The Prince
เคยได้ยินนิทานจีนเรื่องนี้ไหม กาลครั้งหนึ่งมีชายเจ้าชู้แอบลอบสานสัมพันธ์กับภรรยาน้อยและภรรยาหลวงของเพื่อนบ้าน ขณะที่ภรรยาหลวงปั้นหน้ายักษ์ใส่ ภรรยาน้อยกลับเล่นหูเล่นตาตอบ เมื่อถึงคราวเพื่อนบ้านเสียชีวิต ชายชู้รับภรรยาหลวงมาตบแต่งอยู่กิน ใครๆ ต่างสงสัยเหตุใดเขาจึงเลือกภรรยาหลวงแทนที่จะเป็นภรรยาน้อย เขาตอบว่า “เมื่อจะเลือกหญิงคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในบ้าน ข้าต้องแน่ใจว่าหล่อนจะปฏิเสธชายอื่นที่มาเกี้ยวพาราสีหล่อนเหมือนที่เคยทำกับข้า”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ในบางโอกาส มิตรสหายคือคนที่เราต้องหวาดระแวง และกลับเป็นศัตรูที่เราฝากผีฝากไข้ไว้ด้วยได้
ยกตัวอย่างนิทานเรื่องนี้ เพราะอยากชี้ให้เห็นความเป็นสากลในภูมิปัญญาของมาคิอาเวลลี เจ้าผู้ปกครอง เป็นหนังสือที่เขาเขียนถวายแด่ทายาทตระกูลเมดิซี มาคิอาเวลลีรวบรวมภูมิความรู้จากประวัติศาสตร์ นำมาสกัดเป็น “คู่มือ” เล่มบางๆ สอนกลยุทธการปกครอง การสงคราม และเรื่องควรรู้อื่นๆ เกี่ยวกับการเป็นเจ้าคนนายคน
จะเรียกมันแบบไทยๆ ว่าตำราทศพิธราชธรรมก็คงไม่ผิดนัก แต่โดยเนื้อหาแล้ว น่าจะใกล้เคียงกับ สามก๊ก ที่ว่ากันว่าอ่านสามจบ คบไม่ได้มากกว่า มาคิอาเวลลีเชื่อว่าเล่ห์เหลี่ยมสำคัญกว่าคุณธรรม ถึงขนาดอุทิศบทหนึ่งวิเคราะห์ว่าทำไม “ถ้าจำเป็นต้องเลือก ผู้ปกครองควรเลือกให้คนกลัวมากกว่าให้คนรัก” เหตุผลของมาคิอาเวลลีคือ ความรักนั้นลางเนื้อชอบลางยา เราไม่อาจบังคับจิตใจใครให้มารักเราได้ แต่เราสามารถทำตัวเองเป็นที่หวาดกลัวยำเกรงของผู้อื่นได้ เจ้าผู้ปกครองต้องรู้จักใช้ความโหดร้ายอย่างชาญฉลาด คือใช้หนเดียวแรงๆ ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้สิ่งที่เขาต้องการ การใช้ความโหดร้ายอย่างโง่เขลาคือใช้ทีละนิด แต่ใช้ซ้ำซากไปมา “ความรุนแรง ถ้าใช้เพียงครั้งเดียว ผู้คนจะลืมเลือน และไม่เก็บเอาไปโกรธแค้น ส่วนความการุณ ถ้าค่อยๆ ใช้ทีละนิด ผู้คนจะซาบซึ้งใจยิ่งกว่า”
มาคิอาเวลลีย้ำว่าในการบุกยึดเมืองใดๆ สายสนกลในของข้าศึกเป็นตัวแปรสำคัญที่สุด ในทุกประเทศย่อมต้องมีทั้งผู้ที่สูงส่งและต่ำต้อย ผู้ต่ำต้อย หากไม่มีความสามารถหรือกำลังทรัพย์พอจะปีนป่ายฐานันดรศักดิ์ ก็ต้องยืมแรงผู้รุกราน คนเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญสำหรับเจ้าผู้ปกครองในการตีทะลายกำแพงเมือง มาคิอาเวลลีเปรียบเทียบฝรั่งเศสและตุรกี ตุรกีปกครองแบบอำนาจนิยมเบ็ดเสร็จ ขุนนางเป็นเพียงมือเท้าแขนขาของกษัตริย์ ประเทศแบบนี้จะบุกตียาก เพราะข้าศึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำตามเจตนารมณ์เดียวของเจ้าเหนือหัว ส่วนฝรั่งเศสเป็นประเทศที่อ่อนแอกว่า เพราะขุนนางแบ่งฝักแบ่งฝ่าย อำนาจกษัตริย์ก็ไม่ทั่วถึง ประเทศแบบนี้ตีง่ายนัก เพราะจะหาคนทรยศสักกี่คนก็ทำได้
สำคัญพอๆ กับการใช้ไส้ศึกกลใน คือการตอบแทนพวกเขาหลังสงครามเสร็จสิ้น หรือพูดให้ถูกคือการไม่ตอบแทนเลย หรือตอบแทนแค่พอหอมปากหอมคอ เจ้าผู้ปกครองต้องระวังว่าคนเหล่านี้จะไม่ซ่องสุมกำลังพลหรือมีอำนาจมากเกินไป “ใครก็ตามที่ปรารถนาจะเปลี่ยนนายเหนือหัว นั่นแสดงว่าเขากำลังคาดหวังอะไรบางอย่างอยู่” และคนประเภทนี้จะผิดหวังได้ง่าย เป็นอันตรายต่อนายเหนือหัวคนใหม่ ดังนั้น ในทางกลับกันถ้ายึดครองมาอยู่ในอำนาจได้เมื่อไหร่ ฝรั่งเศสจะปกครองยากกว่าตุรกี เพราะจำเป็นต้องตอบแทนสินน้ำใจให้บรรดาไส้ศึก รวมถึงถ่วงดุลขั้วอำนาจต่างๆ ทางที่ดี อาจจะเหมือนกับผู้ชายในนิทานจีน ใครที่เคยทำประโยชน์ให้เรา กำจัดทิ้งเสียแต่เนิ่นๆ และหันไปสรรเสริญเชิดชูข้าศึกเก่าจะสมประสงค์กว่า
ทำไมทศพิธราชธรรมของฝรั่งถึงได้โหดร้ายนัก หรือฝรั่งมีความโหดร้ายในกมลสันดานมากกว่าคนไทย[1] อาจจะหรืออาจจะไม่ก็ได้ ต้องไม่ลืมว่า คนไทยเองก็มีคำพังเพย “เสร็จนา ฆ่าโคทึก เสร็จศึก ฆ่าพระยา” ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันเอามากๆ [2] บทเรียนที่มาคิอาเวลลีไม่ได้ตั้งใจ แต่บรรดานกสองหัวทั้งหลายควรจะเรียนรู้เอาไว้คือ “ใครก็ตามที่ไขว่คว้าอำนาจด้วยการหนุนหลังคนอื่น แท้ที่จริงแล้วเขากลับทำลายตัวเอง เพราะอำนาจนั้นเกิดมาจากเล่ห์เหลี่ยมและกำลัง ซึ่งทั้งสองสิ่งล้วนเป็นที่หวาดระแวงของผู้เป็นใหญ่เป็นโตทั้งนั้น”
บทเรียนของมาคิอาเวลลีตั้งอยู่บนการสังเกตวิเคราะห์และธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ใช่ศีลธรรมจรรยาจากพระผู้เป็นเจ้า มาคิอาเวลลีต้องการฉีกวาทกรรมการปกครองออกจากการครอบงำของศาสนา แม้แต่สังฆราชบาทหลวงใน เจ้าผู้ปกครอง จึงมาปรากฏตัวในฐานะผู้วางหมากซ้อนกลในเกมแห่งอำนาจ มากกว่าในฐานะนักบุญ (มาคิอาเวลลีคงมองขาดแล้วว่า ศาสนาไม่มีประโยชน์อะไรในฐานะเครื่องมือรัฐกิจ) หนเดียวที่มาคิอาเวลลีเอ่ยนามพระผู้เป็นเจ้า เขาเรียกท่านว่า “ครูผู้ยิ่งใหญ่” ในที่นี้คือครูของโมเสส ผู้ซึ่งถูกยกย่องให้เป็นยอดนักปกครอง
แม้ว่าเจ้าผู้ปกครองของมาคิอาเวลลีจะมีนิสัยใจคอโหดร้าย แต่ก็ไม่ใช่ “ทรราช”[3] ในยุคสมัยของมาคิอาเวลลี ไม่มีประชาธิปไตย ไม่มีใครพูดถึงระบบการปกครองที่ศูนย์อำนาจอยู่ในมือประชาชน มาคิอาเวลลีกลับเป็นนักปกครองคนแรกๆ ที่ให้ความสำคัญกับเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ ถ้าต้องเลือกระหว่างขุนนางและประชาชน นักปกครองที่ดีจะเลือกประชาชนก่อน ประชาชนคือกลุ่มก้อนที่มีพลังมากสุดในสังคม[4] ปราชญ์ผู้เชื่อว่า “ถ้าจำเป็นต้องเลือก ผู้ปกครองควรเลือกให้คนกลัวมากกว่าคนรัก” กลับเป็นคนแรกๆ ที่วางรากฐานประชาธิปไตยในโลกตะวันตก[5]
หันมามองละครการเมืองในประเทศเรา แล้วถามตัวเองเล่นๆ ว่าใครบ้างที่ประพฤติตัวเป็น เจ้าผู้ปกครอง ใครบ้างที่สอบผ่านตำราทศพิศราชธรรมของมาคิอาเวลลี
นั่นคือคำถามที่มาคิอาเวลลีฝากทิ้งไว้ให้คนอ่าน พวกเราทุกคน
[1] ความเจ้าเล่ห์ของ เจ้าผู้ปกครอง ถึงกับให้กำเนิดศัพท์คำหนึ่งในภาษาอังกฤษคือ Machiavellian เป็นคำขยาย หมายถึงการใช้ความเจ้าเล่ห์เพื่อบริหารอำนาจ
[2] ขอยกตัวอย่าง จดหมายที่ผู้อ่านทางบ้านส่งถึงมติชนรายสัปดาห์ ฉบับที่ 1560 “สนธิ ตามพจนานุกรม ให้ความหมายว่า น. ที่ติดต่อ, การติดต่อ ขณะเดียวกัน…คนที่เป็นสื่อใช้สื่อปลุกระดมทางสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ก็อาจจัดอยู่ในความหมายที่ว่านี้ การกระทำดังกล่าว เคยมีตัวอย่าง กล่าวคือ เมื่อบรรลุผล คนที่เป็นสื่อพยายามเข้าไปในกลุ่มอำนาจเพื่อจะไปทวงบุญคุณหรือแสดงให้เห็นว่าเป็นพวกเดียวกันหรืออย่างไรก็แล้วแต่ กลับไม่เป็นที่ยอมรับ กว่าจะรู้ว่าถูกหลอกใช้ ไม่รู้ว่ามือที่เท่าไรล่อกบาลคนที่เป็นสื่อเข้าให้”
[3] (จากพจนานุกรมฉบับมติชน) “น. ผู้ปกครองบ้านเมืองที่ใช้อำนาจกดขี่ทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้อยู่ใต้ปกครอง”
[4] มีคนถามเม่งจื้อว่า ถ้าต้องเลือกระหว่าง กฎหมาย ทหาร และข้าวปลาบริบูรณ์ จะเลือกอะไร เม่งจื้อตอบว่าไม่เลือกเลย เพราะประชาชนต่างหากที่สำคัญที่สุด
[5] ในทางตรงกันข้าม ผู้ปกครองที่ปรารถนาให้คนรัก นั่นต่างหากที่อาจจะเป็นทรราชตัวจริง
โดย ภาณุ ตรัยเวช http://www.onopen.com/loveyouallmass/11-03-06/5750