกระทำอย่างหนึ่งได้) เราอาจไม่จำเป็นต้องเลือกสี แต่การตระหนักรู้ว่าการกระทำของเราเป็นสีอะไรน่าจะสำคัญยิ่งกว่า
จำเป็นไหมที่เราต้องเลือกข้างในสถานการณ์ความขัดแย้ง ณ ปัจจุบันนี้
นี่แหละคือคำถามที่เมอลัว-พอยทีฝากทิ้งไว้ให้คนอ่าน พวกเราทุกคน
[1] คำว่า “สมัยใหม่” ที่เมอลัว-พอยทีใช้ในหนังสือเล่มนี้น่าจะใกล้เคียงกับ “หลังสมัยใหม่” แบบที่พวกเราเข้าใจกันมากกว่า ในบทวิจารณ์นี้จะข้อใช้คำว่า “สมัยใหม่” หรือ “ยุคใหม่” ตามเมอลัว-พอยที
[2] อยากชี้ให้เห็นด้วยว่านี่เป็นข้อสรุปที่ค่อนข้างจะสวนทางกับปรัชญาศีลธรรมของศาสนาพุทธซึ่งเชื่อว่าเจตนาคือเครื่องกำหนดกรรม ("เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ")
[3] วลีเด็ดจาก The Little Prince ซึ่งทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันดีคือ “สิ่งที่สวยงามไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา”
[4] ตัวอย่าง เช่น แกนคาทิเชียน ซึ่งเดสการ์ดคิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้อธิบายปรากฏการณ์ที่ตามองเห็นด้วย “เครื่องมือ” ทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่นอกเหนือประสาทสัมผัส ในเวลาต่อมาแกนคาทิเชียนกลายเป็นพื้นฐานของวิชาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์
[5] เซซานเป็นศิลปินผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินยุคใหม่อย่างปิกัสโซ
[6] ผมแปล “ความคิด” มาจาก “mind” ในภาษาอังกฤษ จริงๆ แล้วคำคำนี้ถ้าเป็นต้นฉบับฝรั่งเศสจะมีความหมายสองอย่างคือทั้ง “ความคิด” และ “จิตวิญญาณ” ซึ่งเป็นคำกำกวมแบบเดียวกับ Seele ในภาษาเยอรมัน (อันเป็นคำสำคัญที่ฟรอยด์ใช้ใน The Interpretation of Dream)
[7] สำหรับคนไทย เหตุผลตรงนี้อาจฟังดูอ่อนเกินไป ต้องเข้าใจว่าในปรัชญาตะวันตก อริสโตเติลเชื่อว่าความรู้ความเข้าใจของมนุษย์เกิดจากความสามารถในการใช้อุปมาอุปไมยโวหาร หรือการเปรียบเปรยระหว่างสิ่งหนึ่งและอีกสิ่งหนึ่งที่ต่างกัน แต่แบ่งปันคุณสมบัติบางประการ เมอลัว-พอยทีเพียงแต่เปลี่ยนเอาโวหารแบบหนึ่ง (อุปมาอุปไมย) มาเป็นโวหารอีกแบบ (บุคลาธิษฐาน) เท่านั้นเอง
[8] ในเชิงอรรถที่ 2 ผมได้พูดไปแล้วถึงคติ/อคติแบบพุทธศาสนาที่ให้ความสำคัญกับเจตนามากกว่าผลของการกระทำ เราอาจมองได้ว่าความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศไทยเป็นผลมาจากคนไทยสนใจแต่เจตนา เรามัวแต่ถามกันว่าคนที่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เขากระทำด้วยเจตนาใด ผู้กระทำเป็นคนดีหรือคนเลว โดยไม่สนใจเท่าที่ควรว่าผลของการกระทำนั้นคืออะไร เกิดเป็นอคติแบบไทยๆ ว่า “คนดีทำอะไรก็ไม่ผิด คนชั่วทำอะไรก็ผิดตลอด”
โดย ภาณุ ตรัยเวช http://www.onopen.com/loveyouallmass/10-09-27/5575
span � T l = 8�� erun:yes'> ในยุโรป ช่วงศตวรรษที่ 18และ 19บาปและการประพฤติผิดศีลเป็นแฟชั่นในหมู่ขุนนาง ดังตัวอย่างจากนิยาย เช่น Dangerous Liaisons หรือ The Picture of Dorian Gray
[4] ศาสนาคริสต์มีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับการอาบน้ำและการชะล้าง เช่น การรับศีลจุ่มเป็นพิธีสำคัญสำหรับเด็กแรกเกิด
[5] ถ้าเราสังเกตความเปลี่ยนแปลงของวาทกรรมอำนาจในประวัติศาสตร์ดีๆ จะพบว่า ในศตวรรษที่ 18พานอบติคอน คือคุกที่ผู้มีอำนาจใช้สายตาจ้องมองผู้อยู่ใต้อำนาจ แต่ในศตวรรษที่ 21เรียลลิตีทีวีคือรายการที่ผู้มีอำนาจแย่งชิงสายตาของผู้อยู่ใต้อำนาจ
[6] บทวิจารณ์นี้ยังซุกซ่อนรายละเอียดของเรื่องสั้นบางประการ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียอรรถรสการอ่านจนเกินไป ซึ่งรายละเอียดตรงนั้นยิ่งขับประเด็นนี้ให้ชัดเจนขึ้น
โดย ภาณุ ตรัยเวช http://www.onopen.com/loveyouallmass/10-12-02/5648