Sailing Alone around the Room
ความสนุกอย่างหนึ่งของการเขียนคอลัมน์ Page Two คือการท้าทายตัวเอง หาโจทย์ยากๆ เพื่อจะก้าวข้ามมันไปในแต่ละเดือน ระหว่างที่กำลังใคร่ครวญอยู่ว่าจะเขียนถึงหนังสือเล่มไหนดี ก็มีรุ่นน้องคนหนึ่งเปรยขึ้นมาว่า “ทำไมไม่เกาะกระแสซีไรต์ วิจารณ์กลอนเปล่าล่ะ” นั่นสิ โจทย์ข้อนี้ท้าทายดีจริงเชียว เพราะผมไม่เคยเขียนถึงบทกวีมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงบทกวีไร้ฉันทลักษณ์เลยด้วยซ้ำ
อันที่จริงกลอนเปล่าไม่เชิงเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของสังคมไทย ในรวมบทกวีซีไรต์ปีหลังๆ ต้องมีกลอนเปล่าแทรกอยู่บทสองบท รวมถึงหนังสือกลอนเปล่าหลายเล่มทะลุเข้ารอบสุดท้ายซีไรต์มาแล้ว ถ้าจะมีบางอย่างที่แปลกใหม่เมื่อ ไม่มีหญิงสาวในบทกวี ได้รางวัลคือ นักวิจารณ์ไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือหาข้ออ้างที่จะไม่พูดถึงกลอนเปล่าได้อีกต่อไป จำเป็นแล้วที่เราจะต้องมาถกกันว่าไร้ฉันทลักษณ์หมายถึงไร้บรรทัดฐานหรือเปล่า และจะเอากฏเกณฑ์ประการใดมาตัดสิน ประเมินค่าสิ่งซึ่งประกาศออกมาโต้งๆ ว่าฉันปราศจากกฎเกณฑ์ดี
สมัยอยู่ปี 3ผมเคยเข้าไปนั่งเรียนวิชาเขียนบทกวี อาจารย์ขอให้พวกเราช่วยกันนิยามว่าบทกวีหมายถึงอะไร คำตอบที่พวกเราร่วมกันสรุปออกมาคือ “ชุดข้อความที่ใช้คำน้อยสุดเพื่อให้สื่อความหมาย กินใจความมากสุด” บทกวีจึงคล้ายๆ กับเรื่องตลกตามนิยามของฟรอยด์ ความขำหรือความซาบซึ้งเกิดจากพลังงานส่วนเกินที่ถูกปลดปล่อยออกมา เนื่องจากความแตกต่างหรือระยะห่างระหว่างใจความ (อันยิ่งใหญ่มหาศาล) และสัญญะที่เสพเข้าไปจริงๆ (ซึ่งถูกจำกัดจำเขี่ยให้น้อยที่สุด) ถ้าฉันทลักษณ์คือเครื่องมือของกวีขนบเพื่อเพิ่มความหมาย เครื่องมือของนักกลอนเปล่าก็น่าจะเป็นการสร้างภาพพจน์นี่เอง
(สาเหตุที่เลือก Sailing Alone around the Room ของบิลลี คอลลินส์ เพราะส่วนตัวผูกพันกับกวีคนนี้ เคยเจอตัวเขาเป็นๆ ตอนมาอ่านกลอนที่โรงเรียน นอกจากนี้บทกวีของบิลลี คอลลินส์มีลักษณะเป็นกลอนเล่าเรื่องหรือ Narrative Poem ซึ่งใช้กลวิธีหลายอย่างคล้ายคลึงกับเรื่องสั้น จึงเข้าทางผมมากกว่า)
ตัวอย่างเช่น ในสี่วรรคสุดท้ายของบทกวี Nightclub[1] บิลลี คอลลินส์พูดถึงเส้นบางๆ ที่กั้นระหว่างความสวยงามและความโง่เขลา สี่วรรคนี้ไม่ได้มีฉันทลักษณ์ที่สละสลวย หรือโวหารภาพพจน์ที่คมคาย แต่รายละเอียดซึ่งเกริ่นนำขึ้นมาตั้งแต่ต้น เสริมใจความระหว่างบรรทัดลงไปอย่างมากล้น ในบาทแรกของ Nightclub กวีล้อเลียนขนบดนตรีป็อบด้วยอารมณ์ขัน ในบาทที่สอง “ผม” ถูกบทเพลงของจอห์นนี ฮาร์ทแมนดึงดูดเข้าไปยังไนท์คลับในจินตนาการ คำว่า “ความสวยงาม” และ “ความโง่เขลา” ถูกหยิบมาเล่นซ้ำไปซ้ำมา เช่นเดียวกับ “แสงสว่าง” ที่ตัดกับ “ความมืด” เมื่อชายร่างใหญ่ห้อยแซกโซโฟแลดูคล้ายปลาทองปรากฏกายขึ้น คนอ่านก็พร้อมแล้วสำหรับประโยคสุดท้ายนี้
We are all so foolish,
my long bebop solo begins by saying,
so damn foolish
we have become beautiful without even knowing it.
ประโยคนี้ตีความได้สองแบบคือ “เราช่างโง่เขลาที่ไม่ตระหนักถึงความสวยงามของตัวเอง” และ “เราช่างโง่เขลาเสียจนเรากลายเป็นสิ่งสวยงามโดยไม่รู้ตัว” ถ้าเติมคำว่า “because” หรือ “that” ลงไปหลังวรรคแรก ความกำกวมจะถูกทำลายลง ขนบของกลอนเปล่าที่พยายามตัดคำไม่จำเป็นออกไปให้มากที่สุดได้ก่อให้เกิดความกำกวมอันเป็นเสน่ห์ขึ้นมา[2]
อีกตัวอย่างคือ Marginalia[3] โครงสร้างของบทกวีนี้คล้ายคลึงกับ Nightclub เริ่มจากคอลลินส์แซว “อักษรมือบอน” ที่พบเห็นได้ตามหนังสือมือสอง (“Another notes the presence of “Irony”/ fifty times outside the paragraphs of A Modest Proposal.[4]”) แต่แล้วจู่ๆ “ผม” ก็พูดถึงเหตุการณ์ที่กระทบใจเขาเป็นพิเศษเกี่ยวกับอักษรมือบอน เขาเคยอ่านเจอข้อความหนึ่งในนิยาย Catcher in the Rye[5] ซึ่งหยิบยืมมาจากห้องสมุด สมัยเพิ่งขึ้นชั้นมัธยมปลายหมาดๆ
a few greasy looking smears
and next to them, written in soft pencil –
by a beautiful girl, I could tell,
whom I would never meet –
“Pardon the egg salad stains, but I'm in love.”
ทันทีที่พบข้อความนี้ “ผม” รู้สึกได้ถึง “ความเปลี่ยวเหงาไร้ก้นบึ้ง / ความปวดร้าว หนักอึ้งของโลกเบื้องหน้า”
Catcher in the Rye เป็นวรรณกรรมอันโด่งดังที่พูดถึงการก้าวย่างจากวัยเด็กสู่โลกของผู้ใหญ่ หนังสือเล่มนี้มักถูกใช้เป็นหนังสือเรียนภาคบังคับสำหรับชั้นมัธยมปลายในอเมริกา เพื่อสอนให้เด็กเข้าใจความสลับซับซ้อนของชีวิตวัยรุ่น เช่นเดียวกับที่ “ขอโทษด้วยนะที่ทำสลัดไข่เปื้อน แต่ฉันกำลังมีความรัก” น่าจะทำให้ “ผม” ที่ยังไม่ประสีประสาเรื่องความรักสัมผัสได้ถึงรสชาติหวานเจือขมที่รอคอยเขาอยู่เบื้องหน้า
ประโยคสุดท้ายนี้เป็นอีกตัวอย่างของความกำกวม ตัวประโยคเองหมายความว่าอย่างไร สลัดไข่เกี่ยวข้องอะไรด้วยกับความรัก ผู้หญิงที่เขียนประโยคนี้ตั้งใจให้ใครมาอ่าน ตัวเอง ชายคนรัก หรือ “ผม” ในอนาคตที่สืบทอดหนังสือเล่มนี้มา ประโยคธรรมดาที่ไม่ได้มีความหมายลึกซึ้ง ถูกนำมาจัดวางในบริบทที่ลงตัว จนคนอ่านตัดสินใจไม่ถูกว่านี่คือการจบที่จุดสูงสุดของเหตุการณ์ (climax) หรือเป็นเหตุการณ์ที่ถูกลดความสำคัญลงอย่างกะทันหันดี (anticlimax) นอกจากนี้มันยังเป็นกลอนซ้อนกลอน ในชั้นแรก มันคือประโยคสุดท้ายของบทกวี Marginalia ที่เขียนโดยบิลลี คอลลินส์ แต่สำหรับ “ผม” ประโยคนี้คือบทกวีของหญิงสาวลึกลับ ถูกส่งข้ามกาลเวลามาหาเขา หญิงสาวคนนั้นอาจไม่ได้ตั้งใจให้ประโยคนี้มีความหมายลึกซึ้ง กระแทกใจใคร แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ความกำกวมของกาลเวลาค่อยๆ เติมแต่งสุนทรียะแห่งบทกวีให้มันเอง
คอลลินส์เขียนบทกวีเกี่ยวกับเวลาเอาไว้ไม่น้อย ใน The Waitress[6] กวีเปรียบเปรยอดีตว่าเป็นเหมือนโรงมหรสพ ข้างในมีคนแปลกหน้าที่เราพบปะพบเจอมาสังสรรค์รวมกัน แต่ว่าโรงมหรสพแห่งนี้
is made of nothing but autumn leaves,
red, yellow, gold,
waiting for a sudden gust of wind
to scatter it all
into the dark spaces
beyond these late-night, practically empty streets.
เวลาอาจประกอบขึ้นมาจากความทรงจำ แต่เวลาเองก็จะค่อยๆ ลบความทรงจำให้เลือนหายไป นี่คือสัจธรรมอันแสนเศร้า และสวยงาม ใน In Search of Lost time พรูสต์นำเสนอธรรมชาติของเวลา ผ่านมหากาพย์รำลึกอดีตซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงหัวถึงหมอนจนสิ้นสติสมประดี คอลลินส์ทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เขาดักจับเวลาเอาไว้ในกลอนบทสั้นๆ ก่อนปล่อยให้เวลาบินหนี หายไปกับการลืมเลือน
สุดท้ายแล้วไร้ฉันทลักษณ์จะใช่ไร้กฏเกณฑ์หรือเปล่า
นั่นคือคำถามซึ่งคอลลินส์ฝากทิ้งไว้ให้คนอ่าน พวกเราทุกคน
[1] เข้าไปอ่าน Nightclub เต็มๆ ได้ที่ http://www.poemhunter.com/poem/nightclub/
[2] ในตำราวิจารณ์คลาสสิก 7 Types of Ambiguity วิลเลียม เอมสัน พูดถึงความกำกวมเจ็ดประเภทอันเป็นสุนทรีย์แห่งบทกวี โดยความกำกวมอันเกิดจากการใช้ไวยากรณ์นี้ จัดเป็นความกำกวมแบบที่ 2
[3] เข้าไปอ่าน Marginalia เต็มๆ ได้ที่ http://www.poemhunter.com/poem/marginalia/
[4] A Modest Proposal เป็นบทความของโจนาธาน สวิฟต์ที่เสนอแนะให้คนแก้ไขปัญหาความอดอยากหิวโซด้วยการกินเด็กทารกกันดีกว่า จริงๆ แล้วสวิฟต์เขียนบทความนี้เพื่อประชดประชันสังคมอังกฤษในสมัยนั้น ข้อเขียนนี้โด่งดังในฐานะตัวอย่างชั้นเลิศของงานเขียนแนวย้อนแย้ง จึงมีแต่คนไร้เดียงสาสุดๆ เท่านั้นที่จะเขียนคำว่า “Irony” ซ้ำไปซ้ำมา ถ้าเปลี่ยนเป็นวัฒนธรรมไทย อาจจะได้ประมาณ เขียนคำว่า “คอมมิวนิสต์” ซ้ำไปซ้ำมาใน “กาเหว่าที่บางเพลง”
[5] ฉบับแปลภาษาไทยโดยปราบดา หยุ่น ในชื่อไทยว่า “จะเป็นผู้คอยรับไว้ ไม่ให้ใครร่วงหล่น”
[6] เข้าไปอ่าน The Waitress เต็มๆ ได้ที่ http://www.thefreelibrary.com/The+waitress.-a054018670
โดย ภาณุ ตรัยเวช http://www.onopen.com/loveyouallmass/11-01-01/5681