The Death and Life of Great American Cities
หมายเหตุ: บทวิจารณ์นี้ยกตัวอย่างพื้นที่จริงในกรุงเทพมหานคร ผมใช้อคติส่วนตัวในการตัดสินใจว่าถนนไหนประสบความสำเร็จ ถนนไหนล้มเหลว หากอคตินี้ไปขัดแย้งหรือสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้อ่านท่านใด ต้องขออภัยล่วงหน้ามา ณ ที่นี้
ในรอบปีที่ผ่านมา จู่ๆ การวางผังเมืองก็ได้รับความสนใจจากชาวกรุง ตั้งแต่มหากาพย์สงครามชิงพื้นที่ระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและพ่อค้าแม่ขายแผงลอยในสยามสแควร์ จนถึงการประกาศสร้างสกายวอล์คของท่านผู้ว่าฯ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์
[1] ไม่นับประเด็นที่เกี่ยวข้องแบบอ้อมๆ เช่น การประกวด "ต้นไม้มหานคร" (Bangkok Big Tree) หรือประเด็นใหญ่ที่หลุดพ้นความสนใจของผู้คนไปแล้ว นั่นคือการปรับปรุงพื้นที่สนามหลวง ทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับศาสตร์และศิลป์แห่งการวางผังเมือง (urban planning) ทั้งสิ้น
แต่การวางผังเมืองคืออะไร มีใครด้วยหรือในประเทศนี้ที่เรียกตัวเองได้อย่างเต็มปากว่าเป็นนักวางผังเมือง[2] เท่าที่ผมติดตามอ่านปฏิกริยาของผู้เชี่ยวชาญต่อประเด็นต่างๆ ข้างต้น ส่วนใหญ่มักเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ความสนใจของพวกเขาเหล่านั้นคือความสะอาดปราศจากมลภาวะ แน่นอนว่าความเห็นดังกล่าวเป็นสิ่งที่เราสมควรจะรับฟัง แต่ครั้นจะให้สรุปว่าการจัดการมลพิษคือเป้าหมายสูงสุดแล้วของการวางผังเมืองก็หาใช่ที่ นี่ยังไม่นับความเห็นของ "ผู้ไม่เชี่ยวชาญ" ทั้งหลายแหล่ ที่เอาเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวง กฎหมาย ธุรกิจ หรือสุนทรียศาสตร์มาจับแพะชนแกะกัน[3]
เอาเข้าจริงทั้งฝ่ายสนับสนุนและต่อต้านสกายวอล์ค ล้วนมีรากฐานมาจากชุดความคิดที่คล้ายคลึงกันคือทางเท้ามีไว้เดิน ต้องเปิดโล่งที่สุดเท่าที่จะโล่งได้ ร้านรวงและแผงลอยจึงเป็นสิ่งไม่พึงปรารถนาบนทางเท้า แค่ชุดความคิดนี้ก็ชวนให้ตั้งคำถามแล้ว
The Death and Life of Great American Cities คือคัมภีร์วิชาวางผังเมืองโดยเจน จาคอบส์ ตีพิมพ์ในปี 1961 ในยุคที่สังคมอเมริกามีแต่ศาสตร์จอมปลอมแห่งการวางผังเมือง ศาสตร์จอมปลอมนี้ถูกคิดค้นและสืบทอดในหมู่ผู้ 1) ไม่ชอบเมือง (ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะความชอบ ไม่ชอบเป็นเรื่องของรสนิยม แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ) 2) ไม่เข้าใจเมือง ศาสดาจอมปลอมไม่เข้าใจว่าเมืองคือสภาวะอันเกิดมาจากความจำเป็นทางสังคม พวกเขาปรับปรุงเมืองด้วยการทำลายเมือง ตีแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และตบแต่งแต่ละชิ้นขึ้นมาใหม่ให้กลายเป็นชนบทขนาดย่อม จาคอบส์เรียกเมืองดังกล่าวว่า "เมืองสวน" (garden city)[4]
เมืองไม่เหมือนชนบท อะไรก็ตามที่ทำให้ชนบทน่าอยู่ ไม่จำเป็นจะต้องให้ผลลัพท์แบบเดียวกันในเมือง ชนบทคือพื้นที่จำกัดจำเขี่ย ซึ่งทุกคนรู้จักมักจี่กัน แต่เมืองคือพื้นที่เปิดกว้างอันเต็มไปด้วยคนแปลกหน้า จาคอบส์อุปมาชีวิตบนท้องถนนในเมืองใหญ่ว่าเหมือนละครบัลเล่ต์ นักเต้นแต่ละคนขึ้นมาบนเวที ทำภารกิจของตัวเอง (ซึ่งอาจมีหรือไม่มีปฏิสัมพันธ์กับนักเต้นคนอื่น) แต่ละภารกิจประกอบเข้าหากัน ก่อเกิดภาพรวมเมื่อคนดูกวาดสายตาไปรอบๆ นักแสดงถูกกำหนดบทบาท แยกตัวตนที่แท้จริงออกจากตัวตนบนเวที เวทีบัลเล่ต์จึงเฉกเช่นเดียวกับท้องถนน สถานที่ซึ่งทุกคนดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวันไปพร้อมๆ กับรักษาความเป็นส่วนตัว นี่คือเสน่ห์ของชีวิตในเมืองใหญ่ (เปรียบเทียบกับภาพชีวิตชนบทในนิยายเรื่อง คำพิพากษา เมื่อไอ้ฟักถูกปฏิเสธโดยคนในหมู่บ้าน แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการไปจับจ่ายในตลาด เขาก็ไม่สามารถกระทำได้)
ความผิดพลาดของนักวางผังเมืองจอมปลอมคือการปฏิเสธธรรมชาติพื้นฐานของเมือง และสร้างสภาพแวดล้อมที่กีดกันคนแปลกหน้าออกไป[5] (การต่อต้านแผงลอยมีนัยยะมากกว่าเพื่อความสะดวกสบายบนทางเท้า แต่มันมาพร้อมกับความรู้สึกที่ว่าแผงลอยดึงดูดคนแปลกหน้า) รวมถึงความเชื่อผิดๆ ว่าถนนไหนคนยิ่งน้อย (ยิ่งคุ้นหน้าคุ้นตากัน) ถนนเส้นนั้นก็ยิ่งปลอดภัย ตรรกะที่ว่าอาจใช้ได้ในชนบท แต่หูตาที่คอยสอดส่องดูความเรียบร้อยในเมืองใหญ่มาจากคนแปลกหน้าทั้งสิ้น ถนนที่ปลอดภัยในเมืองใหญ่คือถนนที่สามารถดึงดูดคนแปลกหน้าจำนวนมากได้ในทุกขณะเวลา[6] และถนนที่จะมีคุณสมบัติดังกล่าวได้ต้องมีความหลากหลาย (diversity) คนต่างเพศต่างวัยแวะเวียนมายังถนนเส้นนั้น ในช่วงเวลาที่แตกต่างกันและด้วยจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน ความหลากหลายนี่เองคือหัวใจหลักในทฤษฎีผังเมืองของจาคอบส์
ตัวอย่างเช่น สยามสแควร์คือย่านที่หลากหลายและมีชีวิตชีวาที่สุดย่านหนึ่งในกรุงเทพฯ สยามสแควร์เริ่มต้นจากการเป็นแหล่งเรียนพิเศษ มีห้างสรรพสินค้าแห่งเดียวคือมาบุญครอง ประมาณปี 2540 โรงภาพยนต์ทันสมัยค่อยๆ ผุดขึ้นมา (เอสเอฟมาบุญครอง แกรนด์อีจีวีสยามดิสคัฟเวอรี รวมถึงที่มีอยู่แล้วสามแห่งในสยามสแควร์เอง) เปลี่ยนพื้นที่แถบนี้ให้กลายเป็นจุดนัดพบของนักดูหนัง จากนั้นเซนเตอร์พอยท์ปรับรูปโฉมของสยามสแควร์ให้กลายเป็นแหล่งแฟชั่น (ในยุคของเสื้อเกาะอกและเสื้อสายเดี่ยว) และช่วงสี่ห้าปีให้หลัง สยามพารากอนและหอศิลป์กรุงเทพก็ค่อยๆ พลิกบทบาทของพื้นที่แถบนี้อีกครั้งหนึ่ง
แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี สยามสแควร์ก็ยังคงรักษาความเป็นแหล่งเรียนพิเศษเอาไว้อย่างเหนียวแน่น แม้แกรนด์อีจีวีจะถูกแทนที่ด้วยพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง เซนเตอร์พอยท์ด้วยเกทเวย์ ร่องรอยของสถานที่ดังกล่าวยังคงเหลือทิ้งไว้ในรูปของร้านขายเสื้อผ้าตั้งแต่แบกะดินยันขึ้นห้าง และโรงภาพยนตร์หลากหลาย (แม้แต่ในหอศิลป์กรุงเทพ กิจกรรมที่โดดเด่นสุดก็ยังหนีไม่พ้นงานฉายภาพยนตร์สั้น) ขณะเดียวกัน มาบุญครองก็ผันตัวเองไปเป็นแหล่งเสื้อผ้าราคาถูกและของปลอมสำหรับขายฝรั่งนักท่องเที่ยว ความเปลี่ยนแปลงและความหลากหลายของสยามสแควร์ถูกควบคุมโดยมือที่มองไม่เห็น เป็นความสำเร็จซึ่งไม่อาจมีนักวางผังเมืองคนใดคาดคำนวณได้ล่วงหน้า
เปรียบเทียบความสำเร็จของสยามสแควร์กับความล้มเหลวบริเวณรอบท้องสนามหลวง ความเป็นกรุงเก่าของเกาะรัตนโกสินทร์จำกัดพื้นที่ ให้มันเป็นได้แค่แหล่งวัฒนธรรม ผลคือตั้งแต่สนามหลวงจนถึงวัดโพธิ์ไม่มีอะไรเลยนอกจากวัดและกระทรวง เป็นถนนที่ปราศจากความหลากหลาย เมื่อถึงตอนกลางคืน กลายเป็นถนนร้าง แหล่งค้าประเวณี และที่อยู่อาศัยของคนจรจัด (การปรับรูปโฉมสนามหลวงจึงไม่ใช่การแก้ปัญหา สนามหลวงไม่ได้เป็นแหล่งค้าประเวณีและคนจรจัดด้วยตัวของมันเอง แต่เพราะวัดและวังที่รายล้อมมันต่างหาก)[7] ข้ามคลองคูเมืองเดิมเข้ามา สถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้นนัก แม้ย่านตึกเก่าจะเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมงดงาม แต่ความซ้ำซากจำเจของห้างร้าง (ขายของคล้ายๆ กัน ประกอบธุรกรรมที่ดึงดูดลูกค้าแบบเดียวกัน) ทำให้พื้นที่แถบนี้ขาดชีวิตชีวา ไม่สมฐานะ "เมืองเก่า" (old town) ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับทิศเหนือของราชดำเนิน ผับ บาร์ และเกสเฮาต์บนถนนข้าวสารช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับย่านบางลำพู โดยเฉพาะบนถนนพระอาทิตย์ ถนนที่มีชื่อเสียงที่สุดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในตำราผังเมืองฉบับอนุรักษนิยม ผับและบาร์มักถูกมองด้วยสายตาเดียจฉันท์ เพราะเป็นแหล่งดึงดูดคนแปลกหน้า แต่ในเมืองจริงๆ ผับและบาร์คือสีสันของท้องถนน
[8]
เมืองคือพื้นที่แห่งพลวัตรและความเปลี่ยนแปลง หน้าที่ของนักวางผังเมืองไม่ใช่การเข้าไปควบคุมการเปลี่ยนแปลงทุกฝีก้าว แต่เป็นการเฝ้ามอง ศึกษาจากความสำเร็จและความล้มเหลว เจน จาคอบส์ เสนอให้มองอาคารแต่ละหลังว่าเหมือนตัวหมากรุกบนกระดาน ถ้ากำหนดยุทธศาสตร์ดีๆ วางม้า วางเรือให้ถูกตำแหน่ง ผู้เล่นจะสามารถเปิดทางรุกเบี้ยเข้าสู่ดินแดนอีกฝ่าย เปลี่ยนเบี้ยให้กลายเป็นบาทหลวงได้ พิพิธภัณฑ์ หอแสดงดนตรี หรืออาคารวัฒนธรรมช่วยดึงดูดคนแปลกหน้าให้เข้ามาในชุมชน ขณะเดียวกันก็สร้างสรรค์แหล่งธุรกรรมแบบใหม่ๆ เพิ่มความหลากหลายให้กับพื้นที่
[9] แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ว่านึกจะวางเรือ วางม้าก็วาง สิ่งสำคัญซึ่งจาคอบส์ย้ำอยู่ตลอดเวลาคือ ทางเท้า ถนน ห้างสรรพสินค้า อาคารที่อยู่อาศัย ไม่ได้มีความหมายในตัวมันเอง แต่ขึ้นอยู่กับปฏิสัมพัทธ์ที่มีต่ออาณาบริเวณรายล้อม
ตัวอย่างจากความล้มเหลวที่เราสามารถเรียนรู้ได้ เช่น ในอดีต ห้าสิบหกสิบปีที่แล้ว ถนนเจริญกรุงเคยเป็นแหล่งเที่ยวราตรีหรูหรา โทรคาเดโร โรงแรมเล็กๆ ติดทางด่วนเป็นถึงสถานลีลาศเลื่องชื่อ เจริญกรุงยังเป็นถนนชอปปิ้งชั้นนำของกรุงเทพ (ห้างเซนทรัลแห่งแรกก็อยู่แถวนี้) อะไรคือต้นเหตุของความเปลี่ยนแปลง เจริญกรุงในอดีตประสบความสำเร็จมากเกินไปจากธุรกิจประเภทเดียว เจริญกรุงมีแต่ร้านหรูหรา ต้อนรับแต่ลูกค้าชาวต่างชาติ โดยละเลยคนกลุ่มอื่นที่ใช้ถนนเส้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนจากสามโรงเรียนอัสสัมชัญ ลูกค้าไปรษณีย์กลาง รวมถึงผู้แวะเวียนมาสักการะปูชนียสถานในพื้นที่แถบนี้ (ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ลึกเข้าไปในซอย ถนนเจริญกรุงมีทั้งมัสยิดฮารูนและวัดอัสสัมชัญ อันเป็นศาสถานเก่าแก่ของกรุงเทพ) เมื่อตึกแถวห้างร้างบริการแต่เฉพาะลูกค้าประเภทเดียว เพิกเฉยต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความน่าเบื่อหน่ายจึงเข้ามาแทนที่ความหลากหลาย
ในทางตรงกันข้าม ซอยรางน้ำคือตัวอย่างของความสำเร็จ แต่ก่อนเมื่อนึกถึงซอยรางน้ำ คนกรุงเทพฯ จะนึกถึงโรงแรมม่านรูด ตั้งแต่มีสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส โรงภาพยนต์เซนจูรี และห้างคิงส์พาวเวอร์ ภูมิทัศน์รอบซอยรางน้ำค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป ห้างหรูดึงดูดลูกค้าฝรั่ง ร้านอาหารดีๆ ปรากฏในซอย พร้อมร้านกาแฟเก๋ๆ รองรับลูกค้าวัยรุ่นจากหอพักนักศึกษา ยามเย็น ผู้คนที่มาออกกำลังกายเดินเข้าออกประตูสวนสันติภาพ กิจการเหล่านี้ผุดขึ้นมาได้ โดยซอยรางน้ำยังคงรักษาโรงแรมม่านรูดดั้งเดิม ความเปลี่ยนแปลงและรอยเท้าที่หลงเหลืออยู่เพิ่มความหลากหลาย สร้างสีสันให้กับชีวิตในมหานคร
[10]
ศาสตร์และศิลป์แห่งการวางผังเมืองไม่ใช่แค่การทำให้ชีวิตของผู้มีอันจะกินอยู่แล้ว มีสีสันขึ้น สนุกสนานขึ้น แต่ที่สุดของการวางผังเมืองคือการยกระดับความเป็นอยู่ของชุมชนแออัด เพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับคนยากคนจน เป็นสารัตถะของการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการกระจายรายได้ (และถ้าเราเชื่อตามเจน จาคอบส์เขียน มันอาจจะเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติวิธีเดียวเลยก็ได้)
เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมแวะไปทำธุระแถวสวนรถไฟ เมื่อทำธุระเสร็จ ไม่รู้เลี้ยวรถผิดตรงไหน ไปโผล่ชุมชนด้านหลังสวน บ้านส่วนใหญ่ แม้มีสภาพทรุดโทรม แต่ก็ประกอบมาจากไม้ จึงไม่ใช่สลัมในภาพนึกคิดของคนทั่วไป ผู้คนจำนวนมากอาศัยอยู่ในพื้นที่ขนาดเล็ก แต่ถ้านี่คือชุมชนแออัด ก็ถือเป็นชุมชนแออัดที่มีชีวิตชีวา ลานกว้างเปิดเป็นตลาดนัดเต็มไปด้วยแผงลอยและผู้มาจับจ่าย ทางเท้าแน่นขนัดไปด้วยกิจกรรมการซื้อขาย
เมื่อมองคูหาสองข้างทาง สะดุดตาสุดคือร้านอินเตอร์เน็ต ร้านอินเตอร์เน็ตเป็นหนึ่งในบริการที่เปิดถึงดึกดื่นที่สุด มันจึงเป็นเครื่องมือสร้างความปลอดภัยบนท้องถนน ที่ใดมีร้านอินเตอร์เน็ต ที่นั่นจะมีสายตาคนแปลกหน้าเฝ้าระวังความปลอดภัยให้ผู้เดินผ่านไปมา และยิ่งกว่านั้น ตัวร้านเองก็อาศัยเครื่องมือ อุปกรณ์ราคาแพง มันจึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความปลอดภัย เป็นเครื่องรับประกันในระดับหนึ่งว่าชุมชนแห่งนี้และผู้อยู่อาศัยกำลังยกระดับฐานะของตัวเอง[11]
ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือเห็นต่างจากจาคอบส์ เกี่ยวกับธรรมชาติของเมือง วิธีพิสูจน์ที่ดีที่สุดคือไปหาหนังสือเล่มนี้มาอ่าน แล้วลองออกไปเดินชมเมืองที่คุณอาศัยอยู่ดู The Death and Life of Great American Cities เป็นหนังสือที่ไม่มีภาพประกอบ เจน จาคอบส์เขียนในหน้าสารบัญว่าภาพประกอบไม่จำเป็นสำหรับหนังสือเล่มนี้ เพราะแค่มองสภาพที่เกิดขึ้นรอบตัว มองด้วยใจเป็นกลาง ตัดอคติและสิ่งที่ถูกฝังหัวเรามาตั้งแต่เด็กออก
ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคุณยังไม่เชื่อ ลองออกไปทำตามคำท้าทายของเธอดู
นั่นคือคำถามที่จาคอบส์ฝากทิ้งไว้ให้คนอ่าน พวกเราทุกคน
[1] http://matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1302606159&grpid=01&catid=&subcatid=
[2] อันที่จริง แม้แต่ในอเมริกาเอง การวางผังเมืองก็ไม่ถึงกับเป็นวิชาต่างหาก แต่มักถูกนำไปรวมกับสถาปัตยกรรม เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ สาธารณสุข ประวัติศาสตร์ หรือวิศวกรรมศาสตร์ การวางผังเมืองจึงเป็นปรัชญาเกี่ยวกับเมือง มากกว่าจะเป็นตัววิชาจริงๆ
[3] เช่น โครงการขนาดใหญ่อย่างสกายวอล์คเอื้อให้นักการเมืองยักยอกผลประโยชน์ได้ง่าย ถ้าปล่อยให้มีแผงลอย แล้วร้านค้าในสยามสแควร์ที่เสียค่าเช่าแพงๆ จะอยู่ได้อย่างไร หรือข้อถกเถียงที่น่าขบขันที่สุดคือสกายวอล์คมัน "ไม่สวย" (ดูตัวอย่างข้อถกเถียงได้ใน http://thaingo.org/web/2011/03/15/10–เหตุผลที่คน-กทม-ไม่เอาซ/)
[4] แม้จะต่างบริบท ต่างยุคสมัย และต่างสถานที่ แต่พฤติกรรม วิธีคิดของนักวางผังเมืองจอมปลอมชวนให้นึกถึงผู้ใหญ่ในสังคมไทยยุค "2554 เอนจีโอครองเมือง" นักวางผังเมืองจอมปลอมมองเห็นแต่ความหยุดนิ่ง ถนนที่เมื่อวานนี้มีแต่ร้านอาหาร วันนี้ก็จะมีแต่ร้านอาหาร และสมควรแล้วที่พรุ่งนี้จะเปิดกันแต่ร้านอาหาร (ลองอ่านอีกตัวอย่างวิธีคิดของการวางผังเมืองแบบยึดติดภาพลักษณ์ในอดีต โหยหาอยากกลับไปเป็น "เวณิชตะวันออก" ได้ใน http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1298622023&grpid=01&catid&subcatid)
เช่นเดียวกัน นักพัฒนาจอมปลอมเชื่อว่า ถ้าปู่เป็นชาวนา พ่อก็จะเป็นชาวนา และลูกหลานก็สมควรสืบทอดอาชีพทำนาต่อไป นักวางผังเมืองต้องการ "แช่แข็งอำนาจ ผู้คน และการไหลเวียนของธนานัติให้อยู่ในรูปแบบที่หยุดนิ่งและจัดการได้" (คำว่า "แช่แข็ง" สะท้อนบทวิจารณ์ขบวนการเอนจีโอของอาจารย์นิธิได้อย่างน่าขนลุก ดูได้จาก http://thaiaudio.wordpress.com/2010/06/17/คุยกับ-‘นิธิ-เอียวศรีวงศ/)
ทัศนคติแบบนี้ยืนพื้นอยู่บนการมองโลกผ่านแว่นแบบชนบท มองเห็นแต่ความหยุดนิ่ง ในทางตรงกันข้าม มหานครคือสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยพลวัตร การเปลี่ยนแปลงสถานะ ทั้งทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม "เมืองคือแหล่งกำเนิดชนชั้นกลาง" และปฏิสัมพัทธ์ระหว่างเมืองและชนบทเปลี่ยนแปลงชนบทไปจนศาสตร์แห่งการพัฒนาแบบจอมปลอมไม่อาจนำมาใช้ได้อีก
[5] แต่ความผิดพลาดประการสำคัญที่สุดคือการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง ว่าสังคมต้องพึ่งพิงกลไกปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนแปลกหน้า หรือการปฏิเสธเมืองนั่นเอง นี่คือที่มาของลัทธิชุมชน-ชนบทนิยม ทำอย่างไรก็ได้ให้คนทั้งสังคมเป็นญาติสนิทมิตรสหายกันให้หมด หรือถ้าทำไม่สำเร็จเพราะสังคมมีขนาดใหญ่เกินไป ก็แบ่งแยกสังคมออกเป็นส่วนๆ และพยายามไม่ให้แต่ละส่วนมาปะปนกัน
[6] จากสถิติอาชญากรรมในกรุงเทพมหานคร สถานที่เกิดเหตุส่วนใหญ่ไม่ใช่ชุมชนแออัด แต่เป็นซอยเปลี่ยว ก่อนจะมีเมเจอร์เอกมัย ถนนสุขุมวิทด้านหน้าซอยปทุมคงคาทั้งเงียบสนิทและมืดมิด มีการฉกชิงวิ่งราวเกิดขึ้นบ่อยๆ ตั้งแต่โรงภาพยนตร์เมเจอร์สร้างเสร็จ ปัญหาอาชญากรรมก็ดูเหมือนจะทุเลาลงบ้าง
[7] ที่ขันขื่นคือนี่เป็นปัญหาเดียวกับบึงพระรามบนเกาะอยุธยา อาจกล่าวได้ว่า กรุงรัตนโกสินทร์จำลองแบบวัดวังมาจากกรุงศรีอยุธยา ขณะเดียวกันจังหวัดอยุธยาก็จำลองความล้มเหลวของการจัดการกับวัดและวังเหล่านั้น มาจากกรุงเทพมหานคร
[8] และแม้แต่บนถนนเส้นเดียวกัน อย่างสีลม อิทธิพลทางบวกที่พัฒน์พงศ์มีต่อสีลมตะวันตก เปลี่ยนถนนทั้งสายให้กลายเป็นถนนคนเดินที่มีชื่อเสียงที่สุดของกรุงเทพฯ ขณะที่สีลมตะวันออก (ตั้งแต่ช่องนนทรีย์ไปสุดอัสสัมชัญบางรัก) เงียบเหงากว่าหลายเท่า
[9] นี่เป็นข้อเสนอที่ขัดแย้งกับแบบจำลอง "เมืองสวน" โดยสิ้นเชิง นักวางผังเมืองชอบเอาศูนย์วัฒนธรรมมากระจุกตัวกัน สร้างเป็นเขตสวยงาม เชิดหน้าชูตา ตัวอย่างเช่น เกาะรัตนโกสินทร์ซึ่งเต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์ทั้งทางด้านประวัติศาสตร์และศิลปะ คุณภาพของพิพิธภัณฑ์แต่ละแห่งถือว่าชั้นหนึ่ง แต่ปัญหาคือปฏิสัมพัทธ์ที่มันมีต่อเมืองและท้องถนนโดยรอบต่างหาก มิวเสียมสยามส่งผลอย่างไรต่อชุมชนปากคลองตลาด หอศิลป์สิริกิติ์และนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ที่เพิ่งเปิดใหม่ส่งผลอย่างไรต่อถนนราชดำเนินริมสะพานผ่านฟ้า คำถามเหล่านี้อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวพิพิธภัณฑ์เอง แต่จากมุมมองของการวางผังเมือง คือคำถามที่ละเลยไม่ได้
[10] อิทธิพลของสถาปัตยกรรมที่มีต่อความสำเร็จและล้มเหลวของถนนก็เป็นเรื่องน่าศึกษา หอพักยูเซนเตอร์ในสามย่านปล่อยชั้นล่างเป็นถนนให้คนเดินผ่าน และอนุญาตให้พ่อค้าแม่ขายมาเช่าที่ เปิดกิจการร้านรวง สร้างความคึกคักให้กับย่านดังกล่าว ส่วนตัวมองว่าสามย่านในปัจจุบันน่าเดินกว่าในอดีต สมัยที่มีแต่ห้างร้านเหงาๆ โรงเรียนสอนพิเศษ และร้านขายหิ้งหมู่บูชาติดกันเป็นสิบๆ ร้าน (แต่ไม่ได้หมายความว่าระหว่างการเปลี่ยนแปลงจะไม่มีใครเลยที่ต้องบาดเจ็บ แม้แต่จาคอบส์ยังเห็นว่า "การสร้างความหลากหลายขึ้นมาในที่แห่งหนึ่ง จะไปทำลายความหลากหลายที่มีมาอยู่แต่เดิมเสมอ")
[11] อีกย่านหนึ่งที่น่าสนใจและแวะเวียนเข้าไปมากๆ คือ ถนนชานเมือง ด้านหลังห้างสยามจัสโก้บนนถนนรัชดาภิเษก
โดย ภาณุ ตรัยเวช http://www.onopen.com/loveyouallmass/11-05-03/5785