Post Book Era โลกหลังยุคหนังสือกระดาษกำลังมา ?

ในโลกของการอ่าน หนอนหนังสือที่เกิดในยุคเบบี้บูม จนมาถึงยุคเจเนอเรชั่นวาย ยังคงพิสมัยการอ่านหนังสือที่ทำด้วยกระดาษ จนไม่น่าแปลกใจว่า แม้ในศตวรรษที่ 20 หลังจากที่โทรทัศน์เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันแล้วมีการทำนายว่า คนจะเลิกอ่านหนังสือ แต่หนังสือ(กระดาษ)ก็ยังเป็นสื่อที่ผู้คนเสพกันอยู่เป็นปกติ
แต่พอเข้าสู่ช่วงศตวรรษที่ 21 ไม่ถึง 10 ปี ความเคลื่อนไหวทางการอ่านของคน (โดยเฉพาะคน Gen X และ Gen Y ที่หลงใหลเทคโนโลยีใหม่ ๆ) เปลี่ยนไป พวกเขาใช้เวลากับการอ่านหนังสือในโลกของอินเทอร์เน็ตมากขึ้นกว่าเดิม
พวกเขาติดตามข่าวสารผ่านหนังสือพิมพ์ออนไลน์ แมกาซีนออนไลน์ ไปจนถึงหนังสืออิเล็กทรอนิกส์อย่างเป็นล่ำเป็นสัน ทำให้ชวนคิดไปว่า ในอนาคตวิธีการอ่านหนังสือที่ผลิตจากแท่นพิมพ์ที่มีมาตั้งแต่สมัยโยฮัน กูเทนเบิร์ก
ผู้ผลิตแท่นพิมพ์ในยุคแรกสมัยศตวรรษที่ 15 จะเปลี่ยนแปลงเป็นการอ่านหนังสือผ่านเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์หรือเปล่า
โลกหลังยุคหนังสือกระดาษ (post book era) ใกล้จะมาถึงหรือยัง ? หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) มาแรงขนาดไหน ? DLife ฉบับนี้จะพาไปอัพเดตกันว่า โลกหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เขาเคลื่อนไหวกันถึงไหนแล้ว
Google Editions
คลัง E-book ขนาดยักษ์
หากเว็บไซต์ยักษ์ใหญ่ที่มีคนเข้าไปชมมากที่สุดในโลกอย่าง
กูเกิล (คนเข้าชม 844 ล้านคน) จะเข้ามาจับในเรื่องการทำ
คอนเทนต์หนังสือดิจิทัลก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตื่นตะลึงเท่าไรนัก เพราะด้วยความที่เขามีเครื่องมือดี ๆ อย่างเสิร์ชเอ็นจิ้น คงจะทำให้เหล่าเด็ก geek (คนหมกมุ่นกับการใช้อินเทอร์เน็ต) เข้าถึงข้อมูลตรงนี้ได้ไม่ยากนัก
กูเกิลเริ่มโครงการนี้มาตั้งแต่ปี 2004 แต่ที่สร้างความฮือฮาให้ก็คือ เขาแถลงข่าวในงานหนังสือแฟรงก์เฟิร์ตที่ประเทศเยอรมนี (งานหนังสือที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก) เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่าจะเปิดตัวบริการใหม่ล่าสุดในนาม Google Editions เพื่อให้บริการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์หรืออีบุ๊ก (E-book) แก่ชาวอินเทอร์เน็ตทั่วโลก โดยภายในครึ่งแรกของปีหน้า ทางกูเกิลตั้งใจว่าจะสแกนหนังสือเข้า Google Editions ให้ได้ 400,000-600,000 เล่ม โดยทางกูเกิลยืนยันมาว่า การทำธุรกิจครั้งนี้จะไม่มีการฮุบตลาดอย่างแน่นอน แต่จะเน้นเป็นพันธมิตรช่วยขาย โดยจะแบ่งส่วนแบ่งให้ทั้งสำนักพิมพ์และร้านหนังสือออนไลน์ที่มีอยู่แล้วในตลาด
กูเกิลจะแบ่งรายได้ยอดขายหนังสือกับทั้งค่ายสำนักพิมพ์และร้านหนังสือออนไลน์ โดยหากเป็นหนังสือที่มีการซื้อจาก
กูเกิลโดยตรง รายได้จากการขายจะเป็นของสำนักพิมพ์ 63% ที่เหลืออีก 37% เป็นของกูเกิล หากเป็นหนังสือซึ่งขายผ่านร้านค้าปลีกอย่าง Amazon, Sony หรืออื่น ๆ สำนักพิมพ์จะได้ส่วนแบ่ง 45% ขณะที่ร้านค้าปลีกได้รับไป 55%
ไม่รู้ว่าโครงการของกูเกิลจะเวิร์กหรือไม่ แต่เท่าที่ผ่านมา มีกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับโมเดลธุรกิจของกูเกิลมากมาย โดยเฉพาะกลุ่มนักเขียนและสำนักพิมพ์ ซึ่งแม้ว่ากูเกิลจะยืนยันว่า "ไม่ได้ปิดกั้นให้ผู้บริโภคซื้อหนังสือในบริการของกูเกิล แต่ผู้บริโภคทั่วโลกจะสามารถซื้อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ได้จากร้านหนังสือออนไลน์ทุกค่าย เช่น Amazon และ Barnes & Noble" แต่ฐานะที่กูเกิลพยายามบุกเบิกตลาดนี้ ก็อดคิดไม่ได้ว่า ในอนาคตจะเกิดการผูกขาดทางธุรกิจ E-book หรือเปล่า ?
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ หนังสือส่วนหนึ่งที่กูเกิลนำไปสแกนเป็นหนังสือที่ไม่มีลิขสิทธิ์ ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่า การทำเช่นนี้เป็นประโยชน์ต่อกูเกิลฝ่ายเดียวหรือไม่ ?
ด้วยเหตุนี้ การประท้วงโครงการของกูเกิลจึงเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในฝั่งยุโรป จนในที่สุดกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐได้ร้องเรียนให้กูเกิลทบทวนโครงการนี้
แม้จะถูกหยุดยั้งไปบ้าง แต่แน่นอนว่า กูเกิลต้องกลับมาใหม่แน่
Kindle หมัดเด็ดของ Amazon
ชื่อของ Kindle ในบ้านเรา อาจจะยังค่อนข้างใหม่ แต่สำหรับต่างประเทศ ตอนนี้เครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เจ้านี้ น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของเว็บไซต์ขายหนังสือชื่อดังอย่างอะเมซอนยิ่งน่าสนใจ เพราะในตอนนี้มี
E-book ที่ Kindle สามารถโหลดได้จาก Kindle Store มีจำนวนมากถึง 330,000 เล่มเลยทีเดียว
นอกจากนี้แล้ว Kindle ยังขยายฟังก์ชั่นของตัวเองไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ อย่างเช่น Kindle สำหรับไอโฟนและไอพอดทัช
แต่หลังจากที่มีงานเปิดตัว Windows 7 ของไมโครซอฟท์ อะเมซอนก็ประกาศว่าจะทำโปรแกรมสำหรับอ่านหนังสือที่ขายใน Kindle Store บน Windows แล้ว นั่นหมายความว่า นักอ่านที่ใช้คอมพิวเตอร์ที่มีโปรแกรม Windows XP, Vista และ 7 สามารถเข้าถึง E-book ได้อย่างสบาย ๆ
นอกจากนี้ ขอบเขตในการโหลดหนังสืออ่านของ Kindle ยิ่งกว้างไกลขึ้น เมื่ออะเมซอนเปิดตัว Kindle ที่ผู้ใช้เครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์นี้ เมื่อท่องเที่ยวไปต่างประเทศสามารถที่จะดาวน์โหลดหนังสือผ่าน Kindle Store…
ตามดูต่อไปก็แล้วกัน ว่า Kindle จะมีอะไรให้เราฮือฮากันอีก
สำรวจตลาด E-book device หลากสายพันธุ์
กลยุทธ์ทางการตลาดที่เราคุ้นเคยกันดีในสินค้าจำพวกอิเล็กทรอนิกส์ก็อย่างเช่น ดีไซน์ที่ต้องโดนใจคนยุคไซเบอร์พังก์ที่เน้นความเท่ เบา และบางเฉียบ หรือพวกฟังก์ชั่นเสริมมากมาย สามารถที่จะถ่ายรูป ดูหนัง ฟังเพลงได้ หรือมีส่วนบันทึกความทรงจำที่มีความจุสูง
สินค้าอย่างเครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book device) ก็หนีไม่พ้นคุณลักษณะเหล่านี้เช่นกัน แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ E-book เขาเน้นกลยุทธ์ทางด้านราคา (pricing) อย่างหวือหวา จนทำให้คนที่รักการอ่านสามารถเข้าถึง E-book ได้ด้วยราคาที่ไม่โหดร้ายมากนัก
และนี่คือ เครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์จากค่ายต่าง ๆ ที่มีออกมาให้หนอนหนังสือที่รักเทคโนโลยีแอบน้ำลายไหล
Amazon Kindle นี่คือผู้บุกเบิกการอ่าน E-book ตัวจริงเสียงจริง ปัจจุบันเครื่องอ่านหนังสือวางขายไปแล้วใน 100 ประเทศ ราคาเครื่องของ Kindle อยู่ระหว่าง 259-489 เหรียญสหรัฐ
Sony Reader โซนี่จับธุรกิจนี้ตั้งแต่ปี 2004 โดยเป็นเจ้าแรกที่ใช้เทคโนโลยีหมึกอิเล็กทรอนิกส์ (electronic ink) โดยที่ราคาเครื่องอยู่ระหว่าง 199-399 เหรียญสหรัฐ โดยคาดว่าเร็ว ๆ นี้
โซนี่น่าจะทำเครื่องอ่านหนังสือให้ราคาถูกลงถึง 100 เหรียญสหรัฐ (3,400 บาท) เลยทีเดียว
Irex Digital Reader (IDR) เครื่องนี้เรียกเสียงฮือฮาเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ด้วยราคาเพียง 90 เหรียญสหรัฐ
Interead Cool-er รุ่นนี้เด่นด้วยสีสันสะดุดตา สามารถเข้าถึงหนังสือได้ถึง 1.8 ล้านเล่มเลยทีเดียว ที่สำคัญ หนังสือบางส่วนสามารถโหลดได้ฟรีจากกูเกิล (หนังสือจำพวกไม่มีลิขสิทธิ์)
นอกจากนี้ยังมีเครื่องอ่านหนังสือของ Elonex eBook, Fujitsu FLEPia, Bookeen Cybook และ Plastic Logic eReader โดยที่ส่วนแบ่งการตลาดของเครื่องอ่านหนังสือในขณะนี้ Amazon Kindle ได้รับเค้กก้อนใหญ่ที่สุด 45% ฝั่ง Sony Reader ได้รับส่วนแบ่งตามมา 30% ส่วนอีก 25% เป็นของเจ้าอื่นที่เหลือ
ถึงเวลาที่ E-book จะเข้ามายึดครองตลาดการอ่านหรือยัง ?
ตอนนี้ถึงยุคที่ผู้คนหันหน้าออกจากหนังสือแล้วหันหาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์แล้วใช่ไหม ? คำตอบในตอนนี้คือ "ไม่" เหตุผลคือ เมื่อมองขนาดตลาดของทั้ง 2 อย่างเปรียบเทียบกัน จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า แม้ตลาด E-book ในปี 2008 จะเติบโตจากปี 2007 ถึง 68% แต่ในปีนั้น E-book ขายได้เพียง 113 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น ซึ่งเทียบไม่ได้กับตลาดหนังสือธรรมดาที่ปีที่แล้วมีมูลค่าถึง 24,300 ล้านเหรียญสหรัฐ
เว็บไซต์ที่ขายหนังสือชื่อดังอย่าง Amazon ก็เป็นเว็บไซต์ที่มีคนเข้าชมมากที่สุดเป็นอันดับ 9 ของโลก (นับจนถึง มิ.ย. 2009)
หนังสือหลายเล่มที่ออกมาใหม่ก็กลายเป็นหนังสือทอล์ก
ออฟเดอะทาวน์อยู่เสมอ เมื่อเดือนกันยายน 2009 หนังสือ The Lost Symbol หนังสือใหม่ของแดนบราวน์ก็สร้างสถิติใหม่ กลายเป็นหนังสือวรรณกรรมผู้ใหญ่ที่ขายได้เร็วที่สุดในโลก ในวันเปิดตัว ขายได้ถึง 1 ล้านเล่มเลยทีเดียว (ดูรายละเอียดได้ในคอลัมน์ The Way Out หน้า 22) หรืออย่างหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่ผลักดันให้ เจ. เค. โรว์ลิ่ง ผู้เขียนวรรณกรรมพ่อมดเรื่องนี้ กลายเป็นผู้ร่ำรวยเป็นอันดับที่ 144 ของอังกฤษ จากหนังสือพิมพ์ซันเดย์ ไทมส์
ฟังดูแล้ว หากไม่เชื่อว่าผู้คนยังเลือกที่จะอ่านหนังสืออยู่ ลองถามคนข้างกายคุณสิ ว่าระหว่างการอ่านหนังสือ E-book กับการสัมผัสหมึกอุ่น ๆ ในหนังสือจริง เขาเลือกอย่างไหน ?
ข้อมูลจาก – www.google.com, www.time.com, besttabletreview.com, en.wikipedia.org, www.teleread.org, mediadecoder.blogs.nytimes.com, www.blognone.com
(หน้าพิเศษ D-Life)
คอลัมน์ STORY
โดย ทีมงาน DLife
วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4158
จาก : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ