Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

Sanjit Bunker Roy ผู้พลิกตำราการศึกษาด้วย “วิทยาลัยเท้าเปล่า”

 

 
การมอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี พ.ศ. 2549 ให้กับ โมฮัมหมัด ยูนุส (Mohammad Yunus) บิดาแห่งแนวคิดไมโครเครดิต และธนาคารกรามีน (Grameen Bank) ธนาคารเพื่อคนจนแห่งแรกของโลก นับเป็นการเปิดมิติใหม่ของรางวัลโนเบล ด้วยการขยายขอบเขตของรางวัลโนเบลออกจากผู้เสียสละที่ต่อต้านสงครามโดยตรง ไปยังผู้เสียสละที่ช่วยสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นทางอ้อม ดังแถลงการณ์ของคณะกรรมการโนเบลที่ว่า "สันติภาพที่ยั่งยืนไม่สามารถเกิดขึ้นได้ จนกว่าประชากรโลกจำนวนมากจะหาวิธีหลุดพ้นจากความยากจนอย่างถาวร"
 
การมอบรางวัลโนเบลให้กับยูนุส ยังเป็นการตอกย้ำว่า คนจนมี "ศักยภาพ" พอที่จะเป็นลูกค้าที่ดีของธนาคาร และช่วยเหลือตัวเองให้หายจนได้ ขอเพียงสังคมเลิกดูถูกพวกเขาว่า "โง่" แต่หันมามอบ "โอกาส" ให้กับพวกเขาในการใช้และพัฒนาศักยภาพของตัวเองอย่างเต็มที่
 
ในขณะที่ยูนุสและเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในธนาคารไมโครเครดิตทั่วโลก กำลังมอบโอกาสให้กับคนจน ด้วยการให้พวกเขากู้เงินในระบบ และสอนวินัยในการใช้เงินและบริหารเงินไปในตัวนั้น ห่างออกไปไม่ไกลจากธนาคารกรามีนของยูนุสในบังคลาเทศ ในราชัฏสถาน หนึ่งในมลรัฐที่ยากจนข้นแค้นที่สุดของอินเดีย สันติ์จิต บังเคอร์ รอย (Sanjit Bunker Roy) ก็กำลังมอบโอกาสให้กับผู้ยากไร้กว่า 125,000 ชีวิต ด้วยการมอบความรู้ที่พวกเขานำไปใช้ปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ได้ ภายในวิทยาลัยที่สร้างโดยคนจน บริหารโดยคนจน และมีนโยบายไม่รับคนที่จบปริญญาแล้วเข้าเรียน
 
ธนาคารกรามีนของยูนุสกำลังทำลายอคติของคนทั่วไปที่ว่า คนจนไม่มีวันเป็นลูกหนี้ที่ดีได้ ฉันใด
 
"วิทยาลัยเท้าเปล่า" (Barefoot College) ของรอย ก็กำลังทำลายอคติของคนทั่วไปอีกข้อหนึ่ง ที่อาจจะฝังรากลึกกว่าด้วยซ้ำว่า คนจนที่ไม่รู้หนังสือไม่มีวันจะเรียนรู้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ ฉันนั้น
 
……
 
ผมไม่เคยยอมให้การไปโรงเรียน มารบกวนการศึกษาของผม (I have never let my schooling interfere with my education). – มาร์ค ทเวน
 
รอยเกิดในตระกูลร่ำรวยในเมืองกัลกัตตา พ่อของเขาเป็นวิศวกรช่างกล แม่เป็นผู้แทนการค้าของอินเดียประจำประเทศรัสเซีย รอยถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมมาตั้งแต่เด็ก จนจบปริญญาด้านวรรณกรรมอังกฤษจากวิทยาลัยเซนต์สตีเฟน (St. Stephen’s College) ในกรุงเดลี หนึ่งในสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศ ในปี พ.ศ. 2510 เมื่ออินเดียเผชิญกับวิกฤตข้าวยากหมากแพงอย่างรุนแรง รอยตัดสินใจลาออกจากงานประจำเงินเดือนดีที่ธนาคารกรินด์เลย์ส์ (Grindlays Bank) ด้วยอายุเพียง 22 ปี โยนสูทและทักซิโด้ทั้งหมดทิ้ง แล้วเดินทางไปอาศัยอยู่กับชาวบ้านในติโลเนีย หนึ่งในหมู่บ้านที่ยากจนที่สุดในมลรัฐราชัฏสถาน เพื่อหาวิธีช่วยเหลือพวกเขา
 
การตัดสินใจครั้งนั้นของรอยนับว่ากล้าหาญและแหวกแนวมาก เพราะค่านิยมที่การศึกษาในระบบของอินเดียปลูกฝังบัณฑิตคือ การหวนกลับไปหมู่บ้านเป็นการแสดงออกซึ่งความล้มเหลว คนที่หางานทำในเมืองต่างหากจึงจะถือว่าประสบความสำเร็จ
 
ค่านิยมนี้ไม่ต่างจากค่านิยมที่การศึกษาในระบบของไทยปลูกฝังนักเรียนเท่าไหร่
 
รอยบอกว่า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาไม่เคยใส่สูทผูกเนคไทอีกเลย และวันแรกที่เขานอนในหมู่บ้านภายใต้ดวงดาวพราวพราย พูดคุยกับชาวบ้านคนแล้วคนเล่าที่อยู่ได้ด้วยเงินต่ำกว่า 40 บาทต่อวันมาเล่าปัญหาชีวิตให้ฟัง คือวันที่การศึกษาของเขาเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง
 
ห้าปีต่อมา ในปี พ.ศ. 2515 รอยก่อตั้ง "วิทยาลัยเท้าเปล่า" (Barefoot College) ขึ้นในหมู่บ้านติโลเนีย ด้วยความตั้งใจตั้งแต่แรกว่าจะให้สถานศึกษาแห่งนี้เป็น "วิทยาลัยสำหรับคนจน" เท่านั้น สอนเฉพาะในสิ่งที่จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้น เช่น วิธีหาน้ำดื่มที่สะอาด มีไฟฟ้าใช้ในบ้าน ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน และรู้วิธีรักษาพยาบาลตัวเอง
 
รอยบอกว่า เป้าหมายแรกของวิทยาลัยเท้าเปล่าคือ ให้คนเลิกสนใจในปริญญาบัตร วิทยาลัยแห่งนี้ไม่รับคนจบปริญญาเข้าเรียน เพราะไม่ถือว่าทักษะในการอ่านและเขียนเป็นเรื่องสำคัญ ทักษะในการเอาชีวิตรอดและความรู้เกี่ยวกับคนจนในชนบทสำคัญกว่า ดังนั้น วิทยาลัยเท้าเปล่าจึงรับเฉพาะคนจนที่เรียนไม่จบหรือถูกไล่ออกจากโรงเรียน ตกงาน เป็นเด็กเกเร หรือถูกสังคมทอดทิ้ง ค่านิยมที่ว่าคนที่กลับไปหมู่บ้านแทนที่จะอยู่เมืองคือคนที่ล้มเหลวเท่านั้น เป็นเครื่องรับรองอย่างดีว่านักเรียนรุ่นแรกของวิทยาลัยเท้าเปล่านั้น ล้วนเป็นคน "เหลือขอ" ในสายตาของสังคม
 
รอยบอกว่า ประโยชน์ข้อเดียวของปริญญาที่เขามีคือเอาไว้เขียนบทความเผ็ดร้อนส่งไปลงหนังสือพิมพ์เท่านั้น
 
รอยก่อตั้งวิทยาลัยเท้าเปล่าขึ้นด้วยความเชื่อมั่นว่า การรู้หนังสือ ซึ่งเป็นเครื่องบ่งบอกระดับสติปัญญาข้อหนึ่งในความคิดของคนทั่วไป ไม่เป็นอุปสรรคแต่ประการใดในการเรียนรู้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ซับซ้อนที่สุด เขาบอกว่า ทุกคนที่ไม่เคยไปโรงเรียนมาก่อนสามารถเรียนรู้ที่จะเป็นหมอ ครู สถาปนิก วิศวกร และผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีแบบนำไปปฏิบัติได้จริงภายใน 6 เดือน ขอเพียงแต่พวกเขาเชื่อมั่นในตัวเองเท่านั้น
 
วิทยาลัยเท้าเปล่าคือบทพิสูจน์อันยิ่งใหญ่ในความเชื่อมั่นข้อนี้ของรอย
 
ปัจจุบัน วิทยาลัยเท้าเปล่าเป็นสถานศึกษาแห่งเดียวในอินเดียที่ใช้ไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ตลอดทั้งบริเวณ อาคารและสิ่งปลูกสร้างทุกชนิดในบริเวณกว่า 192 ไร่ ถูกออกแบบและก่อสร้างด้วยน้ำมือของชาวบ้านที่ไม่รู้หนังสือและไม่เคยไปโรงเรียนมาก่อน โดยใช้วัสดุที่หาได้ในท้องถิ่นแทบทั้งหมด วิทยาลัยแห่งนี้มีสายใยแก้วนำแสง (fiber optic) อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ และเครื่องมือสำหรับการประชุมทางไกลด้วยภาพและเสียง (video conference) อาคารทุกหลังและอุปกรณ์ทุกชนิดบริหารและบำรุงรักษาโดยกลุ่มคนที่ทั้งเขียนไม่ได้และอ่านไม่ออก
 
วิทยาลัยเท้าเปล่าสอนแต่ทักษะพื้นฐานที่ช่วยให้คนจนมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น โดยใช้ "เทคโนโลยีที่เหมาะสม" ที่มีต้นทุนต่ำ ผู้ไม่รู้หนังสือสามารถสร้างและบำรุงรักษาได้เอง ตัวอย่างหลักสูตรของวิทยาลัยเช่น การสร้างปั๊มน้ำ การเก็บและกรองน้ำฝน การติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ สุขอนามัยและการรักษาพยาบาลเบื้องต้น หัตถกรรมในครัวเรือน โรงเรียนภาคค่ำ การสร้างที่อยู่อาศัย ฯลฯ หลักสูตรส่วนใหญ่ใช้เวลาสอน 6 เดือน
 
ตั้งแต่ปีที่เริ่มก่อตั้งจวบจนปัจจุบัน (ธันวาคม 2549) วิทยาลัยเท้าได้ส่ง "วิศวกรเท้าเปล่า" กว่า 750 คนไปยังหมู่บ้านห่างไกลกว่า 110 แห่ง ใน 13 มลรัฐทั่วทั้งอินเดีย เพื่อใช้ทักษะที่ได้ร่ำเรียนมาในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของเพื่อนร่วมชะตากรรม ช่วยให้ผู้ยากไร้กว่า 125,000 คน ได้เข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาด การศึกษา สุขอนามัย และมีงานทำ วิศวกรเท้าเปล่าของวิทยาลัยเดินทางไปติดตั้งระบบจ่ายไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ให้กับหมู่บ้านหลายพันครัวเรือนใน 8 มลรัฐของอินเดีย และไปติดตั้งปั๊มน้ำพลังมือไกลถึงในเทือกเขาหิมาลัย สถานที่กันดารซึ่งวิศวกรคนเมืองผู้เชี่ยวชาญเคยประกาศว่าไม่มีทางติดตั้งปั๊มน้ำได้ ในขณะเดียวกัน "ครูเท้าเปล่า" จากวิทยาลัย ก็ได้ใช้เทคนิคการสอนแบบบันเทิงและเข้าใจง่ายที่ร่ำเรียนมาจากวิทยาลัย เช่น แสดงละครหุ่นมือประกอบ สอนชุมชนหลายสิบแห่งจนสามารถเปลี่ยนทัศนคติดั้งเดิมที่พวกเขาเคยมี ในประเด็นสำคัญๆ เช่น การแต่งงานแบบคลุมถุงชน สิทธิสตรี และความสำคัญของการศึกษาเด็ก
 
……
 
หนึ่งในโครงการของวิทยาลัยเท้าเปล่าที่สะท้อนพลังของความคิดสร้างสรรค์ และศักยภาพของคนจนผู้ไม่รู้หนังสือในการช่วยตัวเองได้ดีที่สุดคือ โครงการโรงเรียนภาคค่ำ ซึ่งสอนหนังสือยามค่ำให้กับเด็กวัยเรียนกว่า 4,000 คน ในโรงเรียนภาคค่ำกว่า 150 แห่ง โดย "บุคลากรครู" ส่วนใหญ่ก็คือชาวบ้านในท้องถิ่นนั้นเอง ที่น้อยคนจะมีการศึกษามากกว่า 8 ปี (เทียบเท่าชั้น ม. 2) ครูโรงเรียนภาคค่ำสอนหนังสือเด็กเป็นอาชีพเสริม นอกเหนือจากงานประจำเช่น เป็นชาวนา ตำรวจ ข้าราชการชั้นผู้น้อย ฯลฯ
 
โครงการนี้เกิดขึ้นหลังจากรอยเล็งเห็นข้อเท็จจริงที่ว่า สาเหตุที่เด็กกว่าร้อยละ 70 ในอินเดียไม่ไปโรงเรียนนั้นไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขาโง่ ขี้เกียจ หรือไม่อยากเรียน แต่เป็นเพราะพวกเขาต้องช่วยพ่อแม่ทำงานในเวลากลางวัน ดังนั้น โรงเรียนภาคค่ำจึงถูกออกแบบมาให้ตรงต่อความต้องการของนักเรียน ไม่ใช่ของครูผู้สอน การสอนทักษะช่วยชุมชน เช่น วิธีการสร้างปั๊มน้ำและถังเก็บน้ำฝน ให้เด็กๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย เท่ากับเป็นการประกันว่าพวกเขาจะสามารถช่วยเหลือชุมชนได้แน่ๆ เมื่อโตขึ้น
 
โรงเรียนภาคค่ำไม่บังคับให้เด็กไปโรงเรียน การเรียนการสอนตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อใจระหว่างนักเรียนกับครูเป็นหลัก ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้นคือ ผู้บริหารโรงเรียนภาคค่ำทั้ง 150 แห่ง ไม่ใช่รอยหรือผู้ใหญ่คนอื่น หากเป็น "สภาเด็ก" (children’s parliament) ที่ประกอบด้วยตัวแทนเด็กนักเรียนอายุระหว่าง 10-14 ปี นายกสภาทั้งสามคนที่ผ่านมาที่ได้รับการเลือกตั้งจากเพื่อนนักเรียนล้วนเป็นผู้หญิง สภาเด็กรับผิดชอบภาระทุกอย่างในการบริหารโรงเรียนภาคค่ำ ตั้งแต่การวางหลักสูตร จ้างและจ่ายเงินเดือนครู ซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอน ฯลฯ นับเป็นวิธีมอบอำนาจให้เด็กจัดการชีวิตของพวกเขาเองที่ทรงพลัง และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
 
นอกจากให้เด็กบริหารโรงเรียนของพวกเขาเองแล้ว รอยยังใช้หลักการเดียวกันนี้กับวิทยาลัยเท้าเปล่าด้วย วิทยาลัยนี้ใช้โครงสร้างการบริหารจัดการแบบแนวราบและกระจายอำนาจ ชาวบ้านจากหมู่บ้านต่างๆ ในบริเวณวิทยาลัยมีสภาหมู่บ้าน ในสัปดาห์แรกของทุกเดือน สภาหมู่บ้านซึ่งมีตัวแทนมาจากการเลือกตั้งจะประชุมกันเพื่อประเมินผลโครงการต่างๆ ของเดือนที่แล้ว และวางแผนการทำงานสำหรับเดือนปัจจุบัน เช่น จะสร้างโรงเรียนภาคค่ำหรือระบบเก็บน้ำฝนอีกที่ไหนดี การกระทำทุกอย่างของสภาหมู่บ้านใช้กระบวนการตัดสินใจที่เป็นประชาธิปไตย และเป็นไปอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้ สภาหมู่บ้านเปิดเผยต้นทุนและราคาของโครงการทุกอย่างให้ทุกคนในชุมชนรับรู้ และให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการประเมินผลโครงการ
 
โรงเรียนภาคค่ำและการให้เด็กนักเรียนเป็นผู้บริหารโครงการนี้เอง เป็นเครื่องตอกย้ำความเชื่อมั่นของรอย ว่าวิธีที่ดีที่สุดในการพัฒนาชนบท คือการมอบความรู้และทรัพยากรให้กับคนจนโดยตรง ให้เขามีโอกาสช่วยตัวเอง แทนที่จะรอความช่วยเหลือจากรัฐ รอยเชื่อว่า การยกความรับผิดชอบในการให้การศึกษาขั้นพื้นฐานบางส่วนออกจากมือของรัฐ แบบเดียวกับที่เขาทำในการสร้างโรงเรียนภาคค่ำ จะช่วยบรรลุเป้าหมายของรัฐที่จะให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน อย่างเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพกว่าเดิม
 
ปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญของวิทยาลัยภาคค่ำ 3 ประการ คือ การสนับสนุนให้ชาวบ้านใช้ "เทคโนโลยีที่เหมาะสม" การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการ และการใช้หลัก "ความพอเพียง" ด้วยการควบคุมทั้งค่าใช้จ่ายไม่ให้สูงเกินไปจนวิทยาลัยต้องขาดทุน และด้านรายได้ไม่ให้สูงจนเสี่ยงต่อการที่จิตสำนึกในการช่วยเหลือสังคมจะถูกบิดเบือนไปเป็นผลประโยชน์ทางพาณิชย์ล้วนๆ
 
พนักงานและลูกจ้างของวิทยาลัยเท้าเปล่าทุกคนรับเงินเดือนไม่เกิน 4,000 บาท (รอยเองรับเงินเดือนประมาณ 3,080 บาท) พิจารณาปรับขึ้นได้ทุกๆ 2 ปี เกณฑ์ในการปรับเงินเดือนใช้ตัววัดจากการประเมินผลของสาธารณะ รวมทั้งนักเรียนของวิทยาลัยด้วย เงินเดือนของบุคลากรทุกคนเป็นข้อมูลสาธารณะ วิทยาลัยเท้าเปล่าอยู่ได้ด้วยรายได้ปีละประมาณ 80 ล้านบาท ในจำนวนนี้ประมาณร้อยละ 40 มาจากเงินอุดหนุนของรัฐราชัฏสถาน ร้อยละ 40 จากเงินบริจาคของเอ็นจีโอนานาชาติ และที่เหลืออีกร้อยละ 20 มาจากรายได้ของตัวเอง
 
รอยเชื่อว่าการมีเงิน "มากเกินไป" จะทำลายจิตสำนึกทางสังคมขององค์กรพัฒนาเอกชน แม้ว่าความสำเร็จที่ผ่านมาของวิทยาลัยเท้าเปล่าแปลว่า เขาจะสามารถเรี่ยไรเงินบริจาคมากกว่าเดิม 10-20 เท่าจากเอ็นจีโอต่างชาติ รอยก็ไม่ทำ เขากลับมองว่าทางที่ดีที่สุดคือ รับเงินจำนวนน้อย แล้วแสดงให้ผู้บริจาคเห็นว่าสามารถใช้เงินนั้นได้อย่างคุ้มค่า และมองว่า ถ้าวิทยาลัยเท้าเปล่ามีเงินเก็บหรือมีเงินงบประมาณสูงๆ คนจะเริ่มรู้สึกมักง่าย คิดว่าไม่ต้องทำงานหนักแล้วเพราะมีเงินเหลือเฟือ นั่นเป็นทัศนคติที่แย่มากในความเห็นของรอย
 
นอกจากพิสูจน์ให้โลกเห็นศักยภาพของคนจนผู้ไม่รู้หนังสือ รอยยังพิสูจน์ให้เห็นความสำคัญของหลักธรรมาภิบาล แม้ในระดับชุมชน ปัจจุบันวิทยาลัยเท้าเปล่าเป็นองค์กรเพื่อชุมชนองค์กรเดียวในอินเดีย ที่เปิดเผยงบการเงินประจำปีที่ผู้สอบบัญชีตรวจสอบแล้วต่อสาธารณะ และโครงการทุกอย่างที่ผ่านสภาหมู่บ้านของบัณฑิตเท้าเปล่าต้องเปิดเผยต่อสาธารณะดังได้กล่าวไปแล้ว
 
การยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลของรอย เป็นแรงบันดาลใจให้ภรรยาของเขา อารูนา รอย (Aruna Roy) ริเริ่มขบวนการเคลื่อนไหวที่เรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียมีความโปร่งใสกว่าเดิม การเคลื่อนไหวที่เธอเป็นตัวตั้งตัวตี นำไปสู่การผ่านกฎหมายเสรีภาพในการได้รับข้อมูลข่าวสาร (Freedom of Information Bill) ในปี พ.ศ. 2542 ซึ่งกำหนดว่าหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ ต้องเปิดเผยเอกสารที่ประชาชนร้องขอ ภายใน 30 วัน ความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้อารูนา รอย ได้รับรางวัลแม็กไซไซในปี พ.ศ. 2543
 
……
 
อะไรคือเทคโนโลยีที่เหมาะสม หรือเทคโนโลยีปานกลาง?
 
การใช้ประโยชน์จาก "เทคโนโลยีที่เหมาะสม" (appropriate technology) หรือ "เทคโนโลยีปานกลาง" ที่บรรลุเป้าหมายของชุมชนได้โดยไม่ต้องใช้วัสดุราคาแพงจากนอกชุมชน และง่ายพอที่ชาวบ้านจะสร้างและบำรุงรักษาเองได้ เป็นหนึ่งในปัจจัยแห่งความสำเร็จของวิทยาลัยเท้าเปล่า
 
"เทคโนโลยีที่เหมาะสม" มีความหมายคล้ายกันกับ "เทคโนโลยีชาวบ้าน" ในเมืองไทย ดังคำอธิบายในวิกิพีเดีย:
 
"เทคโนโลยีที่เหมาะสม" หมายถึง เทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมของสังคมที่จะนำเทคโนโลยีนั้นไปใช้ เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับใช้ในประเทศกำลังพัฒนา หรือชนบทที่ยังห่างไกลความเจริญในประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งอาจไม่มีทุนทรัพย์หรือความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพียงพอที่จะใช้และบำรุงรักษาเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ามากๆ ในทางปฏิบัตินั้น เทคโนโลยีที่เหมาะสมมักหมายถึงเทคโนโลยีที่ใช้ระดับเทคโนโลยีที่เรียบง่ายและอ่อนโยน(ต่อสิ่งแวดล้อม)ที่สุดในการบรรลุจุดประสงค์ของชุมชนนั้นๆ ในทางกลับกัน เทคโนโลยีที่มีราคาแพงอาจเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุดในชุมชนร่ำรวยที่สามารถซื้อและบำรุงรักษามันได้
 
คำถามที่ว่าเทคโนโลยีที่เหมาะสมนั้นควรประกอบด้วยอะไรบ้างเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันไม่จบสิ้น แต่โดยทั่วไป นักทฤษฎีใช้ศัพท์นี้ในการตั้งคำถามต่อสังคมที่ใช้เครื่องจักรมากเกินความจำเป็น การตกงานของคนจำนวนมาก การร่อยหรอของทรัพยากร หรือการเพิ่มขึ้นของระดับมลพิษที่เป็นผลพวงจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ไม่มีใครควบคุม ศัพท์คำนี้ยังใช้อธิบายสภาวะการตกที่นั่งลำบากของประเทศกำลังพัฒนา ที่กำลังเผชิญกับผลเสียจากการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาประเทศ
 
จากมุมมองของผู้นิยมความเรียบง่าย (ซึ่งคนอื่นอาจมองว่าเป็นพวกปฏิเสธเทคโนโลยี) "เทคโนโลยีที่เหมาะสม" หมายถึงเทคโนโลยีที่ทำประโยชน์สุทธิ จากการประเมินผลได้เสียระหว่างความเสี่ยง ต้นทุน และคุณค่า สูงพอที่คนควรใช้มันต่อไป ตัวอย่างเช่น ราวตากผ้า สวนปลูกผักสวนครัว การทำปุ๋ยหมักในครัวเรือน ฉนวนกันความร้อนในบ้าน หรือการใช้จักรยานแทนที่รถยนต์
 
หลายคนใช้คำว่า "เทคโนโลยีที่เหมาะสม" กับเทคโนโลยี "ชั้นสูงสุด" ที่ถูกนำไปใช้ในบริบทที่เหมาะสมที่สุดกับมัน เช่น เราอาจนับการออกรายการวิทยุ โทรศัพท์มือถือ หรือการศึกษาทางไกลเป็น "เทคโนโลยีชั้นสูง" ที่เหมาะสมที่สุดในการพัฒนาอาชีพเสริมหรือให้การศึกษาเด็กในชนบทห่างไกล
 
คำว่า "เทคโนโลยีปานกลาง" (intermediate technology) อาจใช้ในความหมายเดียวกันกับ "เทคโนโลยีที่เหมาะสม" อี. เอฟ. ชูมักเกอร์ (E. F. Schumacher) ผู้แต่งหนังสือเรื่อง "Small Is Beautiful" เป็นผู้คิดค้นศัพท์คำนี้ และใช้มันในความหมายว่า เทคโนโลยีใดๆ ก็ตามที่แพงกว่าเทคโนโลยีปัจจุบันในประเทศกำลังพัฒนา 10 เท่า แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกกว่าเทคโนโลยีในประเทศพัฒนาแล้ว เทคโนโลยีปานกลางสามารถซื้อหาได้สะดวกและใช้ง่ายสำหรับคนจน สามารถเพิ่มผลิตภาพ (productivity) ได้โดยก่อความเสียหายทางสังคมน้อยที่สุด ชาวบ้านสามารถสร้างเทคโนโลยีปานกลางได้ด้วยใช้วัตถุดิบและภูมิปัญญาท้องถิ่น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าที่ทำงานปกติใช้เงิน 1 ดอลลาร์ในการซื้อเทคโนโลยีขั้นต่ำมาใช้ แต่วิถีทางแบบอุตสาหกรรมใหม่ต้องใช้เงินกว่า 1,000 ดอลลาร์ "เทคโนโลยีปานกลาง" ในกรณีนั้นคือเทคโนโลยีที่มีราคาระหว่าง 10-100 ดอลลาร์ต่อสถานที่ทำงาน ชูมักเกอร์และพวกพ้องนักพัฒนาของเขา ทำให้ศัพท์คำนี้เป็นที่รู้จักระหว่างที่ทำงานวิจัยเรื่องทฤษฎีการพัฒนาในทศวรรษ 2510
 
คุณสมบัติของเทคโนโลยีที่เหมาะสม หรือเทคโนโลยีปานกลาง
 
ราคาต่ำและค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาต่ำคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดของเทคโนโลยีที่เหมาะสม เทคโนโลยีที่ต้องดูแลรักษาค่อนข้างถี่อาจนับว่ามีความเหมาะสมได้ หากการดูแลรักษานั้นสามารถทำได้ด้วยการใช้ทักษะ เครื่องมือ และวัสดุพื้นบ้าน เทคโนโลยีที่ "เหมาะสม" ปกติคือเทคโนโลยีที่อย่างน้อยชาวบ้านสามารถซ่อมแซมเองได้
 
ไม่จำเป็นต้องเป็นเทคโนโลยี "ขั้นต่ำ"
 
เทคโนโลยีที่เหมาะสมอาจใช้ประโยชน์จากงานวิจัยล่าสุดได้ เช่น ผ้ากรองน้ำที่ทำจากผ้าส่าหรีเก่าๆ ในบังคลาเทศ ได้รับแรงบันดาลใจจากงานวิจัยเรื่องการเดินทางของเชื้ออหิวาตกโรคในน้ำ เทคโนโลยีที่เหมาะสมอาจเป็นเทคโนโลยีล่าสุด เช่น มูลนิธิทำโลกให้สว่าง (Light Up the World Foundation) รณรงค์ให้ชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกลในเนปาล ใช้ไดโอดเปล่งแสง (light-emitting diode หรือ LED) สีขาวแทนหลอดไฟฟ้าแบบเก่า เพราะใช้ไฟฟ้าน้อยกว่า 4-5 เท่า แต่ทนทานกว่าหลายเท่า (อยู่ได้นาน 50,000 ชั่วโมง เทียบกับอายุ 1,000 ชั่วโมงของหลอดไฟฟ้า)
 
ความยั่งยืน
 
คุณสมบัติเช่น ราคาต่ำ ไม่สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และการใช้ทรัพยากรที่หาได้ในท้องถิ่น สามารถทำให้เทคโนโลยีที่เหมาะสมมีความยั่งยืน (sustainable) กว่าเทคโนโลยีชนิดอื่น ด้วยเหตุนั้น บางครั้งนักพัฒนาที่สนับสนุนแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนจึงสนับสนุนเทคโนโลยีที่เหมาะสมด้วย
 
……
 
ปัจจุบัน วิทยาลัยเท้าเปล่ามี "ศูนย์สนาม" (field center) กว่า 20 แห่งทั่วอินเดีย นอกเหนือจากแคมปัสหลักที่ติโลเนีย ฝึกสอนทั้งนักเรียนท้องถิ่น และนักเรียนต่างชาติจากประเทศกันดาร เช่น อัฟกานิสถานและเนปาล ให้นำทักษะที่ได้เรียนรู้กลับไปช่วยชุมชนของตน ในปี 2548 ผู้หญิงชาวอัฟกานิสถาน 3 คน เดินทางไปวิทยาลัยเท้าเปล่าที่ติโลเนียเพื่อเข้าเรียนหลักสูตรเรื่องการสร้างระบบไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ เป็นเวลา 6 เดือน หลังจากที่พวกเธอกลับไปบ้านเกิด วิศวกรเท้าเปล่าเหล่านี้ได้ติดตั้งไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ให้กับเพื่อนบ้านจำนวน 124 หลังคาเรือน ใน 5 หมู่บ้าน ภายในเดือนแรกหลังจากที่พวกเธอกลับไปถึง
 
ปัจจุบันผู้หญิงทั้งสามคนได้ร่วมกันก่อตั้งสมาคมวิศวกรพลังแสงอาทิตย์ (Barefoot Solar Engineers Association) ขึ้นในอัฟกานิสถาน เพื่อเผยแพร่ความรู้ที่พวกเธอได้รับให้กับคนอื่น นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ไม่น้อยในอัฟกานิสถาน ประเทศที่ขึ้นชื่อว่ากดขี่ผู้หญิงมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
 
รอยมีแผนที่จะขยายผลโครงการวิทยาลัยเท้าเปล่าออกไปเรื่อยๆ รวมทั้งเผยแพร่แนวคิดเท้าเปล่าของเขาออกไปนอกอินเดีย โดยใช้เงินสนับสนุนจากมูลนิธิ Skoll ที่เขาได้รับระหว่างปี 2548-2550 ไปสร้างวิทยาลัยเท้าเปล่าในชุมชน 30 แห่ง ใน 5 ประเทศ ความเชื่อมั่นในศักยภาพของคนจนทุกหนแห่งในการช่วยตัวเอง ทำให้รอยเชื่อว่าโมเดลของวิทยาลัยเท้าเปล่ามี "ความเป็นสากล" สูง สามารถนำไปปรับใช้ในประเทศอื่นได้สำหรับผู้ใดก็ตามที่สนใจ และแคลงใจในวิถีการพัฒนาราคาแพงของกระแสหลัก ดังคำอธิบายบนเว็บไซด์ของวิทยาลัยเท้าเปล่า:
 
โมเดลของวิทยาลัยเท้าเปล่าเข้ากันได้หรือไม่กับโครงการพัฒนาของคุณ? ("คุณ" ในที่นี้หมายถึงองค์กรระดับโลกอย่างสหประชาชาติ)
 
คนจนในชนบทมีความต้องการขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการปรับปรุงคุณภาพชีวิต เช่น น้ำดื่มที่สะอาด สุขอนามัยที่ดี การศึกษา การมีงานทำ แต่ละปี เงินเป็นพันๆ ล้านเหรียญสหรัฐถูกทุ่มในนามของคนจน มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และเอ็นจีโอต่างๆ จ้างผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการศึกษาสูงๆ จากในเมือง มาเสนอบริการเหล่านี้ให้กับคนจนในราคาแพงลิบลิ่ว แต่พวกเขาหนีไม่พ้นผลประโยชน์ทับซ้อน ที่ต้องการเห็นคนจนจนอยู่ต่อไป เพราะความจนเป็นธุรกิจใหญ่สำหรับพวกเขาที่หมายถึงงานหลายพันตำแหน่ง
 
ความเชื่อของวิทยาลัยเท้าเปล่าคือ โครงการพัฒนาชนบทไม่จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญจากในเมือง เพราะหมู่บ้านต่างๆ มี "ผู้เชี่ยวชาญ" อยู่แล้ว ผู้มีภูมิปัญญา ความรู้ และทักษะที่นักพัฒนาไม่สนใจจะจำแนก ระดม หรือปรับใช้ เพียงเพราะพวกเขาไม่มีวุฒิการศึกษาในระบบ
 
โมเดลของวิทยาลัยเท้าเปล่าจะใช้ได้ในชุมชนของคุณหรือไม่?
 
วิทยาลัยเท้าเปล่าใช้ได้กับชุมชนคนยากไร้ในชนบททุกแห่งในโลก ที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
 
มีความยากจนข้นแค้น
ชุมชนนั้นถูกปล่อยปละละเลยจนพวกเขาไม่มีทางเลือกใดๆ นอกเหนือจากต้องพึ่งความรู้ความสามารถของตัวเอง
ครอบครัวต่างๆ ในชุมชนพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ไม่ใช่พึ่งคนนอกชุมชน ดังนั้นความรู้และทักษะต่างๆ ของพวกเขาจึงมีประโยชน์ จำเป็น และเป็นที่นับถือในชุมชน
อัตราการไม่รู้หนังสืออยู่ในระดับสูง ทำให้ประเพณีปากเปล่า (oral tradition) ฝังรากลึกซึ้ง คนรุ่นหนึ่งมีการส่งต่อความรู้และทักษะไปยังคนรุ่นต่อไป
……
 
ในบทบรรณาธิการที่รอยเขียนลงหนังสือพิมพ์ International Herald Tribune เรื่อง "สาเหตุที่เป้าหมายแห่งสหัสวรรษจะไม่มีวันสัมฤทธิ์ผล" (Why the Millennium Goals Won’t Work) รอยขยายเหตุผลที่เขาต่อต้านวิถีการพัฒนากระแสหลัก ที่เน้นการใช้ผู้เชี่ยวชาญจากโลกตะวันตกไปให้คำแนะนำ (วิธี "บนลงล่าง" หรือ top-down approach) แทนที่จะต่อยอดจากศักยภาพของคนในท้องถิ่น ("ล่างขึ้นบน" หรือ bottom-up approach) ไว้อย่างตรงไปตรงมาดังต่อไปนี้:
 
ในปี พ.ศ. 2521 เมื่อโรเบิร์ต แม็คนามารา (Robert McNamara อดีตรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐในช่วงสงครามเวียดนาม) ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานธนาคารโลกในสมัยนั้น และแม็คจอร์จ บันดี้ (McGeorge Bundy) ประธานมูลนิธิฟอร์ด มาค้างคืนที่วิทยาลัยเท้าเปล่าที่นี่ ที่หมู่บ้านติโลเนีย แม็คนามาราถามชายผู้หนึ่ง ที่เลี้ยงครอบครัวด้วยรายได้เพียงสิบกว่าบาทต่อวัน ว่าเขาหวังอะไรในชีวิต เขายิ้มและตอบเบาๆ ว่า "ได้อิ่มท้องวันละสองมื้อ"
 
ผมจำความตกตะลึงอันเงียบกริบได้จนถึงทุกวันนี้ ความทรงจำนี้หวนคืนมาเมื่อผมได้อ่านรายงานสรุปความคืบหน้าของเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals) ของสหประชาชาติ ประจำปี พ.ศ. 2548 น่าเสียดายที่ความรู้และประสบการณ์ของนักพัฒนาระดับสูงผู้ทรงอิทธิพล หน่วยงานของสหประชาชาติทั้ง 25 หน่วยงาน และผู้บริจาคเงินนานาชาติหลายกลุ่มที่ให้เงินสนับสนุนพวกเขา ไม่ช่วยลบล้างทัศนคติเกี่ยวกับความยากจนที่ไร้เดียงสาและเชื่อคนง่าย ออกจากรายงานฉบับนี้ได้เลย
 
โลกความจริงเทียม (virtual reality) ที่กลุ่มคนเขียนรายงานฉบับนี้อาศัยอยู่ ซึ่งเต็มไปด้วยแผนการดำเนินงาน กลยุทธ์ และชีทข้อมูล เป็นโลกอันน่าหวาดหวั่น พวกเขาควรจะหันมาฟังเสียงของคนที่ใช้เวลากว่า 34 ปีที่ผ่านมา ทำงานและอาศัยอยู่กับผู้ยากไร้ในชนบท: การขจัดความยากจนแร้นแค้นและความหิวโหย (เป้าหมายแห่งสหัสวรรษข้อ 1) ไม่จำเป็นต้องใช้ดัชนีวัดหรือฐานข้อมูลใดๆ นักกิจกรรมผู้มีการศึกษาที่ไม่มีไอเดียว่าจะเข้าถึงผู้ยากไร้อย่างไรต่างหาก ถึงจะจำเป็นต้องใช้เครื่องมือเหล่านั้น
 
ตราบใดที่รัฐบาลต่างๆ ในทวีปอเมริกาใต้ ยังไร้พลังที่จะสลัดตัวเองออกจากการครอบงำของบริษัทเอกชนที่ฉ้อฉล และนักการเมืองท้องถิ่นระดับหมู่บ้านที่คอร์รัปชั่น ผู้ยากไร้จะไม่มีวันได้รับอิสรภาพจากความหิวโหย และจากความกลัวได้อย่างแท้จริง ไม่ว่ารายงานของสหประชาชาติจะพูดอย่างไร วิธีแก้ปัญหาน่ะหรือ? กดดันให้รัฐบาลทุกประเทศในทวีปนั้นให้ออกกฎหมายคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการรับข้อมูลข่าวสาร เหมือนกับที่อินเดียมี สร้างกลไกรับประกันความโปร่งใสและความรับผิด ชุมชนท้องถิ่นรวมตัวกันกดดันรัฐจากฐานราก ให้เปิดเผยการใช้เงินงบประมาณ ขอความร่วมมือจากองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) พวกเขาจะต้องยื่นมือมาช่วยแน่ๆ
 
ถ้าเราต้องการทำให้คนทุกคนทั่วโลกได้รับการศึกษาขั้นประถมเป็นอย่างต่ำ (เป้าหมายแห่งสหัสวรรษข้อ 2) วิธีการของยูเนสโกในประเด็นนี้ใช้ไม่ได้ผล ในภาวะที่เด็กชนบทกว่าร้อยละ 60 ทั่วโลกไม่สามารถไปโรงเรียนได้เพราะพวกเขาต้องช่วยพ่อแม่ทำงาน รายงานนี้ทำได้เพียงสาธิตให้เราเห็นว่าสหประชาชาติไร้ความสามารถที่จะคิดนอกกรอบ ทั้งๆ ที่เราสามารถแก้ปัญหานี้โดยใช้สามัญสำนึกแบบชาวบ้าน – ให้เด็กเรียนหนังสือภาคค่ำแทน
 
เนื่องจากครูโรงเรียนรัฐส่วนใหญ่ไม่นอนค้างในหมู่บ้าน เราควรฝึกสอนและจ้างหนุ่มสาวชนบทที่รู้หนังสือแต่ไม่มีงานทำหลายพันคนทั่วโลก ให้เป็น "ครูเท้าเปล่า" ไปสอนและบริหารโรงเรียนภาคค่ำเหล่านี้
 
กลุ่มผู้เขียนรายงานฉบับนี้รู้หรือไม่ว่า ความสำเร็จของกลุ่มพัฒนาชนบทที่ใช้พลังชุมชนเป็นฐานรากมากมายทั่วโลกที่กำลังทำงานแบบนี้ในการศึกษาระดับประถม ยังไม่ถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของสถิติที่เป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็นสถิติของยูเนสโกหรือของรัฐบาลต่างๆ? นั่นเป็นเพราะว่ารัฐไม่เห็นและไม่มีวันจะเห็นคุณค่าของงานของพวกเขา เพราะพวกเขาเป็นอันตรายต่อข้าราชการระดับหมู่บ้านผู้เป็นตัวแทนของรัฐบาลกลาง ที่ต้องการรักษาดุลอำนาจเดิมต่อไปเรื่อยๆ
 
ในทำนองเดียวกัน มีหนทางอันสร้างสรรค์มากมายที่กลุ่มพัฒนาชนบทระดับชุมชนทั่วโลกกำลังช่วยมอบอำนาจให้กับผู้หญิง (เป้าหมายแห่งสหัสวรรษข้อ 3) จากประสบการณ์ของผม หญิงชาวชนบทที่แทบไม่รู้หนังสือมากมายได้กลายเป็นวิศวกรแสงแดด (solar engineer) และวิศวกรน้ำ (water engineer) พวกเธอสามารถซ่อมแซมเครื่องสูบน้ำพลังมือ สร้างถังเก็บน้ำฝนในโรงเรียน ติดตั้งไฟฟ้าพลังแสงแดดให้กับทั้งหมู่บ้าน และป้อนข้อมูลลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งหมดนี้โดยปราศจากการช่วยเหลือใดๆ ทางเทคนิคจากโลกภายนอก เรื่องนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญในเมืองหลายคนไม่เชื่อสายตาตัวเอง