The Heart of a Dog
ในปีศาจฝรั่งคลาสสิคทั้งหมด สัตว์ประหลาดของดอกเตอร์แฟรงเกนสไตน์น่าจะเป็นตัวที่มีเอกลักษณ์สุด[1] เขาไม่ได้เกิดมาจากคำสาปโบราณหรือพันธสัญญาแห่งซาตาน แต่สัตว์ประหลาดของดอกเตอร์แฟรงเกนสไตน์คืออีกด้านมืดของวิทยาศาสตร์ พลังแห่งเหตุและผล ที่คนในยุคแห่งการรู้แจ้งเชื่อว่าจะนำมาซึ่งโลกพระศรีอาริย์กลับตาลปัตรนำมาแต่ความพินาศอาดูร[2] จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ถ้าโศกนาฏกรรมนี้จะถูกนำมาเล่าขานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยน้ำเสียงที่ผิดแผกไป บ้างก็ฟังแล้วสยดสยอง บ้างก็ชวนขมขื่น บ้างก็น่าขบขัน[3] The Heart of a Dog คือตัวอย่างของการเล่าใหม่ โดยหนนี้ดอกเตอร์แฟรงเกนสไตน์เปลี่ยนชื่อเป็นฟิลิป ฟิลิโปวิช คุณหมอนกเขาแห่งกรุงมอสโคว์
แต่ก่อนจะพูดถึงฟิลิป ฟิลิโปวิชและการทดลองอันพิสดารพันลึก เรามารู้จักผู้เขียน มิคาอิล บูลกาคอฟสักเล็กน้อยดีกว่า บูลกาคอฟเป็นนักเขียนรัสเซีย มีชีวิตอยู่ช่วงหลังการปฏิวัติมวลชน สมัยที่รัสเซียยังอยู่ใต้อุ้งมือเหล็กของสตาลิน ชีวิตเขาไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่นัก ผลงานส่วนใหญ่ของบูลกาคอฟเสียดสีระบบราชการของโซเวียต เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกสวนทางการปฏิวัติ (counter-revolutionary) นิยาย บทละครแทบทุกชิ้นไม่ผ่านกองเซนเซอร์ และสุดท้ายเขาเสียชีวิตไปอย่างน่าเศร้าด้วยวัยเพียง 49 ปี ก่อนตาย บูลกาคอฟทิ้งผลงานชิ้นโบว์แดงเอาไว้ นั่นคือ The Master and Margarita (มาสเตอร์กับมาร์การิตา แปลไทยโดยนพดล เวชสวัสดิ์ สำนักพิมพ์ เอิร์นเนส พับลิชชิ่ง) แต่กว่านิยายเล่มนั้นจะได้รับการตีพิมพ์อย่างเป็นทางการก็ต้องรอเกือบสามสิบปีหลังจากผู้เขียนเสียชีวิตไปแล้ว
The Heart of a Dog เป็นผลงานชิ้นแรกๆ ของบูลกาคอฟ องค์ประกอบหลายอย่างสะท้อนไปยังผลงานชิ้นเอก มาสเตอร์กับมาร์การิตา ในอีกสิบห้าปีถัดมา ทั้งสองเล่มนำขนบนิยายแนวมหัศจรรย์ (fantastic) มาผนวกกับเรื่องโปกฮา (farce) เพื่อเสียดสีสังคมโซเวียต ตัวละครเด่นในนิยายทั้งสองล้วนเป็นสัตว์สี่เท้าที่ลุกขึ้นมาเดินสองขา และพูดจาได้เหมือนคน
ศาสตราจารย์ฟิลิป ฟิลิโปวิชเป็นหมอนกเขาผู้โด่งดัง เขาช่วยให้คนชรา ข้าราชการ ผู้มากลากดีกลับไปใช้ชีวิตเริงกามารมณ์ เขาจึงร่ำรวย ได้รับเอกสิทธิ์มากมายท่ามกลางสังคมอันยากจน กระทั่งวันหนึ่ง ศาสตราจารย์ต้องการทดสอบการเปลี่ยนถ่ายเนื้อเยื่อ เขาจึงผ่าตัดเอาลูกอัณฑะและต่อมใต้สมองจากศพที่เพิ่งเสียชีวิต นำไปปลูกถ่ายให้สุนัขจรจัดที่เก็บมาเลี้ยง ทีแรกศาสตราจารย์สนใจแค่ว่าเจ้าชาริคจะมีชีวิตรอดไปได้กี่วันหลังการผ่าตัด แต่ไปๆ มาๆ นอกจากจะไม่ตายแล้ว มันยังแข็งแรงขึ้นๆ ชาริคสามารถลุกยืนเดินสองขา ขนทั่วร่างหดสั้นลง และสุดท้ายก็กลายเป็นมนุษย์จริงๆ นามว่าชาริคอฟ ศาสตราจารย์และผู้ช่วยจึงสรุปว่าต่อมใต้สมองมีคุณสมบัติ "ช่วยให้สิ่งมีชีวิตดูเหมือนมนุษย์"
ในช่วงแรกของนิยาย บูลกาคอฟเล่าเรื่องราวผ่านสายตาของเจ้าชาริค แสดงให้เห็นจุดยืนทางการเมืองที่คล้ายคลึงกันระหว่างสัตว์เลี้ยงและเจ้าของ สมัยที่เป็นสุนัขจรจัด ศัตรูตัวฉกาจของชาริคคือชนชั้นแรงงาน (โดยทฤษฎีแล้ว ชาวรัสเซียสมัยนั้นทุกคนเป็นชนชั้นแรงงาน) ไม่ว่าจะเป็นพ่อครัวที่ชอบสาดน้ำร้อนใส่ พนักงานเก็บขยะ หรือคนเฝ้าประตู ส่วนศาสตราจารย์เองก็ "เชื่อในการแบ่งงานกันทำ หน้าที่ของคณะบอยชอยคือร้องเพลง ส่วนของผมคือผ่าตัด" อุดมการณ์คอมมิวนิสต์คือภาพลวงตาที่นำมาซึ่งความเสื่อมโทรมของรัสเซีย "ความเสื่อมโทรม…เริ่มต้นที่ความคิด…ต้องจับพวกนั้นทุกคนมาฟาดหัวสักทีสองที ไล่ภาพลวงตาออกไปให้หมด…เมื่อนั้นแหละ "ความเสื่อมโทรม" ก็จะค่อยๆ เลือนหายไปเอง" (ความเชื่อของศาสตราจารย์น่าจะเป็นของบูลกาคอฟเองด้วย)
หลังจากชาริคถูกผ่าตัดเอาต่อมใต้สมองใส่ลงไป ฝันร้าย (แบบฮาๆ ) ของศาสตราจารย์ฟิลิป ฟิลิโปวิชก็เริ่มต้นขึ้น ชาริคอฟมีความเห็นทางการเมืองขัดแย้งกับเจ้านาย ชายหนุ่มพูดจา "ไร้สาระ แต่ที่น่าคลื่นไส้ที่สุดคือ…พูดมันออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ" พฤติกรรมของชาริคอฟอยู่กึ่งกลางระหว่างคนและสัตว์ พอเห็นแมวหลุดเข้ามา เขาวิ่งไล่มันไปทั่วบ้าน ทำลายข้าวของ ลักเล็กขโมยน้อย ซ้ำร้ายยังปลุกปล้ำแม่ครัวและหญิงรับใช้ กระทั่งศาสตราจารย์ทนไม่ไหว ระเบิดโพล่งออกมา "นายมันเป็นแค่เด็กอมมือ สติปัญญาหรือก็ยังไม่พัฒนา ชอบทำตัวเหมือนสัตว์อีกต่างหาก แต่พออยู่ต่อหน้าคนจบมหาวิทยาลัยสองคน กลับแสดงท่าทีสนิทสนม แสดงความเห็นเรื่องใหญ่โตอย่างการกระจายรายได้อย่างโง่เขลา…แถมยังพูดไปกินยาสีฟันไปอีกแน่ะ…”
ความอดทนของศาสตราจารย์ถึงจุดสิ้นสุด เมื่อผู้มีอำนาจ คนไข้คนหนึ่ง เอาบัตรสนเท่ห์มาให้ฟิลิป ฟิลิปโปวิชดู ข้างในคือใบรายงานพฤติกรรมสวนทางการปฏิวัติของศาสตราจารย์ ที่ชาริคอฟเขียนไปหาเจ้าหน้าที่สอดส่ายพฤติกรรม (ในประเทศคอมมิวนิสต์ การสอดส่อง ใส่ไคล้คนใกล้ตัวว่ามีพฤติกรรมสวนทางการปฏิวัติ ถือเป็นทำเนียบปฏิบัติอันน่ายกย่อง กรณีนี้ยิ่งชัดเจนในประเทศจีน กลุ่มเยาวชนเรดการ์ดปวารณาตัวเป็นลูกของประธานเหมา และคอยจับผิดพ่อแม่บังเกิดเกล้าของตัวเอง) การปะทะกันครั้งสุดท้ายระหว่างดอกเตอร์แฟรงเกนสไตน์และสัตว์ประหลาดของเขา จะออกมาในรูปแบบไหน
The Heart of a Dog เป็นนิยายสั้นเสียดสีโปกฮา ที่ไม่ได้มีอะไรให้ตีความลึกซึ้ง (มาสเตอร์กับมาร์การิตา จะครอบคลุมสภาพสังคมโซเวียตได้อย่างทั่วถึงกว่า) นิยายและชีวิตบูกาคอฟช่วยให้เรามองสังคมคอมมิวนิสต์ในอีกอีกรูปแบบหนึ่ง พออ่านจบแล้วก็ลองหา แม่ ของกอร์กี (นิยายต้นธารแห่งวรรณกรรมเพื่อชีวิตในเมืองไทย) มาอ่านอีกรอบ แล้วถามตัวเองว่ารู้สึกอย่างไร[4]
นี่คือคำถามซึ่งบูลกาคอฟฝากทิ้งไว้ให้คนอ่าน พวกเราทุกคน
[1] ที่แน่ๆ นี่คือปีศาจที่ถูกเรียกชื่อผิดบ่อยที่สุด "แฟรงเกนสไตน์" คือชื่อของนักประดิษฐ์ที่สร้างสัตว์ประหลาดตัวนี้ขึ้นมา ขณะที่ตัวสัตว์ประหลาดเองไม่มีชื่อ
[2] แมรี เชลลี ผู้เขียน แฟรงเกนสไตน์ น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากตำนานเฟาส์ อัจฉริยะผู้ขายวิญญาณให้ปีศาจ
[3] ตัวอย่างเช่น ภาพยนตร์คลาสสิคเรื่อง The Fly เรื่องล่าสุด Splice หรือกระทั่ง Jurassic Park เอง รวมถึงหนังแนวหุ่นยนต์ล้างโลกอย่าง Terminator และ The Matrix ด้วย นอจากนี้ยังมีหนังชวนหัวของเมล บรูคเรื่อง The Son of Frankenstein น่าสนใจว่าในทางกลับกัน เรื่องสยองขวัญวิทยาศาสตร์แบบนี้กลับไม่ค่อยปรากฏในวัฒนธรรมตะวันออกมากนัก (เท่าที่พอนึกได้ตอนนี้น่าจะเป็น Godzilla เพียงเรื่องเดียว) ซึ่งพอแสดงให้เห็นได้ว่าลัทธิรู้แจ้งไม่ได้เป็นรากฐานทางวัฒนธรรมตะวันออกเท่าตะวันตก
[4] บูลกาคอฟไม่ใช่คนแรกที่เป็นเหยื่อเผด็จการโซเวียต ก่อนหน้าเขาคือมายาคอฟสกี้ กวีฟิวเจอริส มายาคอฟสกี้เป็นหนึ่งในกวีที่มีเข้าร่วม และมีบทบาทในการปฏิวัติรัสเซีย แต่สุดท้ายเมื่อเลนินขึ้นมามีอำนาจ ผลงานของมายาคอฟสกี้และกวีหลายคนในกลุ่มกลับไม่ได้รับความเห็นชอบจากพรรคคอมมิวนิสต์ มายาคอฟสกี้จบชีวิตตัวเองด้วยการยิงตัวตาย
โดย ภาณุ ตรัยเวช http://www.onopen.com/loveyouallmass/11-06-03/5801