Opus 50 ‘ S.P. SOMTOW

แม้ชื่อเสียงและผลงานของ S.P. SOMTOW หรือนามปากกาของ สมเถา สุจริตกุล จะโด่งดังอยู่ในระดับสากล แต่สำหรับนักอ่านชาวไทยอาจยังไม่ค่อยได้รู้จักผลงานของเขามากนัก เนื่องจากบทประพันธ์ของเขาได้รับการแปลเป็นภาษาไทยเพียงแค่ไม่กี่เรื่อง ได้แก่ กาฬปักษี, สุสานใต้ดวงดาว (นวนิยาย), ร่างหลอน, ใบหน้ามรณะ (รวมเรื่องสั้น) และเมืองแก้ว (วรรณกรรมเยาวชนแฟนตาซี) ทั้งหมดเป็นฝีมือการแปลของ ถ่ายเถา สุจริตกุล คุณแม่ของเขานั่นเอง
ล่าสุดเขามีงานเขียนเล่มใหม่ออกมาชื่อ Opus 50 เป็นผลงานลำดับที่ 50 ของ S.P. SOMTOW โดยเป็นการรวบรวมบทความที่เคยตีพิมพ์ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งยังไม่เคยได้รับการจัดรวมเล่มที่ใดมาก่อน เพื่อบอกเล่าเรื่องราวความเป็นคนไทย ความสามารถของคนไทย ที่เขาเขียนให้กับต่างชาติได้อ่าน สำหรับผู้อ่านคนไทยที่มิได้เคยอ่านบทความของเขาก็จะได้เห็นถึงรูปแบบในการเขียนที่มีสีสันและน่าสนใจ
พร้อมกันนี้ทางเอเซียบุ๊คส์ยังได้จัดงานนิทรรศการ S.P. Somtow's publication from the 1st to now "Opus 50th" เพื่อรวบรวมงานวรรณกรรมของเขาตั้งแต่เล่มแรกจนถึงเล่มล่าสุด 'Opus 50' มาจัดแสดงเมื่อวันที่ 21-28 มีนาคมที่ผ่านมา ณ ร้านเอเซียบุ๊คส์ สาขาสยามพารากอน ซึ่งบางเล่มเป็นเล่มที่ทำให้ S.P. SOMTOW ได้รับรางวัล และบางเล่มไม่สามารถหาซื้อได้ในปัจจุบัน
S.P. SOMTOW เป็นนามปากกาของ สมเถา สุจริตกุล นักวาทยากร คีตกร นักประพันธ์เพลงคลาสสิก ผู้กำกับภาพยนตร์ และนักเขียนผู้มีชื่อเสียงเป็นสากลคนหนึ่งของเมืองไทย เขาได้รับสมญานามจากหนังสือพิมพ์ International Herald Tribune ว่า 'The most well-known expatriate Thai in the world' เนื่องจากมีผลงานด้านวรรณกรรมมากมาย อาทิเช่น นิยายวิทยาศาสตร์ที่มีกลิ่นอายเป็นเอเชีย ซึ่งเขียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ และได้รับรางวัลเกียรติคุณมากมายในต่างประเทศ
ผลงานที่สำคัญ ได้แก่ Jasmine Nights, Aquilard กับ Absent Thee From Felicity Awhile (ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล John W.Campbell และรางวัล Hugo), Starship & Haiku (ได้รับรางวัล Locus Award), เรื่องสั้น The Dust (ได้รับรางวัล Edmund Hamilton Memorial Award ในปี 2525), เรื่องสั้นชุด Inquestor เรื่องศูนย์การค้าในอวกาศ Mallworld, ชุด Aquiiad, นวนิยายเรื่อง Starship & Haiku, รวมเรื่องสั้นชุด Fire From The Wine-Dark Sea, นวนิยายเรื่อง The Darkling Wind (ติดอันดับ Locus Bestseller)
นอกจากนี้ยังมีผลงานเขียนแนวอื่นๆ ได้แก่ นวนิยายสำหรับวัยรุ่นเรื่อง The Fallen Country, Forgetting Places ซึ่งเป็นหนังสือยอดเยี่ยมที่วัยรุ่นนิยมสูงสุดของประเทศสหรัฐอเมริกา, นวนิยายประเภทเขย่าขวัญเรื่อง Vampire Junction, นวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่อง The Shattered Horse, เรื่อง The Bird Catcher (เหมือนนกไร้รังเร่) ได้รับรางวัล World Fantasy Award ปี 2545 และผลงานเล่มล่าสุด Opus 50 นั่นเอง
ต่อไปนี้เป็นการพูดคุยกับ S.P. SOMTOW นักเขียนระดับอินเตอร์ ระหว่างงานเปิดตัวหนังสือ Opus 50 ผลงานลำดับที่ 50 ของเขา
>เล่มล่าสุดนี้ต้องการเผยแพร่ความเป็นไทยให้คนต่างชาติได้รับรู้และได้อ่าน?
ใช่ครับ แต่ในขณะเดียวกันก็จะบอกถึงความเป็นฝรั่งให้คนไทยรับรู้ด้วย คือผมเป็นคนที่มาจากสองวัฒนธรรมและตลอดชีวิตของผมต้องมีหน้าที่จะต้องอธิบายวัฒนธรรมหนึ่งให้อีกวัฒนธรรมหนึ่ง ทำอย่างนี้มาตลอดชีวิต และนี่เป็นครั้งแรกที่เอาบทความบางเรื่องที่เขียนในอเมริกาซึ่งอธิบายเรื่องของคนไทย และเขียนในเมืองไทยที่อธิบายเรื่องของอเมริกันเอามารวมกันเป็นครั้งแรกโดยสลับกับเรื่องสั้นบางเรื่อง ภาคนี้ตีพิมพ์ในเมืองไทย อีกเวอร์ชั่นหนึ่งตีพิมพ์ในอเมริกา ในบรรดา 50 เล่มที่ผ่านมา นี่เป็นเล่มแรกที่เปิดตัวในเมืองไทยและเจาะจงคนอ่านในเมืองไทย
>เล่มนี้จะมีการแปลเป็นภาษาไทยให้คนไทยได้อ่านบ้างไหม?
ผมบอกว่าเป็นคนในเมืองไทย ไม่ได้บอกว่าคนไทย แต่จริงๆ บทแปลตอนนี้กำลังเตรียมอยู่ จริงๆ หนังสือของผมที่แปลเป็นภาษาไทยมีจำนวนน้อยมาก ประมาณแค่ 4-5 เล่มเท่านั้นเอง และคุณแม่ผมเป็นคนแปลทั้งหมด อาทิเช่น 'มาริสาราตรี' ซึ่งเป็นเบสท์เซลเลอร์ที่ต่างประเทศก็แปลเป็นไทยและพิมพ์ไป 3 ครั้งแล้ว แต่หลายเรื่องในบรรดาเรื่องที่มีชื่อที่สุดของผมยังไม่เคยแปลเป็นไทย เช่น Vampire Junction หรือเรื่องดังๆ ของผมยังไม่มีฉบับแปล กำลังหาคนแปลอยู่ หนังสือเหล่านี้ขายไปแล้วรวมสองล้านเล่มทั่วโลก แต่ว่าในเมืองไทยขายได้แค่สองสามพันเท่านั้นเอง
>หลายๆ เรื่องได้พยายามนำเสนอความเป็นไทย?
จริงๆ ต้องการบอกถึงความเป็นฝรั่งให้คนไทยรับรู้ และบอกความเป็นไทยให้ฝรั่งรับรู้ เพราะผมเป็นทั้งคนไทยและฝรั่งคือเป็นคนมีสองวัฒนธรรมเท่ากันเลย เพราะผมจากกรุงเทพฯ ครั้งแรกเมื่ออายุ 6 เดือน เมื่ออยู่ในวัยเด็กผมใช้ชีวิตเร่ร่อนในวัฒนธรรมต่างๆ จากประเทศหนึ่งถึงประเทศหนึ่ง ผมสามารถบรรยายเรื่องราวของผู้หญิงอินเดียนอเมริกัน ผีดูดเลือด มนุษย์ต่างดาว หรือแม้แต่ปลาวาฬในนวนิยายเรื่องหนึ่งได้
>แต่ตอนนี้ใช้ชีวิตอยู่ประเทศไทย?
ผมมาอยู่เมืองไทยได้ 7 ปีแล้ว เมื่อก่อนตอนผมอายุ 6 เดือนผมไปอยู่อังกฤษ ฝรั่งเศส โปแลนด์ สหรัฐ และหลังจากนั้นมาอยู่เมืองไทย 5 ปี หลังจากนั้นก็อยู่ยุโรปกับอเมริกาหมดเลย จริงๆ หนังสือของผมทุกเล่มมันเป็นมุมมองของคนที่อยู่ข้างนอกหรือดูจากข้างนอกตลอดเวลา ไม่ว่าจะดูคนไทยหรือดูฝรั่งก็ตาม มันดูจากข้างนอกเสมอ
>ต่างประเทศเขาชื่นชมในฐานะเป็นนักเขียนเกี่ยวกับเรื่องไทยหรือฝรั่ง?
ผมเป็นนักเขียนเฉยๆ แต่บางเล่มเผอิญมีคนไทย บางเล่มเผอิญมีฝรั่ง จะเป็นอย่างนั้นมากกว่า แต่จริงๆ ถ้าไปเช็คดูนวนิยายและเรื่องสั้นของผมใน Library Congress สหรัฐ จะพบว่าเป็น fiction american เขียนไว้อย่างนั้นเฉยๆ
>ส่วนตัวมีเทคนิคการเขียนนิยายให้ติดเบสท์เซลเลอร์หรือโดนใจคนอ่านทั่วโลกบ้างไหม?
ไม่มี เพราะถ้ามีหนังสือก็ต้องขายดีกว่านี้เยอะ จริงๆ เคล็ดลับของการที่จะเป็นเบสท์เซลเลอร์ ผมรู้เคล็ดลับนี้ แต่ว่าไม่เคยใช้เอง เคล็ดลับของการเป็นเบสท์เซลเลอร์จริงๆ คือคุณจะต้องเขียนหนังสือเล่มเดียวกันเป็นสิบๆ เที่ยวตลอดชีวิต คือทุกเล่มจะต้องเหมือนกัน ไม่มีสิ่งใดที่เปลี่ยนไป เขียนเหมือนกันทุกเล่มเลย ถ้าทำแบบนั้นได้คุณจะรวยมหาศาล แต่ว่าไม่ได้เป็นนักเขียนที่ดีนะ แต่ว่าอีกร้อยปีจะมีใครจำคุณได้หรือเปล่า คงไม่มี แต่ว่ารวยแน่ คือการเป็นเบสท์เซลเลอร์กับการเป็นนักเขียนที่ดีมันไม่ได้ไปด้วยกันเสมอ นานๆ ทีถึงจะไปด้วยกัน
ปัญหาของผมคือจริงๆ แล้วผมไม่เคยเขียนหนังสือซ้ำกันเท่าไร เพราะว่าผมพยายามแล้วหลายที ผมพยายามจะเขียนหนังสือซ้ำหลายที เพราะผมรู้ว่าเป็นทางเดียวที่จะรวยได้ แต่ว่าไม่เคยสำเร็จ เพราะเขียนหนังสือซ้ำสองสามครั้งแล้วเบื่อ เปลี่ยนไปเป็นแนวอื่น คืออาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ขยันพอหรือว่าไม่เห็นว่างานเขียนหนังสือเป็นเหมือนงานก่อสร้าง ผมคิดว่าหนังสือทุกเล่มมันต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นตลอดเวลา นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ผมขายหนังสือได้เพียงแค่สองล้านเล่มทั่วโลก ในขณะที่ สตีเฟน คิง แค่เล่มเดียวขายได้ 20 ล้านเล่มแล้ว ผมเขียนมาตั้ง 50 เล่ม ขายได้แค่นี้เอง
>โด่งดังในต่างประเทศแต่ในเมืองไทยยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าไร?
อาจเป็นเพราะว่าหนังสือผมไม่ได้แปลเป็นภาษาไทย คนไทยยังไม่ค่อยรู้จัก แต่ในต่างประเทศบางเล่มก็เป็นเบสท์เซลเลอร์ รวมทั้งหมดขายได้สองล้านเล่ม ขณะที่เมืองไทยขายได้แค่สามพันเล่ม (หัวเราะ) จริงๆ หนังสือพิมพ์ International Herald Tribune เขาลงว่าผมเป็นคนไทยที่ต่างประเทศรู้จักมากที่สุดในโลก แต่จริงๆ แล้วคนไทยไม่รู้จัก
>ทั้ง 50 เล่มมันมีฉากที่เขียนถึงคนไทยและเมืองไทยมากแค่ไหน?
เยอะมาก ประมาณ 10% คือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ตัวละครเป็นคนไทย คือผมได้มีชีวิตอยู่ในหลายประเทศมาก และประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่ผมรู้จักดี เพราะฉะนั้นพอยิ่งมีอายุมากขึ้นก็ยิ่งอาศัยพื้นฐานของความเป็นคนไทยมากขึ้นไปเรื่อยๆ เรื่องเกี่ยวกับการเมืองก็มีมากเหมือนกัน เรียกว่าเป็นการเมืองทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่นหนังสือ 'เลขที่ 51' ของผมซึ่งยังไม่ออก แต่ว่าส่งโรงพิมพ์แล้ว มันเป็นหนังสือของเด็ก และมีการเมืองเยอะ เสียดสีนิดหน่อย ถ้าคุณอ่านคุณจะได้เห็นอะไรเยอะมาก แค่คำพูดบทแรกของผมก็จะเห็นได้ชัดๆ เลย
>เขียนทั้งกวี นวนิยาย เรื่องสั้น ชอบอย่างไหนมากที่สุด?
จริงๆ แล้วผมเป็นคนเขียน fiction เพราะ non-fiction เป็นสิ่งที่เขียนเพราะคนขอให้เขียน แต่ fiction มันจำเป็นต้องเขียนมากกว่า จำเป็นต้องเขียนหมายถึงนักเขียนทุกคนเขาเขียนเพราะเขาจำเป็นจะต้องเขียน ถ้าเขาไม่เขียนก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้
>เมื่อก่อนเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ด้วย?
ตอนเริ่มใหม่ๆ ก็เป็นนิยายวิทยาศาสตร์ เพราะเป็นหนังสือที่ชอบอ่านตอนเป็นเด็ก แต่ตอนนี้ออกไปแนวสยองขวัญแล้ว คือเล่มที่คนรู้จักมากที่สุดจะเป็นแนวสยองขวัญ
>รู้สึกอย่างไรกับการจากไปของ 'อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก' นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ของโลก?
น่าเสียดายมาก เพราะว่าจริงๆ ตอนนี้นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ตายไปหมดแล้วทั้ง เอช.จี.เวลส์ (H.G.Wells), ไอแซค อาซิมอฟ (Isaac Asimov) และอาร์เธอร์ ซี.คลาร์ก (Arthur C. Clarke) พวกเขาเหล่านี้เป็นคล้ายๆ กับพระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ ทุกๆ คนคิดว่าเขาเป็นคล้ายๆ 3 องค์นี้ สำคัญที่สุด สิ่งที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับโลก Science fiction คือพอเราเขียน Science fiction เป็นอาชีพ แม้ว่าจะเด็กแค่ไหนต้องรู้จักพวกนี้หมด เพราะว่าเป็นโลกที่แคบมาก ทุกคนรู้จักหมด
สำหรับผมเมื่อก่อนผมเป็นเลขาธิการของสมาคมนักแต่ง Science fiction ของโลก เลยต้องรู้จักทุกคนอยู่แล้ว อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก เป็นคนที่ช่วยผมได้มาก ตอนผมเริ่มเขียนนิยายใหม่ๆ แต่เขาอยู่ศรีลังกา เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร แต่อาซิมอฟก็ได้ช่วยผมอยู่เรื่อย และอาร์เธอร์ ซี.คลาร์กเป็นคนสุดท้ายใน 3 คนนี้ที่เสียชีวิตไป คล้ายยุคคลาสสิกมันจบไปแล้วมียุคใหม่เริ่ม
>มองนิยายวิทยาศาสตร์ยุคนี้เป็นอย่างไร?
นวนิยายวิทยาศาสตร์ยุคนี้มีวิทยาศาสตร์น้อยลงมาก เพราะวิทยาศาสตร์เองได้เปลี่ยนไปเยอะในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมา เพราะว่าตอนผมเด็กๆ วิทยาศาสตร์จะเป็นอะไรที่แบบแข็งๆ ตอนนี้วิทยาศาสตร์มันลื่นๆ เวลาเราฟังนักวิทยาศาสตร์พูด บางทีฟังแล้วเหมือนปรัชญาหรือพุทธศาสนา ไม่เหมือนสมัยก่อน จริงๆ ตอนนี้ก็ยังเขียนนิยายวิทยาศาสตร์อยู่ ไม่ได้ทิ้ง
>หลายอย่างในสมัยก่อนที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เป็นไปแล้วในยุคนี้…และในอนาคตคิดว่าน่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกบ้าง?
มันมีเยอะมาก อย่างเช่น ไมโคร แมชชีน (micro machine) เป็นต้น หมายถึง เครื่องจักรที่ทำงานในระดับอณู นี่คือไอเดียที่มีในนิยายวิทยาศาสตร์ แต่สมัยนี้ยังไม่มีและคิดว่าน่าจะมีในอนาคต เพราะไมโครชิพมันเหลือลงมาเล็กมาก อีกไม่นานเราอาจจะมีเครื่องเมมโมรีจากคอมพ์เบ้อเริ่มนี้ อาจจะกลายเป็นหยดเดียว ย่อเท่ากับอมีบาตัวหนึ่ง หลายๆ อย่างไม่น่าเป็นไปได้ แต่ใครจะไปรู้ว่าทฤษฎีพวกนี้จะเปลี่ยนไปได้
>ตอนนี้ยังสนุกกับการเขียนนิยายแนวสยองขวัญอยู่?
ผมเริ่มเขียนนิยายสยองขวัญเมื่อ 15 ปีมาแล้ว เพราะมันขายดี คนชอบอ่าน เทคนิคของการเขียนนิยายสยองขวัญเป็นเทคนิคเดียวกันกับการเขียนนิยายคอมเมดี้ คือจะหลอกให้คนดูเดินไปทางนี้แล้วก็อยู่ดีๆ ก็หันมาทางโน้น คือโครงสร้างเหมือนกับเรื่องตลก ใกล้เคียงกันมาก จริงๆ โครงสร้างของ Horror กับ Comedy เหมือนกันเลย
>นักเขียนไทยหลายคนพยายามแปลผลงานวรรณกรรมตัวเองออกไปสู่สากล แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก ในฐานะนักเขียนในระดับโลกมองว่าปัญหาน่าจะอยู่ตรงไหน
มันอาจจะเป็นเรื่องขนาดของ audience ของเราก็ได้ นักเขียนไทยบางคนใช้เทคนิคของการเขียนที่บุกเบิกมาก แต่เนื่องจากว่ามันเป็นภาษาไทย พอไปเป็นภาษาใหม่หรือเข้าไปในภาษาอื่นมันเป็นปัญหามาก เช่น ถ้าคุณคิดถึงนักเขียนที่พยายามประดิษฐ์ภาษาขึ้นมาใหม่ เช่น ปราบดา หยุ่น เขาจะใช้ภาษาในทางที่ใหม่เอี่ยม ถ้าจะทำเป็นภาษาอังกฤษจะต้องทำแบบไหน นี่เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ผลงานไม่ได้เป็นภาษาอังกฤษจะออกไปทั่วโลกได้
สำหรับผมเองอยากจะบอกให้ทราบว่าต่อแต่นี้ไป จะมีผลงานปรากฏในเมืองไทยมากขึ้น เพราะตอนนี้ผมอยู่ที่เมืองไทยแล้วและพยายามให้มีงานเขียนออกมาเรื่อยๆ
จุดประกาย วรรณกรรม
ปีที่ 20 ฉบับที่ 7143
วันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2551
พรชัย จันทโสก : รายงาน