Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

The Bloody Chamber

 

 
นิทานคือจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่ง คือต้นธารแห่งจินตนาการ วิทยาการ และศิลปวัฒนธรรม หนังสือเล่มแรกที่เด็กอ่าน ที่มนุษยชาติอ่านก็คือหนังสือนิทาน เมื่อเด็กเติบโตขึ้น เมื่ออารยธรรมพัฒนาขึ้น นิทานก็แปรเปลี่ยนไปเป็นนิยาย เป็นงานศิลปะประเภทต่างๆ รวมไปถึงองค์ความรู้ในตำรับตำราเรียน แต่นิทานจะไม่มีวันห่างหายไปไหน บริษัทยักษ์ใหญ่ในศตวรรษที่ 20 อย่างวอลซ์ดิสนีย์หากินกับการแปรรูปแบบนิทานมาเป็นสื่อภาพยนตร์ และเมื่อผู้บริโภคเริ่มเบื่อหน่ายนิทาน นิทานรูปแบบใหม่ที่รื้อสร้างและยั่วล้อขนบเดิมๆ อย่าง Shrek หรือ Enchanted ก็ถูกผลิตขึ้นมาช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ศิลปินตีความนิทานเรื่องเดิมในแง่มุมของผู้ใหญ่ เช่น Ever After หรือซินเดอเรลลาผ่านแว่นสตรีนิยม และ Snow White: A Tale of Terror หรือสโนไวท์ในรูปแบบของภาพยนตร์สยองขวัญ 
 
ในประเทศไทย ทั้งวรรณคดีและวรรณกรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นกับนิทาน วรรณคดีคือนิทานพื้นบ้านที่ถูกนำมาประกอบสร้างให้กลายเป็นชิ้นงาน ในหมู่วรรณกรรมร่วมสมัย ผลงานซีไรต์ปี 2548 ก็คือรวมเรื่องสั้นนิทานยุคใหม่ เจ้าหงิญ หนังสือเล่มอื่นที่ได้ชิงในปีเดียวกันก็ยังมี นิทานกลางแสงจันทร์ และต้นไม้ประหลาด รวมเรื่องสั้นเหล่านี้ใช้เปลือกนิทานห่อหุ้มเรื่องสั้นแนวขนบ (เพื่อชีวิตหรือเสียดสีสังคม) เป็นนิทานที่ “สอนให้รู้” ถึงบทเรียนและข้อคิดในโลกปัจจุบันนั่นเอง 
 
 
แล้ว The Bloody Chamber ของเองเจลา คาเตอร์ล่ะ คืออะไร คือนิทานยุคใหม่ที่พูดถึงโลกปัจจุบัน คือนิทานที่ถูกรื้อสร้าง หรือคือนิทานสำหรับผู้ใหญ่ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เลย The Bloody Chamber มีท่าทีปฏิเสธการรื้อสร้างเสียด้วยซ้ำ คาเตอร์ไม่ได้ตีความนิทานออกมาในแง่มุมที่แปลกไปจากต้นฉบับเดิม สุดท้ายโฉมงามก็ยังได้แต่งงานกับเจ้าชายอสูรผู้กลายร่างเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม[1] ในทางตรงกันข้าม คาเตอร์ฟื้นคืนชีพนิทานคลาสสิคผ่านเครื่องมือของวรรณกรรมยุคใหม่ The Bloody Chamber ไม่ใช่หนังสือสำหรับเด็ก เพราะมันเต็มไปด้วยเลือด ฆาตกรรม และบทอัศจรรย์ แต่ความรุนแรงและเพศรสไม่ได้ถูกเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่ หรือจงใจตีความให้แตกต่างไปจากต้นฉบับเดิม หากผู้เขียนตอกเตือนให้ผู้อ่านตระหนักว่า เหล่านี้เป็นสิ่งที่ขาดหายไปจากนิทานฉบับดั้งเดิมต่างหาก 
 
เพราะนิทานคือวรรณกรรมมุขปาฐะ เราจึงไม่อาจฟันธงได้ว่านิทานเรื่องนั้นเรื่องนี้มีต้นกำเนิดมาจากไหน อย่างเทพนิยายกริมส์แท้ที่จริงก็เป็นนิทานที่สองพี่น้องตระกูลกริมส์รวบรวมขึ้นมามากกว่าจะแต่งเอง เพราะไม่มีใครเป็นเจ้าของนิทาน เรื่องราวเหล่านี้จึงเป็นสมบัติสาธารณะของผู้เล่าและผู้ฟัง กาลเวลาย่อมเปลี่ยนแปลงนิทานให้เข้ากับยุคสมัย เมื่อนิทานกลายเป็นพื้นที่ของวัยเยาว์ องค์ประกอบที่ (ผู้ใหญ่เชื่อว่า) ไม่เหมาะสมกับเด็กจึงถูกริดลอนออกจากนิทาน 
 
นิทานของคาเตอร์มาจากยุคสมัยที่ “เด็กไม่ได้เป็นเด็กอยู่นาน…[เพราะ] ไม่มีของเล่นให้พวกเขาเล่น เด็กๆ จึงทำงานหนักและรีบโตเป็นผู้ใหญ่กันไวๆ ” นิทานคือสะพานเชื่อมต่อระหว่างโลกของเด็กและของผู้ใหญ่ ดังนั้นความรุนแรงและเรื่องเพศจึงไม่ใช่แค่องค์ประกอบหนึ่งในนิทาน แต่เป็นองค์ประกอบหลักเลยก็ว่าได้ The Bloody Chamber (ดัดแปลงมาจากตำนานเคราน้ำเงิน) วาดภาพชีวิตแต่งงานว่าเป็น “ดินแดนแห่งมนตรา ปราสาทเทพยดาที่ถูกสร้างขึ้นด้วยโฟม…ชะตากรรม” ที่ลูกผู้หญิงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ด้วยเหตุผลทางอำนาจและเงินตรา เตียงวิวาห์ของ “ฉัน” ในปราสาทเคราน้ำเงินขนาดใหญ่เกือบเท่าห้องเล็กๆ ที่บ้าน ส่วน The Company of Wolves (ดัดแปลงมาจากหนูน้อยหมวกแดง) เปรียบผู้ชายเป็นหมาป่าที่พร้อมจะกลืนกินผู้หญิงด้วยสายตา ฟันเขี้ยวโต และบางอย่างที่มหึมาเสียยิ่งกว่าฟัน 
 
นิทานไม่ใช่เครื่องเตือนใจ (cautionary tale) ให้เด็กๆ ตระหนักถึงอันตราย นิทานรุนเร้าให้เด็กออกไปเผชิญโลกกว้าง เติบโตเป็นผู้ใหญ่และสูญเสีย “ความบริสุทธิ์” ไวๆ หลังจากคืนวิวาห์เมื่อ “ฉัน” หลั่งเลือดพรหมจรรย์ เคราน้ำเงินเปิดเผยว่าเธอคือภรรยาคนแรกของเขาที่เป็นสาวบริสุทธิ์ เธอผู้เป็นเพีียงนักเปียโนยาจก เทียบอะไรไม่ได้เลยกับภรรยาคนก่อนๆ จึงตระหนักว่า “เป็นความบริสุทธิ์ของฉันนี่เองที่ดึงดูดเขา…ในความบริสุทธิ์นี้ เขาคงเห็นว่าฉันจะแปดเปื้อนลงไปได้มากมายสักเพียงใด” ด้วยเหตุนี้ตอนจบของนิทานจึงไม่มีเจ้าชายหรือนายพรานมาช่วยดึงตัวเอกกลับเข้าสู่โลกแห่งวัยเยาว์ แต่เป็นการ “เปิดบริสุทธิ์” หรือตัวเอกเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับสัตว์ร้าย บางเรื่องก็ถึงขนาดว่าหญิงสาวกลายเป็นสัตว์ร้ายไปเองเลยก็มี 
 
การเปิดบริสุทธิ์ถูกนำเสนออย่างชัดเจนสุดใน Wolf-Alice เรื่องราวของเด็กสาวที่ถูกหมาป่าเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด และเมื่อเธอเข้ามาอยู่ในสังคมมนุษย์ ต้องค่อยๆ เรียนรู้ธรรมชาติอันแท้จริงของตัวเอง เพราะโตมากับสัตว์ อลิซจึงไม่รู้จักกาลเวลา เธอมีชีวิตอยู่แต่ในปัจจุบัน หลังจากอลิซมีเลือดประจำเดือนเป็นครั้งแรก เธอถึงค่อยใช้รอบเดือนเป็นเครื่องวัดวันเวลา และเมื่ออลิซรู้จักมองเงาตัวเองในกระจก เธอถึงเริ่มตระหนักรู้ตัวตน เฉกเช่นเดียวกับอีฟ ความเป็นผู้หญิงของอลิซคือสิ่งที่ช่วยให้มนุษย์เราสูญเสียความบริสุทธิ์ (ทางจิตวิญญาณ) จนสามารถแยกตัวเองจากธรรมชาติและพัฒนาสติปัญญาขึ้นมา 
 
The Lady of the House of Love (ดัดแปลงมาจากตำนานแดรกคูลา) นำเสนอการเปิดบริสุทธิ์ได้อย่างชาญฉลาดและย้อนแย้ง ผีดูดเลือดสาวที่อาศัยอยู่ในปราสาทโบราณ ใช้เสน่ห์มายาดึดดูดมัดใจเด็กเลี้ยงแกะเพื่อจับกินเป็นอาหาร เธอทำแบบนี้ของเธอมานานหลายร้อยปี จนกระทั่งศตวรรษที่ 20 ทหารหนุ่มชาวเยอรมันขี่จักรยานผ่านมาหน้าปราสาทของเธอ จักรยานคือสัญลักษณ์ของความรู้แจ้ง (Enlightenment)[2] “เรขาคณิตเพื่อรับใช้มนุษยชาติ! เอาวงกลมสองวงกับเส้นตรงเส้นหนึ่งมา เดี๋ยวฉันจะแสดงให้ดูว่าฉันทำอะไรกับมันได้บ้าง” เมื่อทหารหนุ่มเข้ามาในปราสาทผีดูดเลือด เขาถามตัวเอง “ทำไมข้างในนี้ถึงได้ทรุดโทรมนัก” กระทั่งหญิงสาวเจ้าของปราสาท ทหารหนุ่มกลับรู้สึกว่าหล่อน “สวยแบบขี้โรค” ด้วยความใสซื่อ เด็กหนุ่มวางแผนว่าวันรุ่งขึ้น “ต้องพาเธอไปหาหมอที่ซูริค รักษาโรคเส้นกระตุกก่อน จากนั้นพาไปหาจักษุแพทย์ รักษาอาการแพ้แสงแดด ไปให้หมอฟันจัดฟันให้ ส่วนเรื่องเล็บ ช่างทำเล็บที่ไหนก็น่าจะจัดการได้ ฉันจะเปลี่ยนเธอให้เป็นหญิงสาวสะสวย ฉันจะรักษาเธอจากฝันร้ายนี้เอง” กลับกลายเป็นผีดูดเลือดสาวที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย และเด็กหนุ่มก็คือตัวเร่งปฏิกริยาแห่งความเปลี่ยนแปลงนั้น 
 
กระนั้นคาเตอร์ทิ้งท้าย The Lady of the House of Love ได้อย่างเจ็บแสบ เมื่อทหารหนุ่มถูกส่งไปรบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ความโหดร้ายของมหาสงครามเกินกว่าที่มนุษย์เคยประสบพบมา จนหลายคนเชื่อว่านั่นคือจุดจบของยุครู้แจ้งเลย 
 
แม้จะโอบกอดขนบนิทาน คาเตอร์ใช้เทคนิคทางวรรณกรรมสมัยใหม่มาเสริมแต่งเรื่องเล่าให้มีชีวิตชีวา เพราะนิทานเป็นเรื่องเล่าปากต่อปาก รายละเอียดจึงมักถูกกล่าวข้ามๆ ไป (เช่น “…ภายในปราสาทเต็มไปด้วยของมีค่า…” “…หมาป่าเขี้ยวโตตัวใหญ่สีดำ…”) เมื่อบันทึกนิทานออกมาในรูปแบบของเรื่องสั้น คาเตอร์จึงสามารถลงลายละเอียดได้ The Bloody Chamber เป็นหนังสือที่ใช้พรรณนาและบรรยายโวหารได้อย่างไพเราะจับใจ เมื่อพ่อของโฉมงามเข้าไปในปราสาทอสูร เขาสัมผัสได้ถึง “บรรยากาศเหนือจริง ราวกับย่างเท้าเข้ามาในดินแดนวิเศษซึ่งกฏต่างๆ เท่าที่เขาเคยเรียนรู้มา ไม่อาจหยิบจับมาใช้ได้ในสถานที่แห่งนี้” คาเตอร์บรรยายละเอียดถึงขนาดเครื่องประดับของสุนัขในปราสาทว่าวิจิตรบรรจง ทำมาจากเพชรนิลจินดาอันมีค่าแค่ไหน ในทางตรงกันข้าม ในปราสาทของเจ้าหญิงผีดูดเลือด “โคมระย้าที่ดับวอดมานานอัดแน่นไปด้วยผงไผ่ จนมองรูปลักษณ์ประกายแก้วไม่ออก แมงมุมจอมยุ่งชักใยตามสุมทุมมุมห้อง ซึ่งประดับประดาอย่างสวยงาม แต่บัดนี้กำลังเน่าเฟะ แจกันลายครามถูกจับอยู่ในใยแมงมุม” รายละเอียดมากมายผิดนิทานคือเสน่ห์อันน่าพิศวงของหนังสือเล่มนี้ 
 
 
นิทานคือจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่ง ฟูโกต์เชื่อว่าความรู้ แท้ที่จริงก็เป็นเพียงวาทกรรมที่ประกอบเข้าหากัน โดยเราจะมองว่าแต่ละวาทกรรมคือ “นิทาน” ของความรู้ก็ย่อมได้ เช่นเดียวกัน ประวัติศาสตร์ไม่ใช่บันทึกความจริงในอดีต แต่เป็น “นิทานประเทศ” ที่ผลัดกันเล่า ผลัดกันฟัง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนประกอบขึ้นมาจากนิทาน เด็กที่คุ้นเคยกับนิทานย่อมมีทักษะในการอ่านความจริงมากกว่าคนทั่วไป แล้วผู้ปกครองสมควรระวังไหม หากนิทานจะไป “เปิดบริสุทธิ์” ลูกหลานของท่าน 
 
นั่นคือคำถามซึ่งคาเตอร์ฝากทิ้งไว้ให้คนอ่าน พวกเราทุกคน 
 
 
โดย :ภาณุ ตรัยเวช 
ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ : onopen.com-โอเพ่นออนไลน์ Fri, 03/09/2010 – 14:11