Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

THE LIVING SUPERHERO: สแตน ลี

 

 
“WITH GREAT POWER THERE 
MUST ALSO COME GREAT 
RESPONSIBILITY!” 
 
สไปเดอร์แมนเอ่ยประโยคนี้ขึ้นใน 
การปรากฏตัวสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก 
ของเขาในหนังสือการ์ตูนชุด Amazing 
Fantasy #15 (สิงหาคม 1962) ก่อนที่ 
มันจะกลายเป็นถ้อยคำเตือนใจเหล่า 
ฮีโร่ถึงความรับผิดชอบอันหนักอึ้งอยู่บน 
บ่าที่โด่งดังติดหู ในเวอร์ชั่นดัดแปลงให้ 
กระชับขึ้นว่า “With great power 
comes great responsibility.” จาก 
หนังเรื่อง Spider-Man (2002) 
 
แต่ประโยคเท่ๆ ที่ว่ามานี้จะไม่มีวัน 
เกิดขึ้นได้… ความจริงจะไม่มีแม้แต่ 
สไปเดอร์แมนเกิดขึ้นบนโลกนี้ได้ ถ้าไม่ 
มีผู้ชายที่ชื่อสแตน ลี (Stan Lee) 
 
นักเขียนการ์ตูนคนนี้สร้างสีสันใหม่ 
ให้โลกที่เคยอยู่ใต้เงาผ้าคลุมของฮีโร่มาด 
ขรึมอย่าง Superman และ Batman ด้วยการแนะนำซุปเปอร์ฮีโร่สายพันธุ์ใหม่ 
 
อาทิ Spider-Man,Fantastic Four, X-Men, Avengers, Hulk, Iron Man, Thor, Daredevil และ Doctor Strange และทำให้มาร์เวล (Marvel) กลายเป็นสำนักพิมพ์ชื่อดังระดับตำนานมาจนถึงทุกวันนี้ 
 
 
Stan ‘The Man’ Lee 
 
Stan Lee เป็นนามปากกาที่ลีใช้กับผลงานชิ้นแรกซึ่งปรากฏสู่สาธารณชนในปี 1941 เขาเล่าว่าตอนนั้นเก็บชื่อสแตนลีย์ มาร์ติน ลีเบอร์ (Stanley Martin Lieber) ซึ่งพ่อแม่ตั้งให้เอาไว้เขียนอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นแต่ลีไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งเรื่องเล่นๆ อย่างการ์ตูนนี่แหละที่ทำให้เขาได้รับการยอมรับในฐานะผู้ยิ่งใหญ่ ภายใต้สมญานาม ‘The Man’ 
 
ลีลืมตาดูโลกที่มหานครนิวยอร์กเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 1922 เมืองนี้จึงเป็นเมืองที่เขาคุ้นเคยที่สุดและเลือกใช้เป็นฉากในการ์ตูนซุปเปอร์ฮี่โร่ที่สร้างขึ้น พ่อแม่ของเขาเป็นชาวยิวเชื้อสายโรมาเนียที่อพยพเข้ามาอยู่อเมริกาแจ๊ก ลีเบอร์ (Jack Lieber) ผู้เป็นพ่อ ทำงานเป็นคนตัดผ้าสำหรับเย็บชุด แต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในช่วงนั้นก็ทำให้รายได้ไม่สม่ำเสมอนัก 
 
ความจำเป็นและความกระตือรือร้นส่วนตัวทำให้เจ้าหนูทำงานพิเศษหลายต่อหลายอย่างในระหว่างเรียน ความที่ชอบอ่านและเขียนหนังสือจึงได้งานเขียนข่าวมรณกรรมให้สำนักข่าวและจดหมายเหตุของศูนย์วัณโรคแห่งชาตินอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นเด็กส่งแซนด์วิชไปที่ออฟฟิศต่างๆ ในศูนย์ธุรกิจร็อกกี้เฟลเลอร์เซ็นเตอร์ กระทั่งเป็นเด็กจัดการเอกสารในโรงงานทำกางเกง พนักงานเดินตั๋วของโรงละครริโวลี และขายสมาชิกหนังสือพิมพ์ New York Herald Tribune ก็ทำมาแล้ว 
 
เมื่อเขาเรียนจบมัธยมตั้งแต่อายุยังไม่เต็ม 17 ปี ก็ได้เข้าทำงานในบริษัทเปิดใหม่ชื่อไทม์ลีย์ คอมิกส์ (Timely Comics) ของลุงเขยมาร์ติน กู๊ดแมน (Martin Goodman) ซึ่งเพิ่งจะหันมาจับตลาดหนังสือการ์ตูน 
 
ในยุคนั้นซุปเปอร์ฮีโร่ที่ครองโลกหนังสืออยู่มีเพียงวีรบุรุษกางเกง(ใน)แดง กับมนุษย์ค้างคาวของสำนักพิมพ์ดีซี คอมิกส์ (DC Comics) ลุงเขยของลีทดสอบตลาดด้วยการจ้างทีมงานมาผลิตหนังสือการ์ตูน Marvel Comics #1 (ตุลาคม 1939)เมื่อพบว่าหนังสือเล่มแรกขายได้มากถึง 80,000เล่มนำไปสู่การจ้างทีมงานประจำ ได้แก่ โจไซมอน (Joe Simon) มาเป็นบรรณาธิการ ซึ่งไซมอนก็ได้พานักวาดคู่ใจ ได้แก่ แจ๊ก เคอร์บี้ (Jack Kirby) และซิด ชอร์ส (Syd Shores) มาร่วมงานกับไทม์ลีย์ คอมิกส์ด้วย 
 
หนุ่มน้อยกลายเป็นคนในวงการการ์ตูนซึ่งกำลังอยู่ในช่วงยุคทองพอดี ซึ่งยุคทองของการ์ตูนอเมริกันเริ่มขึ้นเมื่อค่ายดีซี คอมิกส์ แนะนำให้โลกได้รู้จักกับซุปเปอร์แมนในปี 1938 ตามมาด้วยแบทแมนในปี 1939 โดยเป็นครั้งแรกที่มีการวาดการ์ตูนใหม่ออกมาวางจำหน่าย แทนการตีพิมพ์เป็นตอนๆ ในหนังสือพิมพ์ก่อนแล้วจึงรวมเล่มขาย 
 
ลีไต่เต้าจากหน้าที่เด็กเติมหมึกให้นักวาดเด็กซื้ออาหารกลางวัน ไปจนถึงการพิสูจน์อักษรและลบเส้นดินสอเพื่อเก็บรายละเอียดชิ้นงาน 
 
เมื่อไซมอนและเคอร์บี้แท็กทีมกันสร้างฮีโร่คนใหม่ในนาม ‘กัปตันอเมริกา’ ก็เป็นจังหวะใกล้เคียงกับที่ลีได้เลื่อนขั้นมาเป็นคนเขียนบทพูดใน Captain America Comics #3 (พฤษภาคม 1941) พอดี โดยมีนามแฝง ‘สแตน ลี’ ปรากฏครั้งแรกในฐานะคนเขียนบทในตอน ‘CaptainAmerica Foils the Traitor’s Revenge’ 
 
ไม่กี่เดือนหลังจากนั้นเขามีโอกาสได้แสดงฝีมือสร้างสรรค์ตัวละครตัวแรกขึ้น คือ Destroyerตามมาด้วย Jack Frost และ Father Time 
 
ลีเพิ่งเริ่มสนุกกับการได้ใช้จินตนาการสร้างสรรค์ตัวละครขึ้นเอง เมื่ออยู่ดีๆ ส้มลูกโตหล่นใส่เขาดังโครม หลังไซมอนและเคอร์บี้ไม่พอใจกับค่าตอบแทนของกู๊ดแมนและย้ายค่ายไปอยู่กับดีซี คอมิกส์ หนุ่มน้อยวัย 19 ปีเลยได้นั่งตำแหน่งรักษาการบรรณาธิการ 
 
รู้ตัวอีกทีก็ได้เลื่อนขั้นเป็นนักเขียนที่ควบตำแหน่งบรรณาธิการบริหาร ตำแหน่งอาร์ตไดเร็กเตอร์ และถึงจุดหนึ่งยังได้เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาแทนกู๊ดแมนด้วย 
 
 
Marvel Superheroes 
 
ปี 1942 ลีพักงานที่ไทม์ลีย์ฯ เพื่อรับใช้ชาติในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทักษะที่มีถูกใช้ตลอดช่วง 3 ปีที่ปฏิบัติหน้าที่ในกองทัพ โดยลีรับผิดชอบการเขียนบทสำหรับภาพยนตร์ ฝึกอบรม และช่วยเขียนคู่มือต่างๆ 
 
เมื่อปลดประจำการและกลับมาทำงานอีกครั้ง บริษัทก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นแอตลาส คอมิกส์ (Atlas Comics) ช่วงนั้นสำนักพิมพ์เปลี่ยนแนวมาทำการ์ตูนแนวโรแมนติกและสยองขวัญเพื่อเอาใจตลาด ซึ่งคนสนใจเรื่องราวแนวซุปเปอร์ฮีโร่น้อยลง แต่หันไปดูละครทีวีน้ำเน่ากันมากเรื่องนี้ทำให้ลีรู้สึกเบื่อหน่ายและไม่อยากทำงานจนถึงขั้นคิดจะลาออกและเปลี่ยนสายงานไปเลย 
 
โชคดีที่ลีไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกอย่างนั้น ช่วงปลายยุค 50s ค่ายดีซีฯ คือเจ้าแรกที่หันมาดันการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่ลงตลาดอีกครั้ง กู๊ดแมนเห็นกระแสจะวกกลับเลยมอบหมายให้ลีสร้างตัวการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่ใหม่ๆ ขึ้นมา 
 
แอตลาส คอมิกส์ เปลี่ยนชื่อเป็นมาร์เวล คอมิกส์ (Marvel Comics) ในปี 1961 พร้อมๆกับการวางอิฐก้อนแรกของลีที่จะทำให้มาร์เวลกลายเป็นตำนาน 
 
โจแอน เคลย์ตัน บูค็อก (Joan Clayton Boocock) อดีตนางแบบหมวกที่จดทะเบียนเป็นคู่ชีวิตของลีในปี 1949 คือคนที่แนะนำให้สามีลองสร้างตัวละครในแบบที่เขาชอบขึ้นมา แทนที่จะเดินตามรอยซุปเปอร์ฮีโร่ในอดีต 
 
ไหนๆ ก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว ลีเลยลองออกแบบคาแร็กเตอร์ให้ฮีโร่ของเขามีพลังเหนือมนุษย์ แต่คงความบกพร่องแบบชาวเรา ทั้งความเจ้าอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง โศกเศร้า 
 
ลีร่วมกับเคอร์บี นักวาดรุ่นใหญ่ซึ่งกลับมาร่วมงานกับกู๊ดแมนอีกครั้ง สร้าง Fantastic Fourขึ้นในปี 1961 ต่อเนื่องด้วย Thor, Hulk, IronMan และ X-Men ภายในเวลาเพียง 2 ปี 
 
 
ส่วนซุปเปอร์ฮีโร่ที่สร้างชื่อให้เขามากที่สุดหนีไม่พ้นสไปเดอร์แมน ที่ลีร่วมงานกับสตีฟดิตโก (Steve Ditko) สรรค์สร้างฮีโร่หนุ่มผู้เผชิญกับความขัดแย้งทั้งภายนอกและภายในตัวเองขึ้น จนกลายเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ที่วัยรุ่นชื่นชอบและสร้างรายได้ให้กับมาร์เวลได้สูงที่สุด 
 
ตัวละครใหม่ๆ ของลีมีเอกลักษณ์ที่เขามักใช้อักษรเดียวกันตั้งชื่อและนามสกุล อาทิ PeterParker (Spider-Man), Reed Richards (Mr. Fantastic), Sue Storm (Invisible Woman)และ Dr. Bruce Banner (Hulk) 
 
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ฮีโร่ของเขาไม่เพอร์เฟ็กต์แบบพระเอกในการ์ตูนที่เขียนให้เด็กอ่าน แต่เป็นตัวละครที่ทุกคนสัมผัสได้ ตัวละครที่ใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆ ยามจีบสาว หัวเสียเมื่อทะเลาะกันเองกับเพื่อน หรือโศกเศร้าเมื่อมีการสูญเสีย นอกจากนี้ยังใช้ฉากของเรื่องให้อยู่ในมหานครนิวยอร์กเพื่อเพิ่มความสมจริง ต่างจากเมืองสมมุติของฮีโร่รุ่นก่อน เช่นเมืองก๊อตแธมของแบทแมน 
 
ตลอดยุค 60s ลีทำงานมือเป็นระวิง โดยรับหน้าที่เป็นทั้งบรรณาธิการออกแบบการ์ตูนแต่ละเรื่อง เป็นอาร์ตไดเร็กเตอร์ เขียนคอลัมน์ ตอบจดหมาย เขียนโฆษณา ฯลฯ อีกเพียบ จนต้องใช้วิธีการทำงานที่จะช่วยให้เขาทำงานทุกอย่างเสร็จทันเวลาโดยไม่ต้องมีสิบเศียรยี่สิบกร 
 
วิธีการนี้เป็นที่นิยมทั่วไปในแวดวงสิ่งพิมพ์อยู่แล้ว แต่เพราะลีทำแล้วประสบความสำเร็จกว่าคนอื่น เลยถูกขนานนามว่าเป็น ‘วิธีของมาร์เวล’ 
 
นั่นคือลีจะเป็นคนคิดพล็อตเรื่องให้นักวาดภาพ โดยไม่ลงรายละเอียดในแต่ละช็อต แต่ให้นักวาดมีส่วนร่วมในการจินตนาการและสร้างสรรค์งานออกมา จากนั้นจึงกลับมาเป็นหน้าที่ของลีในการเขียนคำพูดลงในช่อง และควบคุมการลงสีอีกที 
 
ด้วยวิธีนี้ทำให้ลีร่วมงานกับนักวาดภาพได้ครั้งละหลายๆ คน โดยที่นักเขียนเองก็ไม่ต้องรอคิวให้บรรณาธิการว่างมาลงรายละเอียดกับเรื่องของตัวเอง นำมาสู่การผลิตงานได้จำนวนมากในแต่ละเดือน แม้จะนำมาสู่ความกังขาในเวลาต่อมาว่าลีมีส่วนร่วมในการพัฒนาคาแร็กเตอร์ของตัวการ์ตูนแต่ละตัวมากน้อยขนาดไหนก็ตามที 
 
New Age Comic 
 
ไม่สำคัญว่าลีสร้างตัวละครขึ้นเองทั้งหมดหรือไม่ สิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นที่รักของคอการ์ตูนคือการที่เขาไม่เพียงเปลี่ยนตัวตนของฮีโร่ให้สมจริงขึ้นเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนการรับรู้เกี่ยวกับการ์ตูน จากเรื่องไร้สาระสำหรับเด็กให้กลายเป็นความบันเทิงของกลุ่มผู้อ่านที่โตขึ้นและสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างผู้อ่านกับทีมงานเริ่มจากการเพิ่มคอลัมน์กระดานข่าวลงในหนังสือ และเพิ่มเครดิตอ้างอิงให้กับคนลงสีและใส่ตัวอักษร นอกเหนือไปจากนักเขียนและนักวาด 
 
ลีส่งเสริมให้ใช้การ์ตูนพูดถึงปัญหาสังคม ทั้งเรื่องการเหยียดเชื้อชาติ เรื่องอคติระหว่างกลุ่ม และชอบใช้คำศัพท์สูงๆ ในการ์ตูนเพื่อให้ผู้อ่านได้เรียนรู้คำใหม่ๆ นอกจากนี้ยังสื่อสารกับวัยรุ่นว่าแม้แต่ซุปเปอร์ฮีโร่ก็ยังมีปัญหาและต้องการความช่วยเหลือที่ถูกต้อง 
 
ในปี 1971 ลีได้รับคำขอร้องจากภาครัฐให้ช่วยเพิ่มเนื้อหาต่อต้านยาเสพติดลงในการ์ตูนเรื่องดังของเขาสักเรื่อง ซึ่งเจ้าตัวก็รับคำและเลือกการ์ตูนดังอย่างสไปเดอร์แมนมาเดินเรื่อง 
 
ครั้งนั้นลีและทางสำนักพิมพ์ตัดสินใจละเมิดกฎหมาย ด้วยการจงใจเสนอภาพเพื่อนสนิทของสไปเดอร์แมนเสพยา ขัดกับข้อบังคับที่ห้ามเสนอภาพยาเสพติดไม่ว่าในด้านบวกหรือลบ แต่กระแสตอบรับอันล้นหลามสำหรับการใช้การ์ตูนเป็นเครื่องมือสื่อสารกับเยาวชน จึงทำให้มีการแก้กฎหมายในเวลาต่อมา 
 
บุคลิกแอบเว่อร์ของลีทำให้เขากลายเป็นตัวแทนของมาร์เวลที่ทำให้ผู้คนจดจำ นอกจากการไปบรรยายตามที่ต่างๆ แล้ว เมื่อก้าวเข้าสู่ธุรกิจด้านทีวีและภาพยนตร์ ลียังเขียนในสัญญากับผู้สร้างหนังว่าเขาจะต้องได้เล่นเป็นตัวประกอบในหนังที่สร้างจากการ์ตูนมาร์เวลที่เขามีส่วนร่วมในการพัฒนา เราจึงได้เห็นเขาในบทคนขายฮอตด็อกใน X-Men (2000), รปภ.ใน Hulk (2003), บุรุษไปรษณีย์ใน Fantastic Four (2005) และเล่นเป็นตัวเองใน Iron Man (2008) 
 
ในแง่มุมอื่นๆ นอกเหนือจากความเป็นศิลปิน ตัวลีเองก็ไม่ต่างจากซุปเปอร์ฮีโร่ในแบบของเขา คือมีล้มมีพลาดอยู่บ้างเป็นธรรมดา เมื่อปี 1998 เขาร่วมกับ (อดีต) เพื่อน ปีเตอร์ พอล (Peter Paul) ตั้งบริษัทดอตคอมเพื่อพัฒนาและทำการตลาดการสร้างซุปเปอร์ฮีโร่ชื่อ Stan Lee Media ขึ้น แต่เมื่อบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์กลับเกิดเหตุพบว่ามีการปั่นหุ้นโดยพอล นำไปสู่การยื่นล้มละลายในปี 2001 
 
นับจากปี 1922 จนถึงปัจจุบัน สแตน ลีไม่เคยหยุดทำงานที่เขารัก นอกจากจะสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้มาร์เวลแล้ว ครั้งหนึ่งเขายังเคยข้ามค่ายไปร่วมงานกับดีซี คอมิกส์ ในซีรีส์ ‘Just Imagine…’ ซึ่งตอนนั้นได้ไฟเขียวให้เขียนเรื่องราวซุปเปอร์ฮีโร่ของค่ายคู่แข่งเสียใหม่ โดยให้ซุปเปอร์แมน แบทแมน วอนเดอร์วูแมน มีชีวิตตามจินตนาการของเขาเอง 
 
นอกจากการร่วมงานกับนักวาดยอดฝีมือในอเมริกา ลียังร่วมกับนักวาดญี่ปุ่น ฮิโรยูกิ ทาเคอิ (Hiroyuki Takei) เจ้าของผลงาน ‘ราชันย์แห่งภูต’ (Shaman King) เขียนมังงะเรื่อง Karakuridôji Ultimo และร่วมกับบริษัท Bones ของญี่ปุ่นสร้างการ์ตูนเรื่อง Heroman ซึ่งถูกพัฒนาเป็นอะนิเมะด้วย 
 
ในวัย 89 ปี ลียังมีแผนทำโครงการใหม่ๆ อีกมากมายหลายโครงการ และจากปากคำของเจ้าตัว… เขาไม่รู้หรอกว่า ‘ยุคทอง’ ของวงการการ์ตูนเกิดขึ้นเมื่อไหร่ รู้แต่ว่ายุคไหนที่มีเขาอยู่ยุคนั้นล่ะยุคทอง!
 
เรื่องโดย ส้มขิง : MEN FROM MARS >No.103