The History of Sexuality
"ถ่ายทอดลักษณะเนื้อหาเกี่ยวกับการร่วมเพศระหว่างชายกับชาย หญิงกับหญิง และชายกับหญิง มีการสูบบุหรี่ ดื่มสุราในขณะแต่งกายเครื่องแบบนักเรียนอยู่หลายตอน และยังมีการเสนอขายบริการทางเพศในขณะที่แต่งกายเครื่องแบบนักเรียน…คณะกรรมการฯ เห็นว่า เนื้อหาสาระสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการถ่ายทอดเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมกับสังคมไทย อาจทำให้สังคมและผู้ชมแม้จะมีอายุเกิน ๒๐ ปีก็ตาม เกิดความเข้าใจผิดและเกิดการเลียนแบบพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศหรือการขายบริการทางเพศ รวมทั้งพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอื่นๆ จึงเป็นการขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน"
ข้างบนนี้คือถ้อยประกาศอย่างเป็นทางการของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ ว่าด้วยเหตุผลในการห้ามฉาย แมลงในสวนหลังบ้าน ไล่ๆ กับที่ประกาศฉบับนี้ออกมาคือคำสั่งแบนตัวอย่างหนัง รักมันใหญ่มาก ด้วยเหตุผลคล้ายๆ กันคือมีฉากวัยรุ่นแต่งชุดนักเรียนจูบกัน
[1]
ทีแรกผมตั้งใจจะร่วมสนุกถกประเด็นการเซนเซอร์และหยิบ The History of Sexuality ของฟูโกต์ขึ้นมาวิจารณ์ แต่พออ่านหนังสือเล่มนี้จบ ถึงได้พบว่า มันไปไกลเกินกว่าเรื่องเพศมาก เพราะความเงียบและการเซนเซอร์ยังหมายรวมไปถึงเรื่องอื่นๆ เรื่องที่ไม่อาจพูดออกมาได้ตรงๆ
"ความเงียบ การปฏิเสธที่จะพูด การถูกห้ามไม่ให้พูด กรอบกติกาหรือดุลพินิจของผู้พูด ไม่ใช่ขีดจำกัดขั้นต่ำของวาทกรรม ไม่ใช่สิ่งซึ่งอยู่ตรงข้ามกับวาทกรรม หากเป็นองค์ประกอบอันส่งผลคู่ขนานไปกับสิ่งที่เอ่ยออกมา สัมพันธ์ร่วมกันภายใต้ยุทธศาสตร์โดยรวมของวาทกรรมนั้นๆ ไม่มีการแบ่งแยกอย่างเด็ดขาดระหว่างสิ่งที่เราพูดและสิ่งที่เราไม่พูด เรายังต้องพยายามหาวิธีการต่างๆ นานาในการไม่พูด ยังต้องพิจารณาเส้นแบ่งระหว่างผู้ที่สามารถพูดได้และไม่สามารถพูดได้ รวมถึงยังต้องใคร่ครวญว่าวาทกรรมไหนบ้างที่ได้รับการอนุญาตให้พูด และดุลพินิจแค่ไหนที่จำเป็นในแต่ละกรณี ความเงียบไม่ได้มีเพียงหนึ่ง หากมีมากหลาย ทั้งหมดล้วนประกอบกันเป็นยุทธศาสตร์ที่ครอบงำและแทรกซึมอยู่ในวาทกรรม"
ฟูโกต์ปัดเป่ามายาคติที่ว่าโลกนี้มีความเงียบอย่างแท้จริง เพราะแค่การเลือกที่จะไม่พูดเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็คือความเห็นที่เรามีแต่เรื่องดังกล่าวแล้ว
[2] ด้วยเหตุนี้มนุษย์ยุคใหม่จึงได้ประดิษฐ์คิดค้นและสร้างสรรค์วิธีการต่างๆ เพื่อตะโกนความเงียบออกไปให้กึกก้อง การขึ้นจอดำในภาพยนตร์ แสงศตวรรษ การที่คุณปลื้มเอาเทปกาวมาปิดปากตัวเองออกทีวี การฌาปนกิจม้วนฟิล์ม แมลงในสวนหลังบ้าน หรือการใช้ชื่อเล่นฉายาแทนตัวละครที่คุณก็รู้ว่าใคร ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยของผลิตผลการสร้างสรรค์ความเงียบในสังคมไทย
ฟูโกต์พยายามลบล้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับมนุษย์ยุคใหม่และสังคมวิคตอเรียน ยุควิคตอเรียนหมายถึงประเทศอังกฤษช่วงครึ่งหลังศตวรรษที่ 19จนถึงก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง วิคตาเรียน ถ้าใช้เป็นคำคุณศัพท์หมายถึงวิธีคิดแบบอนุรักษนิยมเรื่องเพศสุดโต่ง ชายหญิงมีคู่ได้เพียงคนเดียวตลอดชีวิต และเพศสัมพันธ์มีเป้าหมายเพียงเพื่อการสืบพันธุ์ แน่นอนว่าบทสนทนาเรื่องเพศอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเพศสภาพชายขอบเป็นเรื่องปิดประเพณีและยอมรับไม่ได้
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือมายาคติซึ่งฟูโกต์ต้องการจะล้มล้าง จริงอยู่ว่าในยุคกลางชาวตะวันตกพูดเรื่องเพศกันน้อยมาก (สังเกตได้จาก แม้แต่ศาสนาคริสต์เองก็ไม่สามารถให้คำจำกัดความของบาปโซโดไมต์ได้อย่างชัดเจน ความหมายแบบแคบคือการร่วมเพศทางเว็จมรรค ส่วนความหมายแบบกว้างคือการร่วมประเวณีอย่างผิดธรรมชาติทั้งหมด แต่ก็ไม่เคยมีนักบวชคนไหนออกมาอธิบายว่าอะไรคือธรรมชาติของการร่วมประเวณี) โดยผิวเผินแนวโน้มนี้ดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 17เป็นต้นมา คนพูดเรื่องเพศกันน้อยลง ศาสนาจักรออกกฏข้อบังคับมากมายเกี่ยวกับเรื่องเพศ
กระนั้น เมื่อพิจารณาสถาปัตยกรรมของโรงเรียนประจำ การออกแบบห้องเรียน ห้องนอน ห้องกินข้าว และห้องอาบน้ำ เราจะพบว่ารายละเอียดต่างๆ ถูกไตร่ตรองมาอย่างดี เพื่อควบคุมแบบแผนการปฏิบัติทางเพศของเด็กๆ ที่มาอาศัยอยู่ร่วมกัน ไกลหูไกลตาผู้ปกครอง การแบ่งสัดส่วนระหว่างพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนตัวต้องให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดพลวัตรและแรงดึงดูดทางเพศ เด็กแต่ละคนจะต้องมีพื้นที่ส่วนตัว เพื่อสามารถซ่อนเร้นปกปิดตัวเอง แต่ต้องไม่สามารถใช้พื้นที่ส่วนตัวนั้นประกอบกิจกรรมทางเพศได้ สถาปนิกและมัณฑนากรต้องขบคิดถึงการช่วยตัวเองของเด็ก กระบวนการ เทคนิควิทยาร้อยแปดถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องเพศ เพื่อรักษาเพศให้เป็นความลับ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17เป็นต้นมา ผู้คนไม่ได้พูดเรื่องเพศกันน้อยลง "สังคมยุคใหม่…อุทิศเวลาให้กับการพูดเรื่องเพศกันอย่างไม่หยุดหย่อน พร้อมๆ กับที่ใช้ประโยชน์จากมันในฐานะความลับเพียงหนึ่งเดียว"
พัฒนาการตรงนี้มีสาเหตุมาจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมือง ก่อนศตวรรษที่ 17แม้อำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชจะรวมศูนย์อยู่ที่ตัวกษัตริย์ แต่กษัตริย์ไม่มีหูตากว้างไกลพอจะเข้าไปจัดการ บริหารท้องถิ่นหรือเมืองประเทศราชได้ การแสดงออกทางอำนาจสถานเดียวคือผ่านตัวบทกฏหมาย หรือการจำกัดห้ามทำสิ่งนู้นสิ่งนั้น[3] เช่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาจักรและเรื่องเพศจึงเต็มไปด้วยกฏข้อห้าม เพราะนั่นคือลักษณะของอำนาจแบบดั้งเดิม
ในทางตรงกันข้าม ศตวรรษที่ 18คือจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรม และระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ประชาชนไม่ใช่ผู้อยู่ใต้การปกครอง (subject) อีกต่อไป พวกเขากลายเป็นทรัพยากรบุคคล (human resource) หรือประชากร (population) ความมั่งคั่งของกษัตริย์และรัฐชาติขึ้นกับการผลิตและการใช้แรงงาน ด้วยเหตุนี้อำนาจเพื่อการจำกัดอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ อำนาจรูปแบบใหม่ถือกำเนิดขึ้นมา ซึ่งก็คืออำนาจเพื่อการจัดการ และเป้าหมายแห่งการจัดการนั้นก็คือประชากร หรือพูดใหม่ให้ถูก คือร่างกายของประชากร[4] (ขณะที่นักปรัชญา นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ถือว่ายุคใหม่เริ่มต้นพร้อมกับการรู้แจ้ง หรือการที่มนุษย์เริ่มรู้จักใช้เหตุใช้ผล ฟูโกต์บอกว่ายุคใหม่ เริ่มต้นพร้อมกับการที่มนุษย์รู้จักร่างกายของตัวเอง)
อำนาจเพื่อการจัดการเป็นอำนาจที่อิงอยู่บนพื้นฐานของความรู้ ความรู้คือสิ่งสมมติที่ถูกอำนาจสถาปนาขึ้นมา และในทางกลับกัน เมื่อถูกสถาปนาขึ้นมาแล้ว ความรู้ก็จะช่วยพยุงรักษาอำนาจอีกที ความปรารถนาที่จะใช้ประโยชน์จากเรื่องลับ เรื่องที่ไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อน ก่อให้เกิดเกจิและกูรูมากมาย ความรู้ที่เกจิเหล่านั้นแอบอ้างกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการพูดคุยหัวข้อดังกล่าว ความลับที่ไม่สมควรมีใครพูดถึงถูกปิดกันให้แซด ทั้งโดยฝ่ายเกจิเพื่อผลประโยชน์บางประการ และฝ่ายที่สูญเสียผลประโยชน์นั้น กามกิจถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นวาทกรรม ถูก "ขับออกจากที่ซ่อน และบีบบังคับให้มีตัวตนอยู่ในรูปแบบของวาทกรรม" ไม่ใช่แค่ในแวดวงแพทย์ นักวิชาการ แต่รวมถึงนักการเมือง นักการศึกษา นักกฏหมาย และเกจิมือสมัครเล่นต่างๆ นานา[5]
ประกาศจากคณะกรรมการฯ ที่ยกมาข้างต้นคือตัวอย่างอันชัดเจนของความย้อนแย้งตรงนี้ เพื่อที่จะห้ามฉายภาพยนตร์หรือตัวอย่างหนังสักเรื่อง คณะกรรมการต้องออกประกาศที่บรรยายสาเหตุการห้ามฉายอย่างละเอียด (“การร่วมเพศระหว่างชายกับชาย หญิงกับหญิง และชายกับหญิง มีการสูบบุหรี่ ดื่มสุราในขณะแต่งกายเครื่องแบบนักเรียน…”) ชี้นำคนดูเสียจนแทบไม่มีความจำเป็นจะต้องไปดู แมลงในสวนหลังบ้าน เพื่อเลียนแบบพฤติกรรมดังกล่าวอีกต่อไป ภายใต้การห้ามพูด ห้ามนำเสนอเรื่องที่ถูกมองว่าเป็นพิษเป็นภัย สังคมกลับต้องผลิตบทวิจารณ์ บทความ และบทสัมภาษณ์มากมายเกี่ยวกับเรื่องนั้นเสียเอง ที่ย้อนแย้งที่สุดคือ อาจกล่าวได้ว่าตัวหนัง แมลงในสวนหลังบ้าน เองก็จัดเป็นหนึ่งในวาทกรรมเหล่านั้นด้วย เพราะเป้าหมายของผู้สร้างภาพยนตร์ คือชี้ให้เห็นผลกระทบต่อสถาบันครอบครัวของพฤติกรรมที่คณะกรรมการฯ สาธยายมา การเซนเซอร์จริงๆ แล้วคือกระบวนการที่กัดกินตัวเอง
บทความส่วนใหญ่เกี่ยวกับการเซนเซอร์ มักสรุปลงเอยด้วยการประณามนโยบายดังกล่าว บทความนี้จะลองหันไปมองภาพยนตร์ที่ไม่ถูกเซนเซอร์ดูบ้าง ขุนกระบี่ผีระบาด โยงโรคระบาดซาร์เข้าหาซอมบี้ ตายโหง เกี่ยวกับโศกนาฏกรรมไฟไหม้ผับซานติก้า และอีกไม่นาน เราจะมีหนังที่ว่าด้วยการทำแท้งและศพทารกในวัดไผ่เงิน หนังเหล่านี้ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องโดนแบน[6] ถ้าเราใช้ตรรกะของฟูโกต์แบบกลับทิศ บางทีที่เราไม่เซนเซอร์หนังเหล่านี้ เพราะโศกนาฏกรรมเหล่านี้ต่างหากคือเรื่องที่เราต้องการจะลืม เราไม่ต้องการเผชิญหน้ากับปัญหาการรับมือโรคระบาด มาตรฐานความปลอดภัยของสถานที่เที่ยวกลางคืน หรือไม่ต้องการถามคำถามยากๆ ว่าตกลงควรปล่อยให้มีการทำแท้งเสรีหรือไม่ หรือที่เราอนุญาตให้มีคนสร้างและคนดูหนังเหล่านี้ เพราะนี่ต่างหากคือความลับ เรื่องที่ไม่มีใครอยากพูดถึงอย่างแท้จริงในสังคมไทย
และนี่คือคำถามที่ฟูโกต์ฝากทิ้งไว้ให้คนอ่าน พวกเราทุกคน
[1] ที่จริงคือในตัวอย่างหนัง ไม่มีฉากนี้ด้วยซ้ำ เพราะถูกตัดออกไปก่อนที่จะจูบกันจริงๆ
[2] ในหนังสือ Art and Fear พอล วิริลิโอเรียกสภาพดังกล่าวว่าเป็นโศกนาฏกรรมของชีวิตยุคใหม่ เราไม่หลงเหลือทางเลือกของความเงียบอีกต่อไป การที่เราไม่เปิดปากพูดอะไรเลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของวาทกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
[3] ใน Discipline and Punish ฟูโกต์อรรถาธิบายความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจและการลงโทษที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย โดยเนื้อแท้แล้ว ทั้ง Discipline and Punish และ The History of Sexuality พูดถึงเรื่องเดียวกันแต่จาเล่มละมุมมอง
[4] ในประเทศไทย ยุคดังกล่าวน่าจะตรงกับสมัยจอมพล ป. ซึ่งสนับสนุนให้หญิงไทยมีลูกมากๆ เพื่อการพัฒนาประเทศ มีการจัดประกวดคุณแม่เจริญพันธุ์ดีเด่น มีเพลงที่แต่งขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองเมื่อคนไทยมีจำนวนครบสิบล้านคน เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเข้ามาจัดการกับร่างกาย และความเปลี่ยนแปลงจาก "ไพร่" มาเป็น "ประชากร"
[5] ฟูโกต์ตั้งข้อสังเกตว่า การรักษาผู้ป่วยฮิสทีเรียด้วยวิธีจิตวิเคราะห์ เริ่มจากจิตแพทย์บอกคนไข้ว่าความปรารถนาทางเพศของคุณถูกข่มระงับ (repress) เอาไว้ จากนั้นจิตแพทย์จะค่อยๆ ขุดคุ้ยเอาความปรารถนาทางเพศออกจากอดีตของคนไข้ ฟูโกต์ถามต่อไปว่า ถ้าสังคมยุคใหม่เป็นสังคมที่ข่มระงับความรู้สึกทางเพศอย่างที่ฟรอยด์บอกจริง เหตุไฉนจิตวิเคราะห์ถึงได้กลายเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ในทางตรงกันข้าม มันแสดงให้เห็นต่างหากว่า ความปรารถนาที่จะเปิดเผยเป็นเพียงอีกด้านหนึ่งของการข่มระงับ เป็นคนละหน้าของเหรียญเดียวกัน
[6] การหากินกับโศกนาฏกรรมแบบนี้ จริงๆ แล้วถ้าใช้มาตรฐานสากล ในเมืองนอก ต้องถือว่า "ไร้รสนิยม" มากๆ
โดย ภาณุ ตรัยเวช http://www.onopen.com/loveyouallmass/11-02-03/5719