Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

Sadie Jones ความสำเร็จจากความล้มเหลว 15 ปี

 

 
หากนักเขียนหรือผู้ที่อยากเป็นนักเขียนท่านใด ได้พิศรูปลักษณ์ของ ซาดี โจนส์ (Sadie Jones) นักเขียนวัย 40 ปี 
 
ผู้เพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ ชีวิตครอบครัวดูจะมีความสุขเป็นที่อดอิจฉาไม่ได้ และนวนิยายเล่มแรกของเธออย่าง The Outcast ขายดีเป็นอันดับสองในอเมซอน โจนส์ปรามทุกคนว่า "อย่าอิจฉา ฉันเลย" 
 
โจนส์บอกถึงสามเหตุผลที่ไม่ประสงค์ให้ใครอิจฉาปลายทางชีวิตของเธอ ณ ปัจจุบัน เธอจึงย้อนเล่าเรื่องราวขอตัวเองว่ากว่าจะมาถึงจุดที่ใครๆ (อาจจะ) อิจฉานั้น มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เหตุผลแรก โจนส์บอกว่ามีความเจ็บปวดและอึดอัดใจเป็นเวลาถึง 15 ปีเต็มที่ทั้งสองความรู้สึกรุมเร้าตัวเธอ 15 ปีที่เธอนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อเขียนงานออกมาแต่ไม่มีใครสนใจ เขียนบทภาพยนตร์ 4 เรื่อง และบทละครเรื่องหนึ่ง ไม่มีผลงานชิ้นไหนถูกนำเสนอ งานทั้งหมดที่ลงแรงทำงานอย่างหนักเพื่อเขียนออกมาเป็นบทภาพยนตร์ถูกนำออกมาทำเป็นวีดิโอ ซึ่งมีข้อความเพียงไม่กี่บรรทัดที่ถูกนำเสนอออกไป 
 
เหตุผลประการถัดมา นวนิยายเรื่อง The Outcast เกี่ยวกับชายผู้หนึ่งที่ไม่มีความสุขในช่วงทศวรรษที่ 1950 เป็นคนแปลกและพิลึก แต่ชายผู้นี้เป็นคนดีมาก พอ The Outcast วางแผงในเดือนกุมภาพันธ์ นักวิจารณ์หลายคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า The Outcast มีกลิ่นอายเหมือนนวนิยายเรื่อง Atonement ของ Ian McEwan และThe Remain of the Day ของ Kazuo Ishigo กระนั้น The Outcast ได้รับคัดเลือกเสนอชื่อเข้าชิง Orange Prize และเป็นหนังสืออ่านก่อนนอนของ Radio 4 อีกทั้ง Richard และJudy ได้เลือกงานเขียนเล่มนี้เป็นหนังสืออ่านในช่วงฤดูร้อน มีคำถามตามมาว่า จากการเป็นนักเขียนในกลุ่มอับโชค ทำไมจู่ๆ โจนส์ถึงกลายเป็นนักเขียนที่ดีขึ้นมาได้ อะไรทำให้โชคชะตาของเธอพลิกผัน? 
 
เหตุผลประการสุดท้ายที่ใครๆ จะไม่อิจฉาโจนส์คือท่ามกลางวิกฤติของความล้มเหลวในการเขียนงาน เธอได้เรียนรู้บทเรียนมากมายที่ผู้อยากเป็นนักเขียนทั้งหลายพึงสังวร สิ่งแรกที่โจนส์เรียนรู้คือ เธอกำลังเขียนงานอย่างไร้เป้าหมาย "เมื่อไรก็ตามที่ฉันมีความคิดฝัน ฉันมักคิดไปถึงการไปยืนอยู่บนโพเดียมเพื่อรับออสการ์ ไม่เคยคิดว่าจะเขียนหนังสือให้ได้รับการตีพิมพ์ ฉันเขียนบทภาพยนตร์เพราะว่าฉันชอบคิดถึงรายรับที่เป็นวิชาชีพไว้ทำมาหากิน และฉันได้โอกาสในการทำงานร่วมกับผู้อื่น 
 
แต่ในที่สุดฉันก็ล้มเหลว ฝันสลาย เพราะบทภาพยนตร์เหล่านั้นไม่เคยได้รับการทำเป็นภาพยนตร์เลยสักเรื่อง ทุกคนมักคิดไปถึงความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่อง Withnail and I (ซึ่งผู้เขียนบท/ผู้กำกับคือบรูซ โรบินสัน : Bruce Robinson ได้รับค่าตอบแทนแค่ 1 ปอนด์) แต่นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างนะคะ การเขียนบทภาพยนตร์มักเริ่มต้นเส้นทางการทำงานต่างจากการเขียนหนังสือ หรือไม่ก็ผู้ผลิตภาพยนตร์มีไอเดียแล้วก็จ้างให้คนเขียนบทให้ 
 
"แล้วฉันควรจะทำอะไรต่อดีล่ะ ถ้าฉันทำอะไรได้แบบคนอื่นๆ เขาทำกัน ฉันคงเขียนบทให้กับรายการโทรทัศน์ ฉันพูดกับหลายคนว่า ฉันคงทำงานให้ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ไม่ได้-เพราะฉันไม่ดูโทรทัศน์ ฉะนั้นผู้ที่จ้างฉันย่อมรู้ดีว่าฉันกำลังทำอะไรให้กับเขา เพียงเพื่อจะให้ได้ผลตอบแทน ตอนนี้ฉันคิดว่าขอบคุณพระเจ้าที่ฉันไม่ไปทำงานให้กับโทรทัศน์" 
 
โจนส์ยังมีอีกโครงการหนึ่งที่เธอจะทำ ซึ่งอาจจะล้มเหลวอีกก็ได้ อย่างไรก็ดี เธอเคยไม่ประสบผลสำเร็จมานานแล้ว จะเป็นไรไปหากต้องล้มเหลวอีกรอบ เธอจึงตัดสินใจว่าควรทำในสิ่งที่ต้องการระหว่างที่ใช้เวลาหลายชั่วโมงหน้าแป้นคีย์บอร์ด เธอเขียนบทอีกเรื่องขึ้นมาและกลับไปค้นหาชีวิตช่วงแรกของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ประสบปัญหาซึ่งเธอเขียนเอาไว้ในบทภาพยนตร์หลายเรื่อง จากนั้นจึงจับเอาชีวิตของชายผู้นี้มาโลดแล่นอยู่ในหนังสือ แล้วตัวเธอก็สวมบทบาทเป็นนักเขียนอย่างเอาจริงเอาจัง 
 
The Outcast ไม่ใช่บทสนทนาแบบในบทภาพยนตร์ แต่ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยระหว่างนวนิยายและบทภาพยนตร์คือความรู้สึกต่างๆ และบรรยากาศ โจนส์ถ่ายทอดประเพณีนิยมที่น่าหัวร่อในช่วงหลังสงครามออกมาใน The Outcast บรรยายให้เห็นภาพของช่วงนั้น ความสับสนวุ่นวายถูกกลบให้อยู่ภายใต้การปลอบประโลมของพิธีกรรมทางศาสนาในโบสถ์ จินและโทนิค และอาหารเที่ยงวันอาทิตย์ วีรบุรุษของโจนส์ในเรื่องนี้มีชื่อว่า ลูอิส เขาเผชิญมรสุมอย่างหนักหน่วง แต่พวกเราก็ไม่เคยยุติการเห็นอกเห็นใจเขา แม้แต่ในยามที่เขาทำร้ายตัวเองและคนอื่น แต่ละฉากเป็นนวนิยายที่บริสุทธิ์ 
 
"ฉันเชื่อว่าพวกเราแบกรับ ประสบการณ์ทั้งมวลของมนุษย์อยู่ในหัวของพวกเรา จุดประสงค์ก็เพื่อหาแม่ชีหรือคนโรคจิตที่อยู่ข้างในตัวคุณ ด้วยการเปิดประตูบานนั้น การค้นหาเท่านั้นที่ทำให้คุณรู้สึกมั่นใจมากขึ้น เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วนของจินตนาการ" 
 
แต่โจนส์พูดถึงความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างการเก็บงำพฤติกรรมของคนไว้ภายในและพฤติกรรมที่แสดงออกมาให้เข้ากับสิ่งรอบข้าง อันเป็นบุคลิกของตัวละครในเรื่องซึ่งแตกต่างจากชีวิตในวัยเยาว์ของเธอ โจนส์เขียนในบางสิ่งที่รู้ แล้วอธิบายว่าการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งรอบข้าง แต่ไม่ประสบผลสำเร็จนั้นเป็นเช่นไร 
 
ในวัยเด็กโจนส์รู้สึกแปลกแยกจากเด็กผู้หญิงอีกหลายคน ที่โรงเรียนเอกชน Godolphin and Latymer เพราะว่าพ่อของเธอเป็นกวีชาวจาไมกาแต่กำเนิด และเป็นนักเขียนบทภาพยนตร์ ส่วนแม่ของโจนส์เป็นนักแสดง เด็กหญิงคนอื่นดูเหมือนชื่อเอมิลี่และโซฟี ส่วนโจนส์ไม่เคยอยู่ในกลุ่มของคนพวกนั้น ด้านพี่สาวคนโตของเธอเป็นคนหัวดีและไปเรียนต่อที่ออกซฟอร์ด แต่โจนส์สอบผ่านระดับโอ (O-level) อย่างฉิวเฉียด และเธอหนักใจแน่นอน "ฉันเกลียดโรงเรียน เกลียดครู ฉันพาตัวเองออกมาจากกลุ่มคนที่ต้องการอุดรูโบ๋ของฉัน คนอื่นพากันไปดูดบุหรี่และพูดคุยแต่ฉันไม่เคยทำ อยู่ที่บ้าน ฉันได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยม แต่อยู่ที่โรงเรียนฉันรู้ว่าฉันล้มเหลวสุดๆ" 
 
โจนส์เคยวาดรูปกราฟฟิตี้บนกำแพงและเรียกบรรดาครูว่า 'นังมารร้าย' และ 'ชั่วร้ายสุดๆ' เธอสอบได้ระดับเอ (A-level) ที่วิทยาลัยเทคนิค แต่ตัดสินใจไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัย แล้วผันตัวเองไปเป็นนักเขียนบทภาพยนตร์เหมือนพ่อของเธอ ปี 1993 ขณะมีอายุยี่สิบกลางๆ ผู้ผลิตก็โละเธอทิ้งจากการเขียนบทภาพยนตร์ นี่คือจุดเริ่มต้นของ 15 ปีแห่งความล้มเหลว 
 
โจนส์มีชีวิตครอบครัวและลูก แต่เธอไม่ได้พอใจในสภาพแบบนี้ "คงจะดีหรอกถ้าฉันจะมีความสุขกับการเป็นแม่บ้าน แต่ฉันถูกการเขียนเข้าครอบงำ ฉันยังคงทำงานเพื่อไม่ให้จิตว่าง มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่างชีวิตส่วนตัวที่มีความสุขของฉัน และการทำมาหากินที่รันทดของฉัน มันเป็นความอัศจรรย์อันแผ่วเบากับสิ่งที่ทำให้ฉันทำงานหนักตลอด ฉันคิดว่ามีความหวังเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น ผู้กำกับที่ต้องการเห็นบทนี้และบทนั้น แต่ฉันเครียดมาก และกลัวว่าจะไม่เป็นแบบอย่างที่ดี โดยเฉพาะกับลูกสาวของฉัน เพราะว่าฉันขี้โมโหและไม่ใช่ผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ บทเรียนที่ฉันเรียนรู้จากความล้มเหลวคือ คุณต้องเขียนเพื่อเป้าหมายของตัวคุณเอง ไม่ใช่สักแต่ว่าเขียนออกมา" ในฐานะคนที่ไม่เป็นที่รู้จัก การเขียนหนังสือเพื่อให้ได้พิมพ์ดูจะง่ายกว่าการเขียนบทภาพยนตร์เพื่อให้ได้ทำเป็นภาพยนตร์ 
 
หลังจากกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียง ซาดี โจนส์ ไม่อยากพูดถึงสิ่งที่ได้รับมากนัก เธอให้เหตุผลว่าไม่มีอะไรน่าพูดถึงสักเท่าไหร่ 
 
"เป็นการดีที่คนได้รับรู้เรื่องราวของฉัน แล้วพวกเขาก็ประสบความสำเร็จเฉกเช่นเดียวกับฉัน"
 
: นงค์ลักษณ์ เหล่าวอ 
nonglakspace@gmail.com 
8 กันยายน พ.ศ. 2551 
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ