มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน | Reading Culture Promotion Foundation

She

 

 
ความตั้งใจทีแรกคือจะอ่าน She ของเฮนรี ไรเดอร์ แฮคการ์ดควบคู่ไปกับ สาวสองพันปี ของครูเหลี่ยมเพื่อวิจารณ์ควบ   แต่พอไปหอสมุดแห่งชาติเพื่อขอถ่ายเอกสาร สาวสองพันปี ก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อเห็นสภาพหนังสือ   กระดาษแห้งกรอบเป็นสีน้ำตาล ปลวกกัดแทะจนแต่ละหน้าหลุดออกมาเป็นแผ่นๆ   พอเห็นความผุพังของหนังสือ สาวสองพันปี ก็อดสะท้อนใจไม่ได้ว่าช่างไม่แตกต่างอะไรเลย กับจุดจบของตัวละครอัสฌา 
 
 
สาวสองพันปี จับตามองการผจญภัยในแดนเถื่อนของฮอลลี ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาและปรัชญา และลีโอ ลูกเลี้ยงของเขา   หลังจากเปิดพินัยกรรมที่พ่อของลีโอเหลือทิ้งไว้ ทั้งคู่ได้อ่านเรื่องราวมหัศจรรย์เกี่ยวกับบรรพบุรุษของลีโอ   ความสัมพันธ์ ความรัก และความแค้นกับราชินีผู้ลี้ลับและเลอโฉม   แม้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ทั้งฮอลลีและลีโอตัดสินใจเดินทางไปยังทวีปแอฟริกาเพื่อค้นหาความจริง
 
 
สาวสองพันปี เป็นนิยายซึ่งมีความสำคัญกับแวดวงวรรณกรรมไทยมาก   ครูเหลี่ยมผู้แปลนิยายเล่มนี้ก็คือผู้เขียน ความไม่พยาบาท นิยายไทยเล่มแรก   ส่วน สาวสองพันปี เองก็คือนิยายแปลเล่มที่สองของเมืองไทย (ถัดจาก ความพยาบาท ของแมรี คอลเรลลี แปลโดยแม่วัน)   จึงพูดได้ว่าคนไทยรู้จักงานเขียนร้อยแก้วบันเทิงคดีครั้งแรกๆ ก็จาก สาวสองพันปี นี่เอง  
 
 
นิยายอย่าง She จัดว่าเป็นโบราณวัตถุทางวรรณกรรมเสียแล้ว   ในยุคจักรวรรดินิยม ชาวยุโรปออกไปสำรวจดินแดนอันห่างไกล   พวกเขาเผชิญกับโลกลี้ลับ อารยธรรมโบราณ ชนเผ่า (ที่พวกเขามองว่า) ป่าเถื่อน และธรรมชาติอันโหดร้าย   หนังสือซึ่งบอกเล่าเรื่องราวการผจญภัยเหล่านี้ ไม่ว่าจะในรูปแบบของสารคดีหรือผูกเรื่องให้เป็นนิยาย ล้วนได้รับความนิยมมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19    กระทั่งโลกาภิวัฒน์และสงครามโลกปิดฉากยุคอาณานิคม ผลงานของแฮคการ์ดก็กลายเป็นของล้าสมัยและเสื่อมความนิยมลง แต่รอยนิ้วมือของเขาก็ได้ไปประทับอยู่บนนิยาย ภาพยนตร์ และงานบันเทิงหลากหลายสาขา   โลกของแฮคการ์ดและตัวละครของแฮคการ์ดสะท้อนอยู่ในภาพยนตร์คาวบอย ในตัวละครยอดฮิตอย่างอินเดียนา โจนส์ หรือกระทั่งภาพยนต์พันล้านเรื่องล่าสุดเช่น อวตาร   ตราบใดที่มนุษย์ยังกระหายความรู้ กระหายดินแดนที่พวกเขาไม่รู้จัก เมื่อนั้นวาทกรรมอาณานิคมศึกษาก็จะไม่มีวันล้าสมัย 
 
 
แก่นแท้ของงานเขียนเชิงอาณานิคมคือความสัมพันธ์อันย้อนแย้งระหว่างการดูถูกวัฒนธรรม ประเพณี และผู้คนที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่นแดนไกล แต่เจ้าอาณานิคมเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าดินแดนแห่งนี้จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเรียนรู้และสร้างอัตลักษณ์ของชาวตะวันตก
 
 
การเหยียดหยามและยัดเยียดความเป็นอื่นให้กับท้องถิ่นแดนไกลเป็นผลพวงจากนโยบายทางการเมือง   รากฐานของลัทธิล่าอาณานิคมคือความเชื่อที่ว่าคนป่าเถื่อนด้อยพัฒนา และเป็นหน้าที่ กระทั่งภาระ ของคนขาวที่จะเข้าไปปกครองและจัดสรรการพัฒนาให้แก่พวกเขา แลกกับผลตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ
 
 
[1]  ใน สาวสองพันปี แฮคการ์ดยัดเยียดความเป็นอื่นอย่างมีระบบและเป็นลำดับขั้น   เริ่มจากคนขาวโดยเฉพาะชาวอังกฤษ ดีกว่าคนสัญชาติอื่น รวมถึงคนอาหรับและคนกริก ซึ่งแม้จะชนชาติที่ศิวิไลซ์แล้ว แต่ก็ยังด้อยกว่าคนอังกฤษ   ในคณะเดินทางของฮอลลี นอกจากตัวเขาและลูกเลี้ยง ยังมีจอบ คนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ และมาโฮเหมด ชาวอาหรับที่ติดสอยห้อยตามมาโดยบังเอิญ   มาโฮเหมดเป็นพ่อค้าทาส ขี้ขลาดตาขาว มิหนำซ้ำยังเชื่อถือโชคลาง   ก่อนจะกลายเป็นเหยื่อของมนุษย์กินคน มาโฮเหมดถูกยิงตายด้วยน้ำมือของลีโอ   แฮกการ์ดสรุปว่านี่คือ “อุบัติเหตุอันเลวร้าย แต่ก็ถือว่ามีเมตตาธรรมสุดแล้ว”   กล่าวคือถ้าคนอาหรับต้องตกเป็นเหยื่อของมนุษย์กินคน สู้ให้คนอังกฤษยิงตายด้วยเมตตาเสียยังดีกว่า 
 
 
เลวร้ายยิ่งกว่าภาพของคนอาหรับคือพวกคนป่า ซึ่งถูกนำเสนออย่างไม่มีดี บ้าเลือด เถื่อนไพร มีประเพณีที่ล้าหลัง   ข้อยกเว้นประการเดียวคือบิลลาลี ผู้อาวุโส ซึ่งฮอลลีเรียกเขาว่า “คุณพ่อ” (เหมือนกับบาทหลวงในคริสตศาสนา   การเรียกเช่นนี้แปลกแยกบิลลาลีออกจากคนป่าคนอื่น คือการใส่ “ความเป็นคนขาว” และ “คริสตศาสนิกชน” ให้กับคนป่าคนนี้)   แถมยังย้ำว่า บิลลาลี “ลึกๆ แล้วเป็นสุภาพบุรุษ”   ความดีงามประเภทเดียวที่คนป่าจะมีได้ก็คือเขาคนนั้นมีความเป็น “สุภาพบุรุษ” หรือ “คนอังกฤษ” อยู่มากน้อยเพียงใด
 
 
แม้แต่ในหมู่คนขาวด้วยกันเอง ก็ยังมีการยัดเยียดความเป็นอื่น   จอบ ผู้ติดตามฮอลลีและลีโอ ซื่อสัตว์ต่อเจ้านายและหน้าที่ แต่ “ก็เหมือนกับคนไร้การศึกษาทั่วๆ ไป ประสาทเขาไม่ค่อยแข็งแรงนัก” (หมายถึงขี้ขลาดตาขาว)   นอกจากฮอลลี ผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งสติปัญญา และลีโอ สัญลักษณ์แห่งความงามทางกายภาพ ตัวละครตัวอื่นถูกมองในแง่ลบหมด
 
 
เป้าหมายของความเป็นอื่นลำดับสุดท้ายคือสตรีเพศ   ตัวละครฮอลลีถูกปูมาตั้งแต่ต้นให้รังเกียจเพศตรงข้าม เพราะรูปร่างหน้าตาอันอัปลักษณ์ของตัวเอง   เขาไม่ยอมให้มีพยาบาลมาช่วยเลี้ยงดูลีโอ เพราะกลัวจะถูกแย่งชิงความรักไป   ตลอดทั้งเล่มแฮคการ์ดหยอดความคิดเห็นเชิงเสียดสีและเหยียดหยามเพศตรงข้ามเป็นระยะ เช่น “ถ้าเจอผู้หญิง ให้รีบหนีก่อนเลย เพราะพวกเธอเป็นปีศาจร้าย” หรือ “มันยากเหลือเกินที่ผู้หญิงจะมีเมตตากรุณา”       
 
 
สำคัญยิ่งกว่าการเหยียดหยามสตรีเพศในฐานะตัวบุคคล คือการจู่โจมสถาบันที่ยกย่องเพศหญิง ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการปกครองหรือสถาบันเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ   ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาซึ่งผู้ชายเป็นใหญ่   ในยุคล่าอาณานิคม ชาวยุโรปเดินทางไปยังท้องถิ่นแดนไกล ได้พบเห็นหลายสังคม หลายชนเผ่าที่สืบทอดตระกูลตามสายมารดา และมีลัทธิบูชาเทพเจ้าในธรรมชาติซึ่งเป็นเพศเมีย   พวกเขา “บูชา[ผู้หญิง] ให้อำนาจแก่พวกเธอ เพราะถ้าขาดพวกเธอ โลกไม่อาจดำเนินต่อไปได้   พวกเธอคือต้นกำเนิดแห่งชีวิต”
 
 
[2]   ความเชื่อตรงนี้สั่นคลอนศรัทธาในคริสตศาสนา  
 
 
วรรณกรรมยุคล่าอาณานิคมเช่น สาวสองพันปี ส่วนหนึ่งพยายามโต้ตอบแนวคิดยกย่องสตรีเพศในท้องถิ่นแดนไกล   อัสฌาผู้เป็นทั้งราชินีและเทพเจ้าของคนป่าคือเทพกำกวม บัดเดี๋ยวดี บัดเดี๋ยวร้าย “อสูรกายในร่างหญิงสาว ทั้งน่ากลัวเกรง น่าหวาดผวา แต่ก็ดึงดูดใจอย่างเหลือล้น”   นางกระทำเรื่องโหดร้ายกับสาวก ไม่ใช่เพราะความกระหายเลือด แต่ด้วยความจำเป็นเพื่อรักษาวินัยในการปกครอง   แม้จะก่อบาปไว้อเนกอนันต์ แต่ทั้งหมดก็เพื่อบูชาความรักที่มีต่อลีโอ   นางปฏิเสธพระเจ้าเพราะ “ความหวัง [ของมนุษย์] มาจากภายใน ไม่ใช่จากภายนอก”   ปรัชญาของนางใกล้เคียงกับลัทธิสุญนิยมของสังคมยุคใหม่   แอคการ์ดถึงกับเอานางไปเปรียบเทียบกับมาร์กและนักคอมมิวนิสต์หัวรุนแรง  โดยคาดการณ์ว่าถ้าอัสฌาได้ออกไปสู่โลกภายนอก นางจะก่อการ “ปฏิวัติสังคม เปลี่ยนแปลงพรหมลิขิตของมนุษยชาติ” โดยขั้นตอนแรกคือยึดอำนาจราชินีแห่งเกาะอังกฤษ
 
 
 
ถึงฝรั่งยุคล่าอาณานิคมจะดูถูกชาวตะวันออกอยู่ในที แต่พวกเขาก็จำเป็นต้องอาศัยท้องถิ่นแดนไกลเป็นกรอบทางวัฒนธรรม เพื่อนำมาสร้างอัตลักษณ์ของตนเอง   เพราะถ้าไม่เคยเห็นสังคมหรือวัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากของตัวเอง พวกเขาก็จะไม่มีวันรู้จักตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา   การผจญภัยของฮอลลีและลีโอก็คือการเดินทางเพื่อค้นหาอัตลักษณ์ของลีโอ ดังคำสั่งเสียในพินัยกรรมว่า “เจ้าต้องไป เพื่อเจ้าจะได้เรียนรู้” หรือเหมือนที่ฮอลลีกล่าวแก่บิลลาลี เมื่อชายชราถามถึงจุดประสงค์ของการเดินทาง “เรามาเพื่อค้นหาสิ่งใหม่ๆ  ข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อจะได้รู้จักสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อน”   อดีตชาติที่ลีโอค้นพบก็คืออัตลักษณ์ที่ “อยู่เหนืออำนาจของกาลเวลา” และเป็นที่สุดของการค้นหาตัวเอง[3] [4]   
 
 
ถ้าจุดประสงค์ของการเดินทางไปยังดินแดนลี้ลับคือเพื่อค้นหาความรู้ใหม่ๆ   สุดยอดของความรู้ก็ย่อมเป็นการเดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่เคยมีมนุษย์ผู้ใดย่างเหยียบมาก่อน นั่นก็คือโลกหลังความตาย   ภูมิปัญญาของอัสฌามิใช่เพียงเพราะนางมีชีวิตยาวนาน แต่เพราะป้อมปราสาทของนางสร้างอยู่บนเมืองแห่งความตายของอารยธรรมที่สูญสลาย   ความรู้ไม่มีสิ้นสุดของอัสฌาล้วนแต่เป็นความรู้ที่มาจากความตายหรือคนตาย   ความตายและความรู้อยู่ควบคู่กัน   มนุษย์สืบทอดอารยธรรมมาจากบรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว และจะส่งต่อความรู้ไปยังลูกหลานที่จะใช้ชีวิตในภายหลัง   
 
 
ท้ายสุดอัสฌาก็ไม่อาจหนีพ้นกฎแห่งความเปลี่ยนแปลง   เฉกเช่นเดียวกับนิยายเรื่อง สาวสองพันปี   ถึงแม้ในปัจจุบันมันจะกลายเป็นหนังสือขาดตลาด ไม่มีใครสนใจอ่านแล้วก็ตาม แต่ผลงานของแฮคการ์ดและครูเหลี่ยมก็เป็นแรงบันดาลใจให้นักเขียนบรมครูชาวไทยอย่างพนมเทียนผลิตนวนิยายชุด เพชรพระอุมา ขึ้นมา   รวมไปถึงวลี “สาวสองพันปี” ก็กลายเป็นคำพูดยอดนิยมติดปากคนไทยอีกด้วย   สมกับคำกล่าวของอัสฌาว่า “โลกนี้ไม่มีความตาย มีแต่สิ่งที่เรียกว่าความเปลี่ยนแปลง”  
 
 
ถ้าความตายและความเปลี่ยนแปลงคือสัจธรรม คือต้นกำเนิดของวิชา เช่นนั้นแล้วการปฏิเสธความตายก็คืออวิชา คือการปิดหูปิดตาตัวเองใช่หรือไม่
 
นั่นคือคำถามซึ่งแฮคการ์ดฝากทิ้งไว้ให้คนอ่าน พวกเราทุกคน
 
 
[1] สำหรับผู้สนใจวาทกรรมยัดเยียดความเป็นอื่นที่กรุงเทพมหานครกระทำต่อจังหวัดชายแดนโดยเฉพาะภาคใต้ ขอแนะนำให้อ่าน วาทกรรมวรรณกรรม โดยพิเชฐ แสงทอง
 
[2] นักมานุษยวิทยาหลายคนรวมทั้งฟรอยด์วิเคราะห์พัฒนาการของสังคมชนเผ่า จากดั้งเดิมสุดคือนับถือภูตผี และผู้หญิงเป็นใหญ่ จนมาเป็นสังคมศิวิไลซ์ มีความเชื่อทางศาสนา และผู้ชายเป็นใหญ่   น่าคิดเหมือนกันว่าข้อสรุปตรงนี้อาจจะมาจากอคติเรื่องเพศที่ฝังลึกอยู่ในสังคมตะวันตกก็ได้
 
[3] นึกถึงบทวิจารณ์ อวตาร ชิ้นหนึ่งที่บอกว่าสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะมองชาวแพนโดราเป็นศัตรูเหมือนอย่างพวกทหาร หรือเป็นมิตรเหมือนอย่างพระเอก ชาวพื้นเมืองก็เป็นได้แค่อุปสรรคที่ต้องกำจัดทิ้ง หรือเครื่องมือสำหรับให้คนขาวตระหนักรู้อัตลักษณ์ของตัวเองเท่านั้น
 
[4] ในทำนองเดียวกัน วรรณกรรมต้านอาณานิคมที่เขียนโดยคนในท้องถิ่นแดนไกลก็ต้องไม่ลืมความปรารถนาที่จะเป็นอย่างชาติตะวันตก ของคนตะวันออกด้วย   ไม่ใช่สักแต่ว่าย้อนศรเอาวาทกรรมความเป็นอื่นมาโต้ตอบตะวันตกเพียงอย่างเดียว มิเช่นนั้นก็จะกลายเป็นแค่วรรณกรรมชาตินิยมเท่านั้น 
 
 
ภาณุ ตรัยเวช