Poetry, Language, Thought

เท่าๆ กับที่ผมอยากรู้ว่าฟูโกต์จะคิดยังไงกับเรียลิตีทีวีและโรคเอดส์ ปฏิกิริยาที่ไฮแดกเกอร์มีต่ออินเตอร์เนตและโลกาภิวัฒน์ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ไฮแดกเกอร์คร่ำครวญถึงโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วย "การกำจัดระยะห่างอย่างบ้าคลั่ง" พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่า "ไม่คิดหรอกหรือว่าการที่เราย่นย่อทุกอย่างให้เข้ามาประชิดติดกันหมด มันผิดธรรมชาติเสียยิ่งกว่าการที่ทุกอย่างระเบิดกระจายตัวออกจากกันเสียอีก"
ต้องไม่ลืมว่า "โลกปัจจุบัน" ของไฮแดกเกอร์คือปี 1950 ในยุคนั้น มนุษย์ยังรับ "ข้อมูลฉับพลัน" ด้วยสัญญาณ "วิทยุ" พืช สัตว์ และอารยธรรมจากท้องถิ่นแดนไกลถูกนำมาเสนอให้ผู้คนรับชมผ่าน "แผ่นฟิล์ม" (ซึ่งต้องเสียเวลาล้าง ไม่นับระยะทางที่ใช้ในการขนส่งแผ่นฟิล์มข้ามประเทศ) ในทางตรงกันข้าม ก่อนที่ผมจะเขียนบทวิจารณ์ชิ้นนี้ รุ่นน้องคนหนึ่งเข้ามาบ่นใน facebook เมื่อ 7 นาทีที่แล้วว่า ขณะนี้คอนเสิร์ตในเกาหลีของนักร้องวงที่เธอชื่นชอบจบไปตั้ง 2 ชั่วโมงแล้ว เมื่อไหร่จะมีแฟนๆ เอาคลิปที่ถ่ายในคอนเสิร์ตขึ้นมาปะบน youtube เสียที
ถึงได้บอกว่า อยากรู้ชะมัด ไฮแดกเกอร์จะรับมือกับโลกสมัยใหม่นี้ได้อย่างไร
Poetry, Language, Thought รวบรวมบทความและบทบรรยายของไฮแดกเกอร์ ส่วนใหญ่จะถูกเขียนขึ้นระหว่างปี 1950 ถึง 1955 ยกเว้น The Origin of the Work of Art[1] บทความเดียว ถูกเขียนในปี 1935 บทความนี้น่าจะเป็นต้นกำเนิดของแนวคิดและบทความอื่นๆ ที่ตามมาในเล่ม ถึงจะมีคำว่า "บทกวี" แต่เราไม่อาจเรียก Poetry, Language, Thought ว่าเป็นหนังสือสุนทรียศาสตร์ (ปรัชญาแห่งความงาม) ได้อย่างเต็มปาก ไฮแดกเกอร์ย้ำอยู่บ่อยๆ ว่า "ศิลปะคือการกลายเป็นและกำเนิดขึ้นของความจริง" ดังนั้นเป้าหมายของหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ช่วยให้คนอ่านเข้าใจความงาม แต่เป็นการใช้ศิลปะอธิบายตัวตนของสรรพสิ่งตามความเป็นจริงต่างห่าง ศิลปะ สำหรับไฮแดกเกอร์ ไม่ใช่ "สิ่งของ" (thing) ที่กอปรด้วยความงามแต่เป็น "สิ่งของ" เท่านั้น[2] และคุณค่าของ "สิ่งของ" คือช่วยให้มนุษย์สดับถึงความจริง
ไฮแดกเกอร์ให้ความสำคัญกับ "พื้นที่" เหนือสิ่งอื่นใด พื้นที่คือต้นกำเนิดของตัวตน งานศิลปะเป็นพื้นที่สังสรรระหว่าง "โลก" (world) และ "พิภพ" (earth) โลกคือผลลัพท์จากการทำงานของศิลปิน ส่วนพิภพคือวัตถุดิบดั้งเดิมในงานศิลปะ ยกตัวอย่าง ประติมากรรม โลกคือรูปทรงที่ประติมากรปั้นแต่ง ส่วนพิภพคือดินเหนียวซึ่งประกอบเป็นรูปร่าง[3] หน้าที่ของโลกคือการ "เปิดเผย" ส่วนของพิภพคือการ "ปกปิด" “โลกคือการเปิดเผยเส้นทางการตัดสินใจ ที่กำหนดชี้ชะตามนุษย์ในประวัติศาสตร์ พิภพคือการย่างก้าวเข้ามาอย่างกระทันหันของสิ่งแปลกแยก ดังนั้น [พิภพ] จึงปกป้องและปกปิด" ศิลปะคือเวทีแห่งการต่อสู้ระหว่างพิภพและโลก และผลลัพท์ของการต่อสู้นั้นคือความจริงซึ่งปรากฏต่อผู้ชมนั่นเอง
การ "เปิดเผย" นั้นพอเข้าใจได้ แต่เหตุใดการปรากฏของความจริงต้องอาศัยการ "ปกปิด" ด้วยเล่า
ไฮแดกเกอร์ท้าทายนิยามของความจริงที่ยึดถือกันมาแต่กรีกโบราณ ความจริงหมายถึงการสอดคล้องกันระหว่างความรู้ (truth) และข้อมูล (fact) นักปรัชญากรีก (และนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน) ค้นหาความจริงด้วยการเริ่มต้นตั้งสมมติฐาน หรือความรู้ ต่อมาตรวจสอบว่าผลการสังเกต หรือข้อมูล สอดคล้องกับสมมติฐานนั้นหรือไม่ ถ้าสอดคล้อง ความรู้ก็จะกลายเป็นความจริงขึ้นมา แต่ความจริงเช่นนี้มีคุณค่าแค่การยืนยันถูกผิดเท่านั้น ไฮแดกเกอร์ไม่ศรัทธาในการวัด การตรวจสอบ ที่ผู้สังเกตปักธงไว้ล่วงหน้าว่ากำลังสังเกตอะไร เพื่อจุดประสงค์ใด เฝ้ามองการเกิดหรือไม่เกิดของปรากฏการณ์ใดบ้าง[4] สำหรับไฮแดกเกอร์ ความจริงต้องบังเกิดขึ้นมาเอง ณ พื้นที่แห่งหนึ่ง
ในพื้นที่เปิดโล่ง (The Open)[5] ความจริงจะบังเกิดแก่ผู้เฝ้ามอง "ความจริงจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมันจุติอยู่บนข้อขัดแย้ง (ระหว่างการเปิดเผยและปกปิด)" ศิลปะคือเวทีแห่งการปะทะสังสรรค์ระหว่างโลก (ที่พยายามเปิดเผย) และพิภพ (ที่พยายามปกปิด) จึงเป็นพื้นที่เปิดโล่งอันเหมาะสม ที่ผู้เฝ้ามองจักประสบพบความจริง
เนื่องจากเป็นปรัชญาที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่ แนวคิดของไฮแดกเกอร์จึงดูเหมือนจะนำมาปรับใช้กับสิ่งก่อสร้างและสถาปัตยกรรมได้ดีกว่าศิลปะชนิดอื่น สถาปัตยกรรมคือศิลปะที่โยงใยกับพื้นที่ และถูกจำกัดพื้นที่ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการณ์ ส่วนงานศิลปะที่ถูกโยกย้ายไปมาได้ เช่น ภาพวาด "ต้องอยู่ในพื้นที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งถูกเปิดออกด้วยตัวผลงานเอง" ด้วยเหตุนี้ไฮแดกเกอร์จึงต่อต้านการนำงานศิลปะเข้ามาอยู่ในกระบวนการพาณิชย์ หรือเก็บสะสมไว้ในพิพิธภัณฑ์ เพราะนั่นคือการดึงงานศิลปะออกจากบริบท หรือพื้นที่ธรรมชาติของมัน[6]
แล้วงานศิลปะที่ปราศจากตัวตนและไม่มีพื้นที่ เช่น บทกวีหรือเสียงดนตรีเล่า เมื่อเราได้ยินบทกวี ภาพพจน์อันชัดเจนจะ "เรียก" (call) วัตถุในบทกวีขึ้นมาเป็นตัวเป็นตน เพียงแต่ไม่ได้ "เรียก" ออกมาต่อหน้าต่อตาเรา วัตถุถูกอุปโลกขึ้นมาที่ไหนสักแห่ง ห่างไกลออกไป ระยะห่างระหว่าง "วัตถุ" ที่ถูกเรียกและ "วัตถุ" ในบทกวี คือพื้นที่อันเปิดโล่ง (the open) นั่นเอง
ระยะห่างยังมีอีกหน้าที่หนึ่ง คือเป็นมาตรวัด "มิติ" (dimension) ของพื้นที่ที่เราอยู่อาศัย พื้นที่นี้คือภาษา วัฒนธรรม กฏหมาย ขนบธรรมเนียม สิ่งมีชีวิตที่มีตัวตน เช่น มนุษย์ อาศัยอยู่ในโลกนี้ได้ด้วยการสร้าง และก่อนเราจะสร้างอะไรขึ้นมา สิ่งแรกที่ต้องทำคือวัดขนาดพื้นที่ บทกวีคือไม้บรรทัดที่ใช้วัดภาษา วัฒนธรรม และผลิตผลอื่นๆ ทางสังคม ดังนั้นจึงเป็นปัจจัยพื้นฐานในการสร้างสรรค์ ต่อเติม และดำรงชีวิตของมนุษย์
การที่ไฮแดกเกอร์ตั้งคำถามกับโลกที่ไร้ระยะทาง แต่ไม่มีอะไรสักอย่างอยู่ใกล้กันเลย ทำให้หนังสือเล่มนี้ล้ำสมัยเอามากๆ ยิ่งตอนนี้การปฏิรูปกฏหมายลิขสิทธิ์ในประเทศอเมริกา เอื้อให้การเผยแพร่ผลงานศิลปะทางอินเตอร์เน็ตกลายเป็นมาตรฐานใหม่ทางวัฒนธรรม อินเตอร์เน็ตทำลายพื้นที่ของงานศิลปะ หรือว่าเป็นงานศิลปะต่างหากที่เปิดพื้นที่ใหม่ในโลกแห่งข้อมูลข่าวสาร
นั่นคือคำถามซึ่งไฮแดกเกอร์ฝากทิ้งไว้ให้คนอ่าน พวกเราทุกคน
[1] อาจารย์พิพัฒน์ พสุธารชาติเขียนถึงบทความนี้อย่างละเอียดในหนังสือ ความจริงในภาพวาด โดยสำนักพิมพ์วิภาษา
[2] สำหรับไฮแดกเกอร์ คำตรงข้ามของสิ่งของจึงไม่น่าใช่ "ความว่างเปล่า" (nothing) แต่เป็น "รูป" (representation) หรือสิ่งสมมติของสิ่งของต่างหาก จึงไม่น่าแปลกใจที่ไฮแดกเกอร์จะต่อต้านวิทยาการการสื่อสารที่พยายามเอา "รูป" มาแทนที่ "สิ่งของ"
[3] ความคิดของไฮแดกเกอร์คล้ายคลึงปรัชญาวิชญาณไภรวตันตระ เนื้อสารอันกอปรเป็นถ้วยชามคือวัตถุ หากรูปทรงของถ้วยชามต่างหากที่เป็นจิตวิญญาณ
[4] ความคิดของไฮแดกเกอร์สอดคล้องกับทฤษฎีความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก เพื่อนร่วมชาติ นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันในยุคเดียวกัน
[5] พื้นที่เปิดโล่ง (The Open) เป็นสถานที่จุติของความจริง มีเพียงวัตถุ พืช และสัตว์ในธรรมชาติเท่านั้นที่สามารถเข้าไปข้างในได้ ส่วนมนุษย์ผู้มีสติปัญญานอกจากจะถูกปฏิเสธแล้ว มิหนำซ้ำหลายคนยังหันหลังให้กับพื้นที่เปิดโล่งด้วย
[6] กระนั้นก็ตาม ศิลปินยุคใหม่ตั้งคำถามกับพื้นที่ธรรมชาติของงานศิลปะ ดูชองสร้างงานศิลปะเพื่อการนำเข้าไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์แต่แรก เช่นเดียวกับแอนดี วาฮอล สร้างงานศิลปะเพื่อป้อนตลาดโดยเฉพาะ
ภาณุ ตรัยเวช