TAIWAN FEVER…ปรากฏการณ์มังกรน้อยในวงการหนังสือไทย

ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ หลังจากที่กระแสญี่ปุ่นและเกาหลีมาตีตลาดหนังสือไทยตลอดหลายปีก่อน…
…ทั้งประเภทนวนิยายรหัสคดี วรรณกรรมเยาวชน นิทาน ไปจนถึงการ์ตูนความรู้ ในปีนี้ก็มีคลื่นลูกใหม่เกิดขึ้น นั่นคือมังกรน้อยแห่งเอเชีย 'ไต้หวัน'
สำหรับบรรดาแฟนคลับนักเขียนอาตี๋อาหมวยทั้งหลายอาจไม่รู้สึกแปลกใจกับกระแสไต้หวันฟีเว่อร์ แต่ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ผ่านไป ก็สร้างความประหลาดใจแก่คนในบรรณพิภพไทยมิใช่น้อย ตารางกิจกรรมงานเปิดตัวหนังสือและพบปะนักเขียน ก็มีชื่อของนักเขียนจากไต้หวันหลายคน ยิ่งได้เห็นขบวนแถวแฟนคลับที่รอขอลายเซ็นกันยาวเหยียดยิ่งตอกย้ำว่า ไต้หวันมาแรงจริงๆ
อะไรคือเหตุแห่งความสำเร็จ พวกเขาครองใจแฟนๆ ชาวต่างชาติได้อย่างไร มีนักเขียนชาวไต้หวันหลายคนขึ้นแท่นนักเขียนขายดีในบ้านเรา แต่ที่โดดเด่น และพอจะยกเป็นตัวอย่างได้ดีก็คงหนีไม่พ้นราชินีบล็อก 250+ ล้านคลิก 'วานวาน' และนักเขียนสาวมาดนิ่ง 'หู้เสวียน'
วานวาน เจ้าของผลงาน “ไม่ไปทำงานได้ไหมเนี่ย” ซึ่งเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดในไต้หวัน ฉบับภาษาจีนมียอดขายทะลุ 200,000 เล่มภายในปีเดียวกลายเป็นปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการพิมพ์ในไต้หวัน http://www.wretch.cc/blog/cwwany เป็นบล็อกของวานวาน ที่มีผู้เข้าชมกว่า 50 ล้านครั้งนับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคมปี 2004 จนเธอได้รับฉายาว่า ราชินีบล็อกเกอร์
ในปี 2005 -2006 เกิดกระแสคลั่งวานวานขึ้น วานวานได้รับคัดเลือกให้เป็น บุคคลผู้ทรงอิทธิพลในปี 2005 ด้านความสำเร็จ ของร้านหนังสือ Kingstone และในปี 2007 ได้รับคัดเลือกให้เป็นไอดอลจากนิตยสาร Taipei Walker
หลังจากนั้นวานวานก็มีผลงานออกมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น โดดงานทุกวันได้ไหมเนี่ย, ไม่ไปโรงเรียนได้ไหมเนี่ย, ไปเที่ยวทุกวันได้ไหมเนี่ย ฯลฯ เธอเล่าว่า การตั้งชื่อหนังสือแต่ละเล่มก็เป็นการตั้งคำถามกับผู้อ่านด้วย จนเล่มล่าสุด เที่ยวยุโรปทุกวันได้ไหมเนี่ย ที่เธอเดินทางมาเปิดตัวหนังสือเล่มนี้ที่ไทย
วานวานเล่าถึงจุดเริ่มต้นวาดการ์ตูนว่า ชอบวาดมาตั้งแต่เด็กๆ โดยเริ่มจากชอบอ่านการ์ตูน จึงชอบวาดการ์ตูน จนกระทั่งเรียนจบและก็ยังวาดการ์ตูนอย่างต่อเนื่อง ด้วยการที่วาดรูปมาตลอดจึงมี สำนักพิมพ์มาเห็นและติดต่อและได้ออกหนังสือเล่มแรก
"สมัยนั้นในไต้หวันเริ่มมีบล็อก วาดรูปในชีวิตประจำวันตัวเองลงบล็อก งานกลุ่มหนึ่งที่วาดขึ้นไป คือ ภาพ MSN display เป็นภาพที่สื่ออารมณ์ในการทำงาน หลังจากนั้นก็มีคนเอาไปแชร์ต่อกันและใช้กันเยอะ พวกร้อน พวกเหนื่อย หลังจากนั้นคนก็เข้าบล็อกมากขึ้น จึงเป็นที่รู้จัก อินเทอร์เน็ตทำให้คนเห็นได้กว้างมากขึ้น คนที่ให้ความสำคัญกับมันเห็นแนวทาง แล้วมีสำนักพิมพ์ติดต่อเข้ามาก็เลยตกลงแล้วรวมกันเป็นเล่ม จำนวนคนเข้าชมเป็นที่พูดถึงกันมากในแวดวงอินเทอร์เน็ตและคนเข้าบล็อกและติดต่อไปออกหนังสือ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้มีผลงานหนังสือออกมา"
สำหรับผลงาน ไม่ไปทำงานได้ไหมเนี่ย แม้ชื่อจะบอกเป็นนัยๆ ว่าผู้เขียนอาจไม่ชอบทำงาน แต่อันที่จริงวานวานกลับชอบทำงาน และอยากให้ทุกคนหาความสนุกจากการทำงานให้พบ
"ความจริงฉันชอบทำงาน แต่คนที่ไม่ชอบทำงานหรือไม่อยากทำงานมีเยอะ เพราะฉะนั้นเนื้อหาของไม่ไปทำงานได้ไหมเนี่ย เป็นลักษณะที่ว่าทุกคนไม่อยากทำงาน แต่จำเป็นต้องทำงาน การทำงานในเรื่องน่าเบื่อมันก็หาความสนุกได้ หาเรื่องราวขำขันจากสิ่งนั้นได้"
หนังสือของวานวานเป็นหนังสือที่มีภาพประกอบ แต่ถึงอย่างไรถ้อยคำที่เธอใช้ก็ทำหน้าที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันนัก การเล่าเรื่องผ่านทั้งภาพและตัวหนังสือควบคู่กันไปได้อย่างดีถือเป็นความสามารถที่น่าชื่นชม เธอเล่าว่าภาพเป็นสิ่งที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม คนส่วนมากรับรู้ได้ว่าบอกเล่าเรื่องราวอะไร ส่วนตัวอักษรแต่ละคนก็มีจินตนาการผ่านตัวอักษรที่ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการอ่านงานเขียนที่เป็นภาพก็จะสบายกว่าง่ายกว่า และเข้าถึงได้เร็วกว่า
สำหรับหนังสือ เที่ยวยุโรปทุกวันได้ไหมเนี่ย คือบทพิสูจน์สำคัญว่าฝีมือของวานวานเป็นที่ยอมรับอย่างไร เพราะเธอได้รับทุนจากสหภาพยุโรป หรือ EU ไปท่องเที่ยวยุโรปเกือบเดือน เพื่อเขียนหนังสือส่งเสริมการท่องเที่ยวยุโรป แน่นอนว่าถ้าไม่เก่งจริงคงไม่มีใครยื่นโอกาสนี้มาให้
"เริ่มจาก EU กับไต้หวันเปิดนโยบายโดยไม่ต้องใช้วีซ่าระหว่างประเทศ คือคนไต้หวันสามารถไปยุโรปได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่า และEUอยากจะผลักดันการท่องเที่ยวยุโรปในลักษณะหนังสือที่อ่านง่ายๆ วัยรุ่นๆ เข้าถึงได้ง่าย"
ด้วยชื่อเสียงของวานวาน EU จึงติดต่อมาให้เป็นผู้เขียน…
เธอใช้เวลา 20 วันในการเดินทาง 6 ประเทศ 8 เมือง จากนั้นกลับมาใช้เวลาอีก 1 เดือนกว่าเพื่อวาดและเขียนออกมาเป็นหนังสือ
"ไปเบลเยียมเห็นเป็นเมืองช็อกโกแลต ไปกินขนมที่ฝรั่งเศส ไปกำแพงเบอร์ลินประเทศเยอรมัน ไปเห็นสถานที่ที่เห็นได้แต่ในหนัง สนุกประทับใจที่ได้ไปครั้งนี้"
หนังสือของเธอจึงออกมาแตกต่างจากหนังสือนำเที่ยวทั่วไป เพราะนี่คือบันทึกการเดินทาง คือการท่องเที่ยวแบบตามใจฉัน คือการผจญภัย แม้แต่เที่ยวแบบยาจกก็มี ผู้อ่านจะรู้สึกว่าได้เที่ยวไปพร้อมกับวานวาน
เมื่อประสบความสำเร็จเช่นนี้ ภาพของวงการหนังสือไต้หวันจึงอยู่ในสายตาของเธอพอสมควร แม้ไม่ใช่ผู้อาวุโสในวงการ ทว่า ก็มองเห็นว่าก่อนหน้าที่เธอจะออกหนังสือ บล็อกเกอร์รายอื่นก็อยู่เพียงในโลกออนไลน์ แต่หลังจากนั้นเธอน่าจะสร้างให้เกิดกระแสบล็อกสู่หนังสือจริง
"ตั้งแต่ก่อนที่หนังสือจะออก แทบจะไม่มีบล็อกที่ไหนที่ออกหนังสือ หลังจากหนังสือออกและขายได้ก็เกิดกระแส ก็จะมีสำนักพิมพ์ไปค้นหานักเขียนจากบล็อกโดยเฉพาะ"
สุดท้าย วานวานได้ฝากถึงนักเขียนรุ่นใหม่ที่กำลังจะก้าวเดินตามเธอว่า "จะเป็นนักเขียนได้นั้นไม่ใช่เรื่องยากแล้วในยุคที่โลกใกล้กันด้วยเทคโนโลยี แต่จะเป็นนักเขียนที่ดีและคนยอมรับนั้นต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์…"
มาถึง หู้เสวียน นักเขียนผู้มีผลงานเขียนที่ครองใจนักอ่านอย่างล้นหลาม แม้จุดขายไม่ได้อยู่ที่ภาพ แต่ตัวหนังสือของเธอก็มีพลังดึงดูดแฟนๆ ได้อยู่หมัด
หู้เสวียนคืออีกหนึ่งคนที่เริ่มต้นจากบล็อก ผลงานที่สร้างชื่อของเธอคือเรื่องแนวคอมเมดี้ชื่อ Tè Su Chuan Jhug เมื่อกระแสตอบรับดีเธอจึงหันมาเขียนหนังสือจริงๆ ตั้งแต่อายุเพียง 13-14 ปี จนปัจจุบัน ก็ยังไม่เคยเปลี่ยนงาน
"ในวัยเด็กก็เขียนนิยายรัก ๆ โรมานซ์ ตามกระแส แต่เมื่อเห็นโลกมากขึ้น ก็อยากเขียนหนังสือที่ให้กำลังใจ ให้ความคิดดีๆ แก่ผู้อ่าน และตั้งใจไว้แล้วว่าจะเขียนหนังสือทุกแนว ไม่เจาะจงต้องแนวใด แนวหนึ่ง"
ทว่า แนวทางของหู้เสวียนอันเด่นชัด คือ นวนิยายประเภทไลท์โนเวล แนวแฟนตาซี เธอเล่าว่าสนใจและชอบนวนิยายไลท์โนเวลเพราะไลท์โนเวล ขอบเขตกว้าง มีนักอ่านได้ทุกเพศ ทุกวัย ไม่เจาะจงว่าจะเป็นเด็ก เยาวชน เท่านั้น ผู้ใหญ่ก็อ่านได้
"เสน่ห์ของมันคือ อ่านง่าย คนอ่านมีได้ทุกเพศ ทุกวัย เด็ก เยาวชน คนทำงาน ผู้ใหญ่ ให้ความคิดที่กว้างไกล ไร้ขอบเขต ไม่ต้องเป็นเรื่องจริง ทำให้เกิดการจินตนาการที่เพลิดเพลิน หากเป็นนิยายรักโรมานซ์ ก็จะถูกขีดให้เป็นเรื่องคน 2 คน อยู่ในโลกใบนี้ ข้ามมิติไม่ได้ จินตนาการก็ถูกขีดวงไว้ แต่แฟนตาซี ไม่ คุณข้ามไปโลกบาดาลใต้พิภพ หรือไปบนฟ้า เจอทูตสวรรค์ เราทำได้แบบคนอ่านก็คล้อยตามได้ เพราะเป็นแนวแฟนตาซี การเป็นไลท์โนเวล คือวรรณกรรมแบบเบาๆ ให้ความคิด ปรัชญาชีวิต แบบง่ายๆ ไม่ต้องตีความมากมาย ภาษาก็ใช้ภาษาง่ายๆ ไม่ใช้ภาษาสัญลักษณ์ เพื่อตีความให้ซับซ้อน ทำให้อ่านได้เร็ว เข้าใจง่าย ความสนุกก็ตามมา ที่สำคัญ ฉันเขียนโดยใช้อารมณ์ขันเข้าสอดแทรก ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าหนังสือสนุก ไม่หนักหัว อ่านอย่างสบายใจ ได้ทุกเวลา เนื่องจากระยะหลายปีมานี้ คนไต้หวัน เครียดมาก ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม คนจึงหันมาอ่านหนังสือเบาๆ คลายความเครียด อ่านเพื่อความสนุกเพลิดเพลิน ให้ความบันเทิงใจ ไลท์โนเวลจึงมาแรง คนอ่านเยอะ"
สำหรับ คู่ป่วนสืบคดีพิศวง หนังสือสร้างชื่อของเธอ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนเห็นผี เห็นวิญญาณ เธอต้องการสื่อสารอะไรบางอย่างกับผู้อ่าน
"เพราะเด็กๆ มักกลัวผีโดยไม่มีสาเหตุ และไม่รู้ความจริง ว่าทำไมต้องกลัว เลยเขียนนิยายเรื่องนี้ เพื่อให้เด็กไม่กลัวผี และให้รู้สึกขำขันไปกับเรื่องราวของการเห็นผี ว่ามันมีที่มา ที่ไป หรือการเห็นศพ ว่าเป็นธรรมดา ไม่ต้องกลัวหรือต้องหวาดผวา ให้ทำใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมชาติ"
แม้แต่สำหรับแฟนนักอ่านชาวไทย หู้เสวียนก็ฝากบอกด้วยว่า อยากให้อ่านหนังสือชุด คู่ป่วยสืบคดีพิศวง อย่างสนุกสนาน ไม่ต้องกลัวผี…
"ก็ขอให้อ่านให้สนุก ไม่ต้องกลัวผี เพราะในฐานะที่เขา (ผี) เป็นอยู่ก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้เรา อยากให้ทุกคนคิดว่าเราต้องใช้ชีวิตเพื่อสร้างคุณค่าให้ผู้อื่น เราจึงจะมีคุณค่า"
และล่าสุด หู้เสวียนก็มีผลงานชุดใหม่คือ Time to Change ว้าบ… ว้าบ..พิภพมหัศจรรย์ ก็ยังไม่ทิ้งลายนักเขียนผู้หวังดีต่อผู้อ่าน เธอยังปรารถนาให้คนอ่านได้อะไรจากหนังสือของเธอเหมือนเคย อาจเปลี่ยนประเด็นบ้าง ทว่า ยังอุดมประโยชน์
"สำหรับซีรีส์ใหม่ Time to Change ว้าบ… ว้าบ..พิภพมหัศจรรย์ ก็จะบอกเด็กๆ ว่า หากเจออุปสรรคอย่าง ซือสู่ เด็กกำพร้าอายุ 17 ปี ที่ปู่ที่เก็บมาเลี้ยงตายกะทันหันไม่รู้จะสู้ชีวิตต่อไปอย่างไรก็มาเจอเรื่องประหลาด กับคนจากพิภพต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง มากมาย ก็ขอให้ตั้งใจมั่น กับการเผชิญหน้ากับปัญหา ตั้งใจแก้ไข อย่าทิ้งหรือหันหลังไปไม่สู้ อยากบอกว่าในโลกนี้ไม่มีใครไม่เจออุปสรรค แต่เจอแล้วจะหันหน้าต่อสู้ แก้ไขอย่างไร เยาวชนไต้หวันเอาแต่ใจเยอะมาก เพราะพ่อแม่มีลูกคนเดียวกันเยอะ เมื่อเจอปัญหาก็จะท้อถอย ไม่กล้า หรือขี้แย ละทิ้ง ไม่เอาใส่ใจกับอุปสรรค ปล่อยให้คนอื่นรับเคราะห์หรือแก้ไข จึงเป็นแรงบันดาลใจที่อยากเขียนเรื่องนี้มาให้เด็กๆ ได้อ่าน อยากให้แฟนๆ นักอ่านได้แง่คิดที่ดีงาม เอาไปใช้กับชีวิต"
เมื่อหู้เสวียนเห็นแฟนๆ ชาวไทยเข้าร่วมพบปะสังสรรค์กันหนาตา และเข้าแถวกันยาวเหยียดเพื่อจะได้ขอลายเซ็นและถ่ายรูปคู่กับเธอ เธอประหลาดใจและดีใจมาก เธอบอกว่าช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เพราะไม่คาดคิดว่างานเขียนจะถูกใจเยาวชนไทยด้วย แต่นอกจากดีใจแล้ว เธอยังภาคภูมิใจที่สุด เพราะนี่คือนิมิตหมายดีว่า จุดประสงค์ที่จะให้หนังสือของเธอเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านได้ก้าวมาไกลมากกว่าเพียงที่ไต้หวันแล้ว
อาจสรุปออกมาเป็นข้อไม่ได้ว่าอะไรคือสาเหตุให้นักเขียนไต้หวันเหล่านี้ประสบความสำเร็จมหาศาล ทว่า สิ่งที่รับรู้ได้กระจ่างชัดคือ พวกเขาเอาจริงเอาจัง และปรารถนาดีต่อผู้อ่าน แม้งานวรรณกรรมเหล่านี้จะเบาจนบางคนไม่ให้ค่าแก่มัน
แต่เชื่อเถิดว่านักเขียนไต้หวันและผลงานของพวกเขากำลังสร้างปรากฏการณ์ในบ้านเราแล้ว จะนานหรือไม่คงต้องรอดูกันต่อไป
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก http://www.bangkokbiznews.com