Sebastian Barry นักเขียนไอริชผู้พิชิต Costa Book of the Year 2008

พบที่สุดหนังสือแห่งปีของ Costa Book of the Year 2008 โดยคัดเลือกจากผลงานทั้ง 5 เล่มที่ชนะเลิศในแต่ละสาขา
ช่วงต้นเดือนมกราคม 2552 Costa Book Awards ประกาศผลงานเขียนที่ได้รับรางวัลทั้ง 5 สาขาดังนี้ Somewhere Towards The End งานเขียนของ ไดอาน่า อธิลล์ (Diana Athill) ได้รับ Costa Book Awards ประเภทชีวประวัติ The Outcast เขียนโดย ซาดี้ โจนส์ (Sadie Jones) ประเภทงานเขียนนวนิยายเล่มแรก The Broken Word ของ อดัม โฟลด์ (Adam Fould) ประเภทกวีนิพนธ์ Just Henry ผลงานของไมเคิล แมโกเรี้ยน (Michelle Magorian) ประเภทหนังสือสำหรับเด็ก และ The Secret Scripture นวนิยายผลงานของ เซบาสเตียน แบร์รี่ (Sebastian Barry) พิชิตสาขานวนิยายไปครอง
หลังการประกาศผลนักเขียนซึ่งได้รับรางวัลแต่ละสาขาไปแล้ว คณะกรรมการตัดสิน Costa Book Awards ต้องมานั่งทำหน้าที่กันอีกครั้งหนึ่งเพื่อคัดเลือกที่สุดหนังสือแห่งปีของ Costa Book of the Year 2008 โดยคัดเลือกจากผลงานทั้ง 5 เล่มที่ชนะเลิศในแต่ละสาขา
ไดอาน่า อธิลล์ ภูมิอกภูมิใจและเป็นเกียรติอย่างมากกับเงินรางวัล 5,000 ปอนด์ ในฐานะที่งานเขียนของเธอได้รับ Costa Book Awards 2008 ประเภทชีวประวัติ และยังกลายเป็นตัวเต็งที่จะได้รับ Costa Book of the Year 2008 เมื่อใกล้วันประกาศผลเข้ามา ตัวเต็งที่กลายเป็นคู่แข่งที่สูสีกันที่สุดกลับเป็น อดัม โฟลด์ และเซบาสเตียน แบร์รี่ และแล้วที่สุดของ Costa Book of the Year 2008 และเงินจำนวน 25,000 ปอนด์ ก็ตกเป็นของแบร์รี่ เจ้าของผลงานนวนิยายเรื่อง The Secret Scripture
เซบาสเตียน แบร์รี่ นักเขียน กวี และนักเขียนบทละคร (บางครั้งก็เป็นนักร้องด้วยอีกบทบาทหนึ่ง) ชาวไอริชวัย 53 ปี เกิดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 1955 ที่ดับลิน สำเร็จการศึกษาจากทรินิตี้คอลเลจ กรุงดับลิน มีผลงานโดดเด่นทั้งนวนิยาย กวีนิพนธ์ และบทละครเวที โดยเฉพาะฝีมือการเขียนบทละครมีความโดดเด่นและจัดแสดงจนได้รับรางวัลมากมาย อาทิ บทละครเวทีเรื่อง Boss Grady's Boys (1990), The Steward of Christendom (1995) และOur Lady of Sligo (1998) ต่างกวาดรางวัลบทละครเวทียอดเยี่ยมติดไม้ติดมือมาด้วย ส่วนนวนิยาย เรื่องสั้นและบทกวีอีกหลายเล่มต่างมีรางวัลห้อยท้ายเช่นกัน
นักเขียนไอริชผู้นี้ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะกลายเป็นผู้พิชิตรางวัล แถมยังพูดติดตลกอีกว่า "ผมควรจะเป็นผู้แพ้ครั้งที่สามในเวทีวรรณกรรมของอังกฤษ" ก่อนหน้านี้แบร์รี่พลาดท่าหลายหนบนเวทีวรรณกรรมสำคัญของอังกฤษ ครั้งแรกเมื่อปี 2005 (พ.ศ. 2548) ผลงานนวนิยายเรื่อง A Long, Long Way เข้าชิงรางวัลบุ๊คเกอร์ สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวและบุ๊คเกอร์ปีนั้นตกเป็นของ จอห์น แบนวิลล์ (John Banville) เจ้าของผลงานนวนิยายเรื่อง The Sea และตุลาคมปีที่ผ่านมา แบร์รี่พลาดรางวัลบุ๊คเกอร์เป็นคำรบที่สองให้กับม้ามืดนักเขียนอินเดียอย่าง อราวินด์ อดิกา (Aravind Adiga) ครั้งนี้เขาจึงไม่หวังสักนิดว่าจะได้เป็นที่สุดแห่งปีของ Costa Book of the Year 2008
แมธิว แพร์ริส (Mathew Parris) คอลัมนิสต์และประธานคณะกรรมการตัดสินรางวัลให้สัมภาษณ์ว่า "คณะกรรมการมีมติเป็นเอกฉันท์มอบ Costa Book of the Year 2008 ให้กับแบร์รี่ ถึงแม้ว่านวนิยายเรื่องนี้จบแบบไม่ได้ดั่งใจกรรมการ แบร์รี่ทำให้มันจบทั้งๆ ที่คนอ่านรู้สึกว่ามันยังไม่น่าจะจบ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการมีความเห็นร่วมกันว่า แม้นวนิยายจะมีตำหนิอยู่บ้างในตอนจบของเรื่อง หากมองในด้านความเป็นวรรณกรรมแล้ว นวนิยายเรื่องนี้นับว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงของแวดวงวรรณกรรมอีกชิ้นหนึ่ง"
แบร์รี่เลือกให้ตัวเอกของ The Secret Scripture เป็นหญิงชราวัยเกือบ 100 ปี ให้เป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวของเธอ และในชีวิตของหญิงชราวัยเกือบหนึ่งศตวรรษ มีเรื่องราวมากมายผ่านเข้ามา แกนหลักสำคัญของนวนิยายเรื่องนี้คือ กลเม็ดที่แบร์รี่เลือกที่จะให้หญิงชราท่านนี้ บอกเล่าประวัติศาสตร์ของไอร์แลนด์ผ่านทางนวนิยาย ทั้งเรื่องสงครามกลางเมือง การก่อร่างสร้างประเทศ ความไม่ชอบมาพากลของโบสถ์คาทอลิก ความบัดซบของสถานดูแลคนสูงอายุในไอร์แลนด์ รวมถึงการข่มขืน ฆาตกรรม ฆ่าตัวตาย และการทรยศหักหลัง หากนักอ่านท่านใดเคยอ่าน Angela's Ashes ของแฟรงค์ แมคคอร์ท (Frank McCourt) ซึ่งนำเสนอเรื่องราวของชนชั้นล่างในไอร์แลนด์ สภาพความแร้นแค้นยากจน การดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตอยู่ (งานเขียนเล่มนี้ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์) ก็ควรจะอ่าน The Secret Scripture ของแบร์รี่ควบคู่กันไปด้วย เพราะเป็นเรื่องราวที่ย้อนไปเกือบ 100 อายุขัยของหญิงชราท่านหนึ่ง
"The Secret Scripture ได้รับการจุดประกายเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ขณะที่ผมและแม่กำลังขับรถผ่านเมืองสลิโก้ แล้วแม่ก็ชี้ไปที่กระท่อมหลังหนึ่ง บอกผมว่าภรรยาของลุงเคยอยู่ที่นั่น ก่อนที่ครอบครัวจะส่งเธอไปอยู่ที่บำบัดจิต คุณป้าไม่รับรู้อะไร เธอรับรู้เพียงอย่างเดียวคือเธอสวย" แบร์รี่ยอมรับว่าเขาปล้นเรื่องภายในครอบครัวมาเขียนนวนิยาย บางตอนในนวนิยายเป็นเรื่องสัมพันธภาพที่กะพร่องกะแพร่งระหว่างเขากับแม่บังเกิดเกล้า
ส่วนอีกเหตุผลที่ทำให้เขาอยากเขียนนวนิยายในลักษณะบอกเล่าประวัติศาสตร์ของไอร์แลนด์ เนื่องจากเอเยนซีหลายแห่งพยายามโน้มน้าวให้เขาเขียนงานตามใบสั่ง โดยบอกว่า "เขียนทำไมกันเรื่องเกี่ยวกับไอร์แลนด์น่ะ ไม่มีคนเขาอยากรู้หรอก ถ้าอยากให้หนังสือขายได้ ติดตลาด และมีชื่อเสียง ต้องเขียนอะไรที่เกี่ยวกับประเทศอังกฤษสิ ไม่มีตลาดสำหรับงานเขียนที่เกี่ยวกับไอร์แลนด์หรอก" สิ่งนี้สร้างแรงบันดาลใจให้เขายิ่งกระหายอยากเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับมาตุภูมิของตัวเอง
"ผมไม่เชื่อคำแนะนำของเอเย่นต์คนนั้นหรอก เปรียบไปก็เหมือนกับการตกปลาแซลมอนไงคุณ มันไม่ง่ายเลย ไม่ว่าคุณจะตกหนังสือไอริช หรือว่าจะตกหนังสืออังกฤษ ผมก็ไม่สันทัดในการตกหนังสืออังกฤษเสียด้วยสิ"
เซบาสเตียน แบร์รี่ กล่าวติดตลกทิ้งท้าย สมกับสมญานามที่นักข่าวและสื่อมวลชนต่างมอบให้เขาเป็นนักเขียนที่อัธยาศัยดีและน่าสัมภาษณ์พูดคุยด้วยที่สุดของแวดวงวรรณกรรม
The Secret Scripture หนังสือแห่งปีของรางวัลคอสต้ามีนัยซ่อนเร้นทางการเมืองระหว่างไอร์แลนด์และอังกฤษ เป็นการเปิดโลกที่เชื่อมต่อกันระหว่างวรรณกรรมและประวัติศาสตร์เข้าไว้ด้วยกัน
ที่สำคัญ ต้องไปค้นให้พบว่าทำไมแบร์รี่ ถึงเลือกให้ฮีโร่ในเรื่องนี้เป็นหญิงชราวัยเกือบศตวรรษ???
โดย : นงค์ลักษณ์ เหล่าวอ nonglakspace@gmail.com
Life Style : Read & Write
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2552
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ