Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

The reader : กิตติ สิงหาปัด อ่าน ให้รู้จริง กับคนข่าว 3 มิติ

The reader  : กิตติ  สิงหาปัด อ่าน ให้รู้จริง กับคนข่าว 3 มิติ 

 

                                               

 
       กิตติ สิงหาปัด ผู้ประกาศข่าวแนวหน้าของเมืองไทย เติบใหญ่ขึ้นมาบนเส้นทางนี้ได้เพราะความสามารถ และความรู้ที่สะสมมาตลอดชีวิต แน่นอนว่าเพราะความรักการอ่านหนังสือตั้งแต่วัยเยาว์คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขายังยืนหยัดบนเส้นทางสื่อมวลชนที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคนหนึ่ง

       จุดหนึ่งที่ได้เปรียบเด็กบ้านนอกคนอื่น ก็คือมีหนังสือมากมายอยู่ที่บ้าน เพราะพ่อเป็นคุณครู และด้วยตัวตนของเขาที่เป็นคนใฝ่หาความรู้ แม้จะลำบากก็ยังต้องอ่าน ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อว่ากว่าที่บ้านจะมีไฟฟ้าใช้ก็ปาเข้าไปถึงวัยที่กิตติเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ทำให้ในวัยเด็กเขาต้องจุดตะเกียงอ่านหนังสือ

      “พ่อผมเป็นครูในต่างจังหวัดลูกครูจะได้เปรียบคนในหมู่บ้าน ที่บ้านจะมีหนังสือ โดยครูจะมีหนังสือนิตย์ครู หนังสือวิทยาการ ซึ่งถ้าเป็นบ้านคนอื่นก็จะไม่มีหนังสือพวกนี้ แล้วบางทีหนังสือส่งมาที่โรงเรียน พ่อก็เอากลับมาที่บ้าน เราก็จะมีโอกาสได้อ่าน ก็เป็นคนเข้าถึงหนังสือมากกว่าคนอื่น ”
 
       และแล้วความมุ่งมั่น ใฝ่รู้ของกิตติ ก็ทำให้ได้รู้ว่าหนังสือเป็นมากกว่าแค่กระดาษเปื้อนหมึกเหมือนที่หลายคนปรามาส วันนี้หนังสือได้มีส่วนในการเปลี่ยนชีวิตเด็กบ้านนอกคนหนึ่งให้ก้าวสู่สังคมเมืองจนได้รับความนิยมอย่างสูงในฐานะคนข่าว

      “ผมมีชีวิตทุกวันนี้ได้ สิ่งเดียวที่ผมมีจริง ๆ ก็คือความรู้ คือ ผมเป็นเด็กบ้านนอก เป็นเด็กต่างจังหวัด หาเลี้ยงชีพมาได้ทุกวันนี้ ถ้าไม่มีความรู้นี่ตายเลย หนึ่งเราไม่ได้มีพื้นฐานทำธุรกิจค้าขาย ไม่มีคอนเนคชั่น นามสกุลไม่ใหญ่ ไม่รู้จักใคร มันก็อาศัยความรู้ส่วนตัวนำพาตัวเองมา ซึ่งความรู้ที่นำพาตัวเองมา ก็คือความรู้จากการอ่านหนังสือ เพราะฉะนั้นคือถ้าผมไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่ได้อ่านตั้งแต่เด็ก ๆ ชีวิตไม่มีวันนี้แน่นอน มันก็คงไม่มาถึงแบบนี้ พูดได้เลยหนังสือทำให้ชีวิตมันเป็นทุกวันนี้”
 
       “สไตล์การอ่านของผมอาจไม่เหมือนคนจำนวนมาก ผมไม่อาจเรียกตัวเองเป็นหนอนหนังสือ เพราะไม่ได้อ่านแบบบ้าหนังสือ ทั้งที่หนังสือที่บ้านมีเยอะ แต่หนังสือของผมเป็นหนังสือความรู้ ผมไม่อ่านนิยาย ไม่อ่านเลย จะอ่านเฉพาะหนังสือแนวซีเรียส หนังสือจริงจัง วิชาการ สารคดี และพักหลังการอ่านของผมไม่ได้อ่านหนังสือเล่ม จะอ่านอัตถชีวประวัติเสียส่วนใหญ่ แล้วก็อ่านแนวประวัติศาสตร์ สังคม ความรู้ด้านเศรษฐกิจ ประวัติของคน แต่นิยายไม่อ่านตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ก็ไม่อ่าน มีความรู้สึกไม่อยากอ่าน ไม่รู้เป็นไร เรื่องสั้นอ่านบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ มีคนบอกแล้วผมก็อยากอ่าน เลือกอ่านบ้าง หรือหนังสือเล่มนี้ได้รางวัลมา ก็อยากรู้ว่าทำไมถึงได้รางวัล อ่านบ้าง แต่ไม่ได้อ่านมาก ผมก็เลยไม่มีหนังสือเล่มโปรด มีหนังสือที่ผมชอบอยู่บ้าง อ่านประวัติของเนลสัน แมนเดลา ซื้อมาผมก็ชอบท่าน เวลาอยากอ่านหนังสือธรรมะ ท่านพุทธทาส ก็ชอบท่านก็อ่าน แต่ไม่ได้เรียกหนังสือเล่มโปรด ”
 
       “นิสัยการอ่านของผม อ่านเพื่อตอบความสงสัยของตัวเองเป็นหลัก นิสัยเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก ถ้าได้ยินคนพูดมา แล้วไปถามคน เหมือนมันไม่ชัด ผมก็จะค้นของผมเอง สมัยเรียนเข้าห้องสมุดเลย ได้ยินคนพูดว่าอย่างนี้ ตกลงเป็นอย่างไรแน่ ก็ไปค้นหนังสือเลย เพื่อให้คนมาหลอกไม่ได้ เพื่อไปเถียงคนอื่นได้ กูอ่านมา แล้วกูฟังมาเป็นอย่างนี้ แล้วจะเถียงเราไม่ได้ เพราะเราไปค้นมาจริง ๆ ผมไม่เชื่อใคร ต้องค้นเอง แล้วมีฐานข้อมูลว่าค้นแล้วเป็นอย่างนี้ อ้างอิงอย่างนี้ จะสร้างนิสัยอย่างนี้ ๆ"

      “พอทำข่าวก็เหมือนกัน เมื่อแหล่งข่าวว่าเป็นอย่างนี้ ผมก็จะหาอ่านของผม ตอนหลังมันง่ายขึ้น ตรงที่อินเตอร์เน็ตมีทุกอย่าง นี่ผมก็สอนเด็กนักข่าวว่า คุณอย่าไปเอาแค่ฟังมา เช่น แม้กระทั่งเขียนแหล่งข่าวตัวนี้สะกดอย่างไร ไม่ชัด ต้องสร้างนิสัยเข้าไปตรวจสอบด้วยตัวเอง เปิดพจนานุกรมของราชบัณฑิตเลย ให้คนมาเถียงไม่ได้   หลัง ๆ จึงมาอ่านนิตยสารที่ความรู้หลากหลาย ผมไม่อยากอ่านอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ”

       แม้ไม่มีหนังสือโปรด แต่กิตติ ก็ยังชื่นชอบนักเขียนอย่างรงค์ วงษ์สวรรค์ พญากอินทรีแห่งสวนอักษร ทีมีแนวการเขียนแบบกวนๆ ตรงไปตรงมา   กิตติยังมองว่าปัจจุบันคนเข้าถึงการอ่านได้เยอะขึ้นเพราะเทคโนโลยีที่ทันสมัย ต่างจากยุคของเค้าโดยสิ้นเชิง และการอ่านนี่เองที่สร้างคนมานักต่อนัก แม้คนคนนั้นจะไม่ได้ร่ำเรียนระดับสูง ซึ่งก็น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับอีกหลายคนได้ โดยเฉพาะคนที่ไม่มีโอกาสได้เรียน

     “ผมเชื่อส่วนมากที่เรียนจบออกมา ความเก่งหรือความรู้ของเราในสาขานั้นมาจากการอ่าน อาจารย์ที่เล็กเชอร์ ก็เพียงท่านมาเสนอทัศนะของท่านบางอย่าง นำเราเข้าไปสู่ความรู้อะไรบางอย่าง แต่ถามว่าเราไม่อ่านของเราเอง เราจะมีความรู้ไหม ลำพังฟังเลคเชอร์ชั่วโมง สองชั่วโมงก็จบ เทอมนึงอาจฟัง 3 เดือน อาจารย์ก็มาสอนอาทิตย์ละหน แต่ทั้งหมดอาจารย์สั่งให้เราไปอ่านทั้งนั้นเลย เพื่อเอาความรู้มาสอน"

     “ที่พูดเพราะบางคนไม่ได้เรียนหนังสือ ทำไมเขาถึงมีความคิดความอ่าน มีมุมมอง มีทัศนะซึ่งสามารถประดิษฐ์อะไรได้มากมายมหาศาลโดยที่ไม่เรียนหนังสือ เขามีความรู้ก็เพราะเขาอ่าน บางอันอาจได้จากการทดลองทำโดยไม่อ่านก็มี พวกที่เป็นชาวสวน ปราชญ์ชาวบ้าน อาจเรียนรู้จากการกระทำ จากคนรอบข้าง แต่คนจำนวนมากก็เก่งจากการอ่าน ถามว่าชีวิตเขาเปลี่ยนไหม เปลี่ยนมากจากการอ่านหนังสือ ลองไปคุยกับคนที่เราคิดว่าเรียนน้อยจบป.6 จบม.3 ทำไมความรู้เขาถึงมากบางทีเหมือนเขาจบปริญญาเอก ก็เพราะเขาอ่าน การอ่านจะนำเราไปสู่ทุกสิ่งทุกอย่าง ได้ไอเดียใหม่ ๆ ชีวิตถ้าไม่อ่านก็ต้องคุยกับคนเยอะถึงจะรู้อย่างนั้นได้ คือต้องนั่งคุยกับคนมหาศาล หรือต้องดูทีวี สารคดีมาก ถึงมีความรู้อย่างนั้น แต่ผมว่าเราก็คงไม่มีเวลานั่งคุยกับคน หรือนั่งดูหนัง สารคดีมากอย่างนั้น"

    “ยุคนี้ผมว่าไม่ว่าเป็นใครก็ตาม รู้จักหรือไม่ ผมรู้สึกเพื่อนผมที่อยู่ต่างจังหวัด แล้วก็มีลูกอยู่ต่างจังหวัด ลูกเค้าไม่ได้มีอะไรเสียเปรียบเด็กกรุงเทพ เรียนเก่ง สอบเข้าหมอ วิศวะ สอบติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพได้ทั้งหมด แปลว่าการขยันอ่าน เนื่องจากสมัยนี้พรมแดนไม่เหมือนสมัยผมแล้ว เข้าอินเตอร์เน็ตที่ไหนก็มี ตำบล หมู่บ้าน มันมีแหล่งความรู้เท่ากันหมด ผมพบว่าเด็กในต่างจังหวัด ก็เก่ง เก่งมาก ไม่ได้มีอะไรมีปัญหาเลย คำถามคือ ทำไมเขาเก่ง คำตอบคือ เขาอ่าน ความเก่งของคนมาจากการอ่านหนังสือ ก็น่าสรุปได้ การอ่านทำให้คนเข้าถึงความรู้ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ทำให้คนเปลี่ยนแปลงตัวเองได้มหาศาล”

       และในยุคของข้อมูลข่าวสารที่ไม่มีขีดจำกัด และเข้าถึงง่าย แต่กลับผกผันกับการเสพข่าวสารของคนในสังคม ที่เชื่อง่าย งมงาย จนขาดการกลั่นกรอง กลายเป็นปัญหาต่อเนื่อง สังคมเราจะดีขึ้นหากเราขยันเข้าหาข้อมูลที่มีอยู่มากมายเพื่อค้นหาข้อมูลรอบด้านเหมือนที่กิตติใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตการอ่าน

      “วิธีที่ผมอ่านที่เราอยากรู้ และจำเป็น หนังสือพิมพ์ต้องอ่านเทียบฉบับนี้กับอันนี้ ค่อย ๆ อ่านที่ตัวเองอยากรู้ อ่านเพื่อตอบคำถามส่วนตัว บางทีผมฟังรายงการวิทยุจำนวนมาก ใครอยากรู้เรื่องอะไรให้โทรเข้ามาจะตอบ ผมก็คิด ทำไมคนที่โทรเข้าไปไม่หาข้อมูลในเน็ต ถามเขาทำไม ก็อ่านซิครับ ควรถามที่เป็นความเห็น อ่านในหนังสือไม่ได้ จึงต้องถามเจ้าตัว และถ้าพิมพ์ในเน็ตมันจะพรวดขึ้นมา อ่านนักวิชาการสำนักนี้เทียบสำนักนี้ ในเน็ตจะมีที่มาเต็มไปหมด นี่คือการอ่านล้วน ๆ อ่านในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ อ่านเข้าไป เครื่องบินตก ภูเขาไฟ อย่าไปรอทีวีมาเสนอ ไม่ทะลุปรุโปร่ง คุณก็พิมพ์เข้าไป คลิกเข้าไป ข้อมูลมาเป็นตัน นี่คือคำแนะนำผม จะกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นไปไม่มีที่สิ้นสุด”
 
 
 
 
 
 
 
ขอบคุณบทความจาก : รายการ The Library ห้องสมุดจุดฝัน