Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

Paul Harding นักเขียนรางวัลพูลิตเซอร์ปี 2010

 

 
รางวัลพูลิตเซอร์สาขานวนิยาย 2010 ตกเป็นของนักเขียนม้านอกสายตา ซึ่งเพิ่งมีนวนิยายออกมาเป็นเล่มแรก จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์อิสระขนาดเล็กแห่งหนึ่ 
 
จำนวนการพิมพ์ไม่ได้มีจำนวนมากมาย แทบจะเรียกได้ว่าพิมพ์ออกจำหน่ายในวงแคบๆ โดยไม่ได้หวังผลกำไรทางการพาณิชย์ 
 
Tinkers นวนิยายเรื่องแรกและผลงานเล่มแรกของ พอล ฮาร์ดิง (Paul Harding) สร้างความประหลาดใจกับผู้ที่รอฟังผลรางวัลพูลิตเซอร์สาขานวนิยายเป็นอย่างมาก หลังจากคณะกรรมการตัดสินให้ได้รับรางวัล พร้อมเงิน 10,000 ดอลลาร์ Tinkers จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Bellevue Literary Press ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ที่ก่อตั้งมาได้ 5 ปี และอยู่ในสังกัดวิทยาลัยการแพทย์ของมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก กรรมการท่านหนึ่งพูดถึง Tinkers ว่าทำให้เห็นถึงการสดุดีพลังแห่งชีวิตของพ่อและลูกชายคนหนึ่ง โดยเล่าผ่านความเจ็บปวด ความสุข ชีวิตที่ถูกจองจำในคุก เสนอหนทางออกของชีวิตผ่านการเรียนรู้เพื่อเข้าใจโลกและความไม่เท่าเทียม 
 
สำหรับปี 2010 ผลงานที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ด้านหนังสือ บทละคร และดนตรี ได้แก่ Lords of Finance : The Bankers Who Broke the World (สำนักพิมพ์ The Penguin Press) สาขาประวัติศาสตร์ ผลงานของ Liaquat Ahamed, Next to Normal สาขาบทละคร ดนตรีโดย Tom Kitt หนังสือและเนื้อร้องโดย Brian Yorkey, The First Tycoon: The Epic Life of Cornelius Vanderbilt สาขาชีวประวัติ โดย T.J. Stiles (สำนักพิมพ์ Alfred A. Knopf), Versed สาขากวีนิพนธ์ โดย Rae Armantrout (สำนักพิมพ์ Wesleyan University Press), The Dead Hand: The Untold Story of the Cold War Arms Race and Its Dangerous Legacy สาขาสารคดีทั่วไป โดย David E. Hoffman (สำนักพิมพ์ Doubleday) และ Violin Concerto สาขาดนตรี โดย Jennifer Higdon (สำนักพิมพ์ Lawdon Press) และยังมีผู้ได้รับรางวัลด้านสื่อสารมวลชนอีก 14 สาขา 
 
ฮาร์ดิงให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ ยูเอสเอ ทูเดย์ ว่ารู้สึกประหลาดใจที่ตัวเองเป็นผู้ชนะเลิศบนเวทีพูลิตเซอร์ "ผมไม่คิดว่าตัวเองจะได้รางวัล นวนิยายเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือดัง และพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เล็กๆ ที่ขายกันแบบปากต่อปาก หลังจากได้รับรางวัลทำให้ผมรู้สึกอิสระมากขึ้นที่จะทำในสิ่งที่ผมรักต่อไป" เมื่อปี 1981 สำนักพิมพ์เล็กๆ อย่าง Louisianna State University เป็นสำนักพิมพ์ขนาดเล็กแห่งแรกที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์จากผลงานชื่อ A Confederacy of Dunces ของ John Kennedy Toole 
 
Tinkers นำเสนอวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของชายคนหนึ่ง ซึ่งกำลังจะเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งและไตล้มเหลว ชายผู้นี้นอนอยู่ในห้องของตัวเอง แล้วเห็นกำแพงรอบห้องกำลังพังลงมา เมฆและท้องฟ้าถล่มลงมาที่ตัวเอง เขาเกิดภาพหลอน จนกระทั่งหลุดพ้นจากห้วงเวลาและความทรงจำนั้น แล้วได้พบกับพ่อซึ่งเป็นพ่อค้าเร่ผู้ยากไร้ ซึ่งอยู่ห่างไกลในเมืองไมน์ 
 
 
ฮาร์ดิง นักเขียนชาวอเมริกัน มีผลงานเรื่อง Tinkers ตีพิมพ์เมื่อปี 2009 เมื่อก่อนเขาเคยเป็นมือกลองให้กับวง Cold Water Flat ตั้งแต่ปี 1990-1997 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก University of Massachusettes เมือง Amherst และปริญญาโทจากการเข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการนักเขียนของไอโอวา ปัจจุบันสอนการเขียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยแห่งไอโอวา เขาเติบโตและมีชีวิตอยู่ที่นอร์ธชอร์ เมืองบอสตัน ช่วงวัยเด็กมีชีวิตคลุกคลีอยู่กับธรรมชาติ ทำให้หลงรักธรรมชาติมาจนถึงทุกวันนี้ คุณตาของเขาเป็นช่างซ่อมนาฬิกาและเขาได้มีโอกาสฝึกงานซ่อมนาฬิกากับคุณตา ประสบการณ์ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจในการเขียนนวนิยายเรื่อง Tinkers 
 
เขาเล่าถึงชีวิตวัยเยาว์และความผูกพันกับคุณตาว่า "ทุกปี คุณตาต้องพาหลานๆ เข้าไปในป่า ส่วนมากพวกเราหมดเวลาไปกับการตกปลา ช่วงที่ตกปลาเป็นช่วงเวลาที่สันโดษ ได้อยู่กับตัวเอง แม้ในเดือนสิงหาคมจะมีหมอกในตอนเช้า และมีเวลาเพียงแค่ห้าสัปดาห์ นี่แหละคือสัจธรรมที่ว่าไม่มีไฟฟ้าและชักโครกที่นี่ พอฤดูหนาวมาเยือน คุณต้องคุกเข่าและอธิษฐานขอให้ฤดูใบไม้ผลิเข้ามาแทนที่" 
 
 
หลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เขาออกเดินสายเล่นดนตรีไปกับวง Cold Water Flat ทั้งในสหรัฐและยุโรป ขณะเดียวกันฮาร์ดิงก็เป็นนักอ่านตัวยง ชื่นชอบงานเขียนของคาร์ลอส ฟูเอนเทส (Carlos Fuentes) นวนิยายเรื่อง Terra Nostra ตราตรึงและสร้างความประทับใจจนทำให้รู้สึก ว่าการเขียนนวนิยายให้ได้แบบนี้คือสิ่งที่เขาต้องการทำให้ได้ เพราะ Terra Nostra ทำให้เขาเห็นองค์รวมของโลกและประวัติศาสตร์ 
 
 
เมื่อการเดินทางออกแสดงคอนเสิร์ตเสร็จสิ้นลง พอมีเวลาว่างจึงได้สมัครเรียนการเขียนที่สคิดมอร์คอลเลจในนิวยอร์ก นี่จึงกลายเป็นโอกาสอันดีที่ทำให้เขาได้มีครูชั้นดีอย่าง มาริลีนน์ โรบินสัน ด้วยคำแนะนำและการเรียนรู้ต่างๆ จากโรบินสัน ฮาร์ดิง จึงสมัครเข้าเรียนโครงการนักเขียนของไอโอวา และผ่านการพิจารณา การศึกษาการเป็นนักเขียน ณ สถาบันแห่งนี้ นอกจากจะได้รู้จักนักเขียนมากความสามารถอย่างโรบินสัน ยังมีครูอย่างแบร์รี อันสเวิร์ธ และอลิซาเบธ แมคแครเคน เมื่อได้คลุกคลีกับครูเหล่านี้ ทำให้เขารู้ว่าบรมครูชอบเรื่องศาสนศาสตร์มาก ดังนั้น ฮาร์ดิงจึงใช้เวลาไปหลายปีในการอ่านงานประเภทศาสนศาสตร์ เทววิทยา และอ่านงานเขียนประเภทนี้ของคาร์ล บาร์ธ และจอห์น คาลวิน สิ่งต่างๆ ที่เขาได้เรียนรู้ ล้วนมาจากการแสวงหาด้วยตนเอง เพื่อให้รู้แจ้งในแต่ละอย่าง 
 
 
มาริลีนน์ โรบินสัน ครูและนักเขียนรางวัลพูลิตเซอร์คนก่อน พูดถึงงานเขียนของลูกศิษย์ที่เพิ่งได้รับรางวัลพูลิตเซอร์มาหมาดๆ ว่า "Tinkers เป็นนวนิยายที่พิเศษที่สุด ที่พวกเราและนักอ่านพึงอ่าน เป็นชิ้นงานที่เหมือนของขวัญอันทรงคุณค่า ทำให้เห็นมายาภาพของคนที่ใกล้ตาย ซึ่งจับความรู้สึกของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่" 
 
ปัจจุบันฮาร์ดิงไม่ได้แตะกลอง และเล่นดนตรีอีกเลย เขาเล่นดนตรีครั้งสุดท้ายให้กับแมรี ลู ลอร์ด ระยะเวลา 10-12 ปีที่เป็นมือกลอง เมื่ออายุมากขึ้นจึงคิดว่าให้ลูกชายที่กำลังโตเล่นจะดีกว่า แต่ใช่ว่าห่างจากกลองแล้วฝีมือเขาจะตก เขากลับตีกลองได้ดีกว่าเดิมเสียอีก และเมื่อได้มาจับปากกาเขียนหนังสือ ทำให้เห็นถึงความแตกต่าง จากเมื่อก่อนที่จะเป็นมือกลองของวงดนตรีร็อค ที่ต้องทนกับเสียงที่ดังกว่า 125 เดซิเบล ส่วนการเขียนหนังสือกลับเป็นงานที่นั่งเงียบๆ หน้าคอมพิวเตอร์ แน่นอนว่ามีความแตกต่างกันอย่างมาก งานแรกเป็นงานที่เสียงดังและอยู่ต่อหน้าธารกำนัล ส่วนอีกงานอยู่กับตัวเอง แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือทั้งสองงานเป็นงานที่ต้องใช้ความคิดในการสร้างสรรค์ และเป็นงานศิลปะเหมือนกัน 
 
"ผมคิดว่าผมเอาดีทางการเป็นนักเขียนดีกว่ามือกลอง ผมมีความอดทนกับการเขียนมากกว่าเป็นมือกลองนิดหน่อย และเวลาที่ผมว่างจากงานเขียน มันก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ผมต้องอ่านหนังสือ การอ่านก็เหมือนเครื่องปรุงที่ผมเติมลงในหม้อ แล้วเคี่ยวให้ทุกอย่างได้รสได้ชาติ" 
 
ฮาร์ดิงอยู่ระหว่างการเขียนเรื่องสั้น และเลือกเมืองที่อยู่เป็นสถานที่ของเรื่องสั้นที่กำลังเขียน เรื่องสั้นเรื่อง Miss Hale ติดหนึ่งในร้อยเรื่องสั้นที่ดีที่สุดของอเมริกา (Best American Short Stories) และได้รับการจัดพิมพ์โดยที่นักเขียนเองก็ไม่ทราบว่าผลงานเรื่องสั้นของตัวเองได้รับการตีพิมพ์ จนกระทั่งลูกศิษย์คนหนึ่งมาแสดงความยินดีกับฮาร์ดิง เขาถึงรู้เรื่องดังกล่าว การที่ผลงานของเขาไม่ได้ออกมาถี่เหมือนนักเขียนคนอื่น เป็นเพราะความละเอียดรอบคอบในการทำงาน และความสนใจที่เขามีต่องานภูมิทัศน์ของเมืองนอร์ธชอร์สถานที่ที่เขาเกิด ซึ่งมีเขตอนุรักษ์ป่าหลายแห่ง ฮาร์ดิงชอบไปเดินป่าทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภูมิประเทศและแสงของป่าหลายแห่ง ทำให้เขาลุ่มหลง ทุกปีจะต้องไปนอนในป่าเป็นเวลาสองสัปดาห์ ดังนั้น รวมเรื่องสั้นคงจะมีออกมาให้ได้อ่านกันอีกในสองปีข้างหน้า 
 
ฮาร์ดิงพูดถึงกระบวนการทำงานของ Tinkers นวนิยายเรื่องแรกว่า "ผมใช้เวลานานมาก เวลาทำเพลง ผมไปอัดเสียงและมิกซ์ดนตรี พอได้ตัวงานมาแล้วก็จำหน่ายได้เลย จากนั้นเราก็คิดงานต่อไปของอัลบั้ม หลังจากที่วางแผงอัลบั้มแรกออกไป แต่การเขียนหนังสือและการจัดพิมพ์ต่างจากการทำเพลง สำหรับ Tinkers ผมไม่คิดว่าจะได้พิมพ์ด้วยซ้ำไป พอผมเขียนเสร็จก็เก็บไว้ที่โต๊ะ และคิดไปว่าทุกวันนี้อะไรก็เป็นการค้าการขาย ถ้าผมเอาไปยื่นเสนอสำนักพิมพ์ที่ทำแบบธุรกิจคงไม่ผ่านการพิจารณา จนได้จัดพิมพ์เป็นแน่ ผมจึงขอขอบคุณอีริกา โกลด์แมน และ Bellevue Literary Press ที่บอกผมว่าหนังสือแบบนี้แหละที่สำนักพิมพ์ต้องการ ผมเป็นคนรักหนังสือ ผมไม่อยากพิมพ์ออกมาจำนวนมากๆ ผมใช้เวลาเขียนเรื่องนี้ 5-6 ปี และผมไม่เคยให้ใครอ่านเลย คนแรกที่ได้อ่านก็คือ แบร์รี อันสเวิร์ธ ซึ่งสอนการเขียนและเป็นครูของผมที่ไอโอวา ผมยังติดต่อและไปมาหาสู่ครูคนนี้เสมอ ส่วนอีริกาเป็นคนที่สองที่ได้อ่าน และปกหนังสือเล่มนี้ผมชอบมากครับ ทำให้ผมนึกไปถึงว่า นี่แหละครับที่ผมเขียนทั้งหมด!" 
 
แม้ พอล ฮาร์ดิง จะเป็นม้านอกสายตามาเนิ่นนาน หลังจากพิชิตรางวัลพูลิตเซอร์ 2010 เชื่อแน่ว่าผลงานนวนิยายเล่มแรกของเขา ยอดจะกระเตื้องขึ้นมา และทำให้สำนักพิมพ์เล็กอีกหลายแห่งที่ผลิตงานคุณภาพ ผลิตงานในแบบที่ไม่สนองตลาดขนาดใหญ่ ได้มีความหวังและเป็นกำลังใจให้แก่การทำงานของพวกเขาต่อไป 0 
 
 
 
โดย : นงค์ลักษณ์ เหล่าวอ nonglakspace@gmail.com 
Life Style : Read & Write 
วันที่ 18 พฤษภาคม 2553