Shaun Tan : นักเขียนหนังสือด้วยภาพ

นักเขียนที่เขียนภาพถ่ายทอดเรื่องแทนการถ่ายทอดเรื่องราวด้วยตัวอักษร การร้อยเรื่องด้วยภาพจึงเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ปรากฏในโลกของหนังสือภาพ
สไตล์ในการทำงานของนักเขียนที่เขียนภาพถ่ายทอดเรื่อง แทนการถ่ายทอดเรื่องราวด้วยตัวอักษร การร้อยเรื่องด้วยภาพจึงเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ปรากฏในโลกของหนังสือภาพ ความมีเรื่องในภาพทำให้ผู้คนและนักอ่านหลายคนในโลกรู้จักกับ ฌอน แต็น (Shaun Tan) นักเขียนชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน ซึ่งเกิดและเติบโตในเมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย
งานหนังสือภาพหรือหนังสือภาพประกอบคำบรรยายที่เลือกเฟ้นคำสั้น จำกัดเพียงไม่กี่ประโยคของเขา แม้จะยังไม่มีการแปลหรือจัดพิมพ์เป็นภาษาไทย แต่ผลงานชิ้นสำคัญที่นานาชาติรู้จักอย่างเรื่อง The Red Tree ได้มีกลุ่มละครในประเทศไทย หยิบเอาเรื่องมาทำเป็นละครหุ่นสายและละครหุ่นเงา เป็นการทำงานร่วมกันของสองคณะ ระหว่างละครหุ่นสาย กลุ่มแกะดำดำ และละครหุ่นเงา กลุ่มพระจันทร์พเนจร
วศิน มิตรสุพรรณ กลุ่มแกะดำดำ ประทับใจหนังสือภาพและมีคำบรรยายไม่ยาวนักเรื่อง The Red Tree ส่วนบทในหนังสือนำสายตาและทำให้เราเกิดการตั้งคำถามกับตนเอง ว่าเราตามหาความฝันอะไรสักอย่างที่เราไม่รู้ว่าเรารออะไรอยู่ จึงได้แต่รอเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดผลเมื่อไหร่ และยังมีประเด็นที่ถามถึงความสวยงามแห่งชีวิตว่าอยู่ตรงไหน วศินเล่าถึงการทำงานที่นำมาจากหนังสือเล่มนี้ ว่าพวกเขาได้เริ่มทำงานละครหุ่นสายและหุ่นเงาเรื่องนี้เมื่อปลายปี 2552 ตระเวนเล่นหลายแห่งในประเทศไทย และไปจัดแสดงในสิงคโปร์เมื่อช่วงกลางปี 2553 ตอนแรกคณะตั้งใจจะใช้บทสนทนาที่มีอยู่ในหนังสือ สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่ใช้ และใช้วิธีการเล่าเรื่องตามภาพ เมื่อนำมาเล่นแบบหุ่นสาย ผู้ชมจะได้ความรู้สึกในระยะใกล้ ส่วนหุ่นเงาทำให้ผู้ชมรู้สึกไกลออกไปเหมือนมองไปสู่ที่กว้างๆ
แต็น มีผลงานหนังสือภาพสำหรับเด็กที่เคยได้รับรางวัลมาแล้วอย่างเช่น The Red Tree, The Lost Thing และThe Arrival เขาเกิดที่เฟรแมนเทิล ทางตะวันตกของออสเตรเลีย มีประสบการณ์ทำงานให้กับสตูดิโอต่างๆ ในออสเตรเลีย ล่าสุดค่ายพิกซาร์ของอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัททำภาพยนตร์แอนิเมชัน ได้ขอซื้อลิขสิทธิ์ชุดความคิดในงานของเขา เพื่อไปทำเป็นภาพยนตร์แอนิเมชัน เรื่อง Wall-E
ปี 2006 นวนิยายกราฟฟิกที่ไม่มีคำบรรยายเรื่อง The Arrival ชนะเลิศรางวัล Book of the Year ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรางวัล New South Wales Premier's Literary Awards และหนังสือเล่มเดิมยังได้รับรางวัลชนะเลิศจาก Children's Book Council of Australia ให้เป็นหนังสือภาพแห่งปี-Book of the Year เมื่อปี 2007
แต็นสั่งสมประสบการณ์และทักษะการวาดภาพมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขาเหมือนกับเด็กอีกหลายคนที่ชอบวาดตัวไดโนเสาร์ หุ่นยนต์ สัตว์ประหลาด และเรืออวกาศ ที่โรงเรียนใครต่อใครก็รู้ว่าเขาเป็นนักวาดภาพฝีมือดี ตอนอายุ 11 ปี ได้ชมซีรีส์แฟนตาซีทางโทรทัศน์ชุด The Twilight Zone และยังชอบอ่านหนังสือซีรีส์นี้ เรื่องราวต่างๆ ทำให้มีแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องสั้นของตนเอง ด้วยความพยายามในตอนวัยหนุ่มที่อยากเขียนสิ่งที่คิด เขาจึงได้รับจดหมายตอบปฏิเสธไม่รับผลงานหลายฉบับ เป็นกิตติกรรมประกาศให้กับตนเอง ในความพยายามนั้น อย่างไรก็ตาม ในที่สุด เขาก็บรรลุฝันในการเป็นนักวาดภาพตอนอายุ 16 ปี มีผลงานตีพิมพ์ในนิตยสาร Aurealis ของออสเตรเลีย เมื่อปี 1990
ก่อนหน้าจะประสบความสำเร็จในการเป็นนักวาดภาพ แต็นเกือบจะได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ เขามีความสุขกับการเรียนวิชาเคมี ฟิสิกส์ ประวัติศาสตร์ และภาษาอังกฤษ แม้ตอนเรียนในระดับมัธยมจะมีความสามารถทางด้านศิลปะ แต่เอาเข้าจริงก็ยังไม่รู้ว่าตนเองอยากทำอะไร และแม้จะอยู่มหาวิทยาลัย กลับรู้สึกว่าชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยซ้ำซากน่าเบื่อ เขาจึงตัดสินใจหยุดเรียนกลางคันและออกไปเป็นศิลปิน-จิตรกรเต็มตัว
เมื่อการวาดภาพเป็นสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข แต็นจึงตัดสินใจเลือกทำอาชีพนี้และหาเลี้ยงปากท้องตนเองด้วยการวาดภาพเพื่อเป็นหนังสือภาพ จุดเปลี่ยนตรงนี้ทำให้รู้ ว่าการวาดภาพเป็นสิ่งที่ทำได้ดีกว่าอย่างอื่น และมีประสบการณ์ในการวาดภาพประกอบหนังสือมาเพียงน้อยนิดจากการที่เคยเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมบัลคัตตา แต่การศึกษาศิลปะในการทำงานจริงๆ นั้น เขาไม่ได้นั่งเรียนอย่างเอาเป็นเอาตายในห้องเรียนกับครูสอนศิลปะ แต่เลือกออกไปศึกษาประสบการณ์จริงกับจิตรกรหรือศิลปิน การที่แต็นเลือกศึกษาศิลปะในระบบก็เพื่อต้องการใบประกาศไปเบิกทางในการทำงานเท่านั้น สำหรับทักษะหลายอย่างนั้น เป็นการศึกษาที่เขาออกไปแสวงหาจากการเรียนรู้นอกระบบ ต่อมาได้ไปศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยด้านศิลปศาสตร์ วรรณกรรมและประวัติศาสตร์จาก University of Western Australia และสำเร็จปริญญาตรีในปี 1995
แต็น นิยามการทำงานวาดภาพว่าสำหรับเขาแล้ว ไม่ใช่การถ่ายทอดสิ่งที่เห็น หรือจำลองภาพออกมา แต่มันคือการทำงานกับสิ่งที่ปะทะอยู่ตรงหน้า แล้วถ่ายทอดสิ่งที่เห็นออกมาให้มีความเทียบเท่าเสมอกัน ช่วงแรกงานภาพของเขาเป็นภาพขาว-ดำ ใช้ปากกา ดินสอ หมึก อะคริลิก ถ่าน สแครปเปอร์บอร์ด ภาพพิมพ์ และการถ่ายเอกสาร ตอนนี้เขาชอบวาดภาพแบบสีเดียว โดยใช้ดินสอสเก็ตช์ภาพต้นแบบ จากนั้นก็สามารถนำเอามาประยุกต์ทำตัวชิ้นงานได้หลากหลาย บางครั้งก็ใช้กรรไกรในการทำงาน เพื่อตัดแก้ว เหล็ก กระดาษ และแมลงที่ตายแล้ว
เขายอมรับว่าเป็นคนที่ทำงานช้า แก้งานแล้วแก้งานอีก เรื่องที่ถ่ายทอดออกมาในภาพวาด ส่วนมากเป็นเรื่องของความผิดหวัง สูญเสีย และการเป็นคนที่แปลกแยกในสังคม เขาเชื่อว่าเด็กๆ ที่ได้อ่านจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เขาจึงรู้สึกเสมอว่าตนเองเป็น "ผู้ถ่ายทอด" ผลงานของเขาได้ถูกนำไปประยุกต์ในหลากหลายรูปแบบชิ้นงาน เช่น ประยุกต์เพื่อใช้ในการจัดแสดงออร์เคสตรา ภาพยนตร์สั้นประเภทแอนิเมชันที่สร้างจากงานเขียนเรื่อง The Lost Thing แต็นร่วมอยู่ในคณะทำงานชุดนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นการซื้อลิขสิทธิ์เรื่องไปทำโดยคณะทำงานจากอังกฤษ แต่โซฟี เบอร์น โปรดิวเซอร์ของแอนิเมชันเรื่องนี้ ได้เชิญให้เขาทำงานอยู่ในคณะสตอรี่บอร์ด ดีไซเนอร์และในฐานะผู้กำกับ ตอนนั้นเขามีประสบการณ์ไม่มากด้านการทำภาพยนตร์และการกำกับ พอมีโอกาสได้เข้าทำงานตรงนี้เต็มตัว เขาจึงเริ่มศึกษางานด้านนี้ทันที
"ส่วนใหญ่ผมเรียนรู้หาประสบการณ์ทำหนังจากกลุ่มคนทำหนังกลุ่มเล็กๆ ในเมลเบอร์น ภาพยนตร์สั้นเรื่องนี้ความยาว 15 นาที และทำเสร็จเมื่อปี 2009"
ส่วนการทำงานที่ทำออกมา แต็นจะแยกออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นภาพสเก็ตช์และภาพระบายสีจากชีวิต เพื่อถ่ายทอดสิ่งที่พบเจอรอบตัว ส่วนอีกส่วนเป็นงานที่สำรวจลงลึกในจินตนาการ ซึ่งไม่ใช่การถ่ายทอดสิ่งที่ตาเห็น แต่เป็นจินตนาการที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจ อารมณ์และความรู้สึก เป็นเหมือนกับประสบการณ์ชีวิตที่คล้ายกับความฝัน การทำงานในรูปแบบหลัง จะเห็นได้ในหนังสือภาพที่เป็นนวนิยายน่าตื่นตาตื่นใจ ถึงแม้แต็นจะขึ้นชื่อว่าทำงานเขียนสำหรับเด็ก แต่อันที่จริงแล้ว เขาทำหนังสือออกมาเพื่อคนกับคนทุกเพศทุกวัย ไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าต้องเหมาะกับคนอายุเท่าไหร่
หนังสือภาพหลายเล่มที่มีอิทธิพลต่อแต็นอีกเล่มคือ Where the Wild Things Are ของ Maurice Sendak เขาไม่เพียงสนใจแต่หนังสือภาพ หนังสืออ่านทั่วไปที่ส่งผลต่อความคิดได้แก่บทกวีชุด The Headless Horseman Rides Tonight ของ Jack Prelutsky และ Arnold Lobel เขาและพี่ชายชอบเรื่อง Animal Farm ซึ่งได้อ่านเรื่องนี้ในวัยเด็ก โดยที่แม่ของเขาหารู้ไม่ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นการเสียดสีการเมือง หนังสือเล่มนี้ทำให้ได้สั่งสมและระลึกอยู่เสมอ ว่านี่คือหนังสือที่ดีที่สุดเล่มหนึ่ง และเมื่อได้มาอ่านเรื่องสั้นหลายเรื่องที่เขียนโดย Ray Bradbury นักเขียนผู้นี้ได้จุดประกายและทำให้เขาอยากเขียนหนังสืออย่างเป็นล่ำเป็นสัน ตอนอายุได้ประมาณ 11-12 ปี
The Arrival นวนิยายกราฟฟิกไม่มีคำบรรยาย ใช้เวลาในการเขียนทั้งหมด 5 ปี พิมพ์ในสหรัฐและกลายเป็นหนังสือขายดี ติดหนึ่งในสิบหนังสือขายดีของ The New York Times และได้รับรางวัลคอมมิคจากฝรั่งเศส
ส่วนงานเรื่อง The Rabbits เป็นหนังสือภาพขนาดเล็กที่ทำขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญ และการก้าวแรกในเส้นทางนักเขียนหนังสือด้วยภาพของ ฌอน แต็น
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก http://www.bangkokbiznews.com