One of the Most Positive Thinker “นิ้วกลม”

แนะนำกันอย่างรวบรัดที่สุด…หลังจากที่นั่งมองนิ้วมือของตัวเองแล้ว "รู้สึก" ว่า "นิ้วมือ" ของตัวเองมันดู "กลมๆ" คนหนุ่มที่ใช้ชื่อตามบัตรประชาชนว่า "สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์" ก็เกิดไอเดียประหลาดๆ คิดนามปากกาให้ตัวเองว่า "นิ้วกลม" แล้วเริ่มต้นเขียนหนังสืออย่างจริงจัง ก่อนจะมีข้อคิดงานเขียนออกสู่ตลาดร่วมๆ สิบเล่ม เช่น โตเกียวไม่มีขา กัมพูชาพริบตาเดียว เนปาลประมาณสะดือ อิฐ ฯลฯ และล่าสุดคือ "อาจารย์ในร้านคุกกี้"
นอกเหนือไปจากเรื่องราวการเดินทางที่ตัวหนังสือของ "นิ้วกลม" บอกเล่าสู่คนอ่าน สิ่งที่ทำให้ครีเอทีฟหนุ่มซึ่งทุ่มพลังงานให้กับการเขียนหนังสือคนนี้ กลายเป็น "ที่รักของนักอ่าน" จำนวนมาก ก็คือ ทัศนคติการมองโลกมองชีวิตที่ใครหลายๆ คนบอกว่าเป็นการ "มองโลกในแง่บวก"
พูดง่ายๆ ก็คือ ตัวหนังสือของเขา อ่านแล้วมีความสุข แม้เขากำลังจะพูดถึงเรื่องที่ทุกข์ๆ และเจ็บปวดอยู่ก็ตามที…
หลายๆ คนชมว่าคุณเป็นคนฉลาดคนเก่ง มีวิธีการใช้ชีวิตยังไงเพื่อให้เป็นคนฉลาดๆ อย่างคุณบ้าง?
(หัวเราะ) ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนฉลาดนะครับ แต่ถ้าต้องตอบจริงๆ ว่าจะใช้ชีวิตยังไงให้ฉลาด ผมว่าข้อแรกที่สำคัญที่สุดก็คือ คิดว่าตัวเองไม่ฉลาด อันนี้สำคัญมาก เพราะคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดน่ะ เริ่มโง่แล้ว โง่ทันทีเลยที่คิดว่าตัวเองฉลาด คนที่คิดว่าตัวเองไม่ฉลาด เค้าก็สามารถที่จะฉลาดได้ขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็เปิดรับมุมมองใหม่ๆ ความคิดใหม่ๆ ของคนอื่นๆ ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่ตัวเองรู้อยู่มันถูกต้องที่สุดแล้ว เพราะโลกนี้มันมีคำว่าถูก มันมีคำว่าดีหลากหลายมาก อย่างประเทศหนึ่งอาจจะบอกว่าดีแบบนี้ แต่อีกประเทศก็อาจจะบอกว่าดีแบบนั้น
ผมว่าคนที่ฉลาดคือคนที่เข้าใจความดีความถูกต้องในหลายๆ มุม หลายๆ ความหมายของแต่ละสังคม เพราะว่าพอเราเข้าใจพวกนั้นมากขึ้น มันก็จะทำให้ใจเรากว้างขึ้นด้วย ผมว่านะ เอาเข้าจริงๆ สิ่งที่คนในโลกต้องการกันจริงๆ มันอาจจะแค่ว่า…อยู่ในโลกนี้ยังไงให้สบายใจน่ะ แล้วใครที่ทำความเข้าใจกับสิ่งที่มันต่างจากเราได้มากแค่ไหน คนๆ นั้นก็จะอยู่ในโลกนี้ได้อย่างสบายใจมากขึ้นเท่านั้น เราก็เลยคิดว่า การที่จะทำให้เราอยู่อย่างสบายใจได้อย่างหนึ่งก็คือ เปิดรับความคิดที่แตกต่างให้เยอะที่สุด
วิธีเปิดรับความคิดก็มีอยู่หลายแบบ อาจจะเปิดสื่อต่างๆ ดูหนังที่เราไม่ได้คิดว่าจะชอบ หนังแปลกๆ คือผมก้พยายามดูนะครับ ไม่ได้เป็นคนดูหนังมาก แต่ว่าเสพสื่อทุกชนิดน่ะครับ อย่างฟังเพลง ก็ลองฟังเพลงที่เราไม่คิดว่าจะชอบ แต่ทำไมคนอื่นเค้าชอบ อย่างชอบเกาหลีก็จะฟังแต่เพลงเกาหลีอยู่อย่างงั้น ก็ลองไปฟังจีนโบราณดูบ้าง ก็เลยคิดว่า หนึ่ง น่าจะช่วยเปิดหูเปิดตาตัวเองได้เยอะ แล้วก็สิ่งที่ได้รับมา มันก็จะผสมผสานเป็นสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นมาในหัวสมองของเราเองอีก
แล้วที่ง่ายที่สุดเลยก็คือ การอ่านหนังสือ เพราะจริงๆ หนังสือมันเป็นทัศนะของคนหนึ่งคน ยิ่งอ่านเยอะ เราก็ยิ่งได้ทัศนะและวิธีมองโลกเยอะ อีกวิธีการหนึ่งก็คือการคุยกับคน การคุยกับคนก็เหมือนการเหลาความคิดวิธีหนึ่ง แลกเปลี่ยนมุมมอง เพราะว่าคนเราก็เติบโตมาคนละแบบ มีโลกคนละใบ ก็คิดไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าได้คุยกับคนเยอะขึ้น เราก็เข้าใจอะไรๆ ได้เยอะขึ้น เทียบง่ายๆ อย่างคุณ "รงษ์ วงศ์สวรรค์ นี่ ไปนั่งคุยกับโสเภณี เค้าก็ได้เข้ามุมมองของโสเภณี นั่งคุยกับนายกฯ นั่งคุยกับนักการเมือง ก็ได้เข้าใจนักการเมือง
เหมือนอย่างที่นิ้วกลมได้อะไรๆ มาจากการเดินทาง?
ใช่ครับ มันเป็นแบบจำลองอันนึงที่ทำให้เรารู้สึกว่า เราไม่ได้อยู่กับที่ เพราะว่าวิถีชีวิตประจำวันของคนเมือง มันค่อนข้างรูทีน จะวนอยู่แค่นี้ ดังนั้น เวลาที่เราก้าวออกไปจากที่เดิม มันจะทำให้เรารู้ว่า เออว่ะ มันทำให้เราได้เจออะไรใหม่ๆ เยอะขึ้น แต่ว่าการออกไป มันไม่ได้หมายความว่าเราต้องแพ็กกระเป๋าเดินทางอย่างเดียว การดูสารคดีชีวิตสัตว์ มันก็เป็นการก้าวออกไปจากโลกของเราเช่นเดียวกัน อ่านหนังสือที่เราไม่เคยคิดที่จะอ่าน อย่างหนังสือประวัติศาสตร์ปาปัวนิวกินีอะไรเงี้ย เฮ้ย มันอาจจะให้มุมมองใหม่กับเราก็ได้
ถ้าโลกนี้มีคนหนุ่มอยู่สองแบบคือ Angry Young Man กับ Positive Thinking นิ้วกลมมีความคิดเห็นยังไงกับคนสองคนนี้?
Angry Young Man ก็คงเป็นคนหนุ่มไฟแรงที่อยากเปลี่ยนแปลงโลก อยากเห็นโลกเป็นไปในทิศทางในทิศทางที่ตัวเองอยากให้เป็น คือจริงๆ ผมว่าทั้งสองฝ่าย ทั้งสองคนนี่ น่าจะเป็นคนละคนกันนะครับ หรือถ้าจะเป็นคนคนเดียวกัน ก็เป็นคนคนเดียวกันในคนละช่วงวัย แต่ผมว่า Positive Thinking น่าจะเกิดหลัง Angry Young Man
คือถ้าจะเปรียบเทียบกับตัวเองก็คงเป็นช่วงที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นช่วงที่เราเริ่มตั้งคำถามกับโลกใบนี้ ตั้งคำถามกับสังคมรอบๆ ตัวว่าทำไมมันต้องเป็นแบบนั้น แล้วเราก็จะมีภาพๆ หนึ่ง อาจจะเรียกได้ว่าเป็นอุดมคติของเราก็ได้ คืออยากให้โลกหรือสังคมเป็นไปในแบบที่เราอยากให้เป็น แล้วพอมันไม่ได้เป็นแบบนั้น เราก็จะรู้สึกหงุดหงิดและต่อต้านแล้วก็อยากเปลี่ยนแปลงมัน และในวัยนั้นจะเป็นวัยที่เรารู้สึกว่าเรามีพลังมากที่สุด สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ โลกแม่งเป็นของเรานี่แหละ ซึ่งจริงๆ แล้ว ผมว่ามันเป็นธรรมชาติของคนในรุ่นนั้น
แต่ถ้าพูดกันจริงๆ เราว่ามันเป็นวิธีมองโลกที่จะอยากจะปรับเปลี่ยนโลกมากกว่าที่จะยอมรับโลก เพราะจริงๆ แล้ว ในวัยแบบนั้น คนเรายังไม่ค่อยที่จะได้เจอโลกแห่งความเป็นจริงมากเท่าไหร่ ฉะนั้น อุดมคติมันจะสวยงามมาก เรายังคิดว่าเรายังทำมันได้อยู่ ทีนี้พอเราเริ่มออกมาเผชิญโลกแห่งความจริง เราโตขึ้น ได้เจอคนเยอะขึ้น ได้เจอข้อจำกัดในชีวิตมากขึ้น ก็คงเข้าสู่ช่วงแห่งความสับสนอีกช่วงหนึ่งว่า เมื่อความฝันกับความจริงมันปะทะกัน แล้วเราจะสรุปมันยังไง เรายังจะคิดถึงภาพในอุดมคติแบบนั้นต่อหรือเปล่า หรือว่าเราจะปรับตัวเข้ากับความจริง
ซึ่งสำหรับผม มองว่าช่วงนี้ทุกคนต้องการการปรับตัวและประนีประนอมกับสิ่งที่มันไม่เหมือนกับสิ่งที่เราคิด ทุกๆ คนไม่ว่าอาชีพๆ ไหน ผมว่ามันต้องมีอยู่แล้ว ภาพจริงกับภาพฝันไม่เหมือนกัน ก็ต้องอาศัยการปรับตัวประนีประนอม มันก็จะเข้าสู่ยุคที่ว่า…เกิดคนประเภทหนึ่งขึ้นมา คือคนที่ยังค้านกับโลกที่เจออยู่ กับคนอีกประเภทหนึ่งซึ่งยอมรับและพยายามทำความเข้าใจ ซึ่งถ้าถามผม ผมก็มองว่า คนที่ยอมรับและทำความเข้าใจโลกแห่งความเป็นจริงที่มันไม่เหมือนแบบที่เค้าคิดไว้น่ะ คือคนที่พยายามมองโลกในแง่บวก
ผมเพิ่งไปอ่านเจอมา จำไม่ได้แล้วว่าจากหนังสือเล่มไหน เค้าบอกไว้ว่า เวลาที่เรามองโลกในแง่บวก แปลว่าเรากำลังอยู่ในสภาวะที่เป็นลบ เพราะว่าถ้าเราอยู่ในสภาวะปกติ เราก็ไม่จำเป็นต้องไปมองโลกในแง่บวก คือถ้าข้าวมันอร่อยอยู่แล้ว มันก็อร่อยนี่หว่า แต่ถ้าข้าวมันเริ่มไม่อร่อยแล้วเนี่ย เอาวะ อย่างน้อย แม่งก็มีหมูชิ้นใหญ่ (หัวเราะ) เออ อะไรอย่างงี้ เออ แม่งจานสวยว่ะ ก็ลองมองหาอะไรที่ปลอบใจตัวเอง มันก็เป็นข้อคิดที่จริงอยู่เหมือนกันว่า คนที่มีทัศนคติในแง่บวก หมายความว่ามันต้องมีอะไรพร่องแล้วล่ะ เหมือนกับที่เค้าเปรียบเทียบว่า น้ำครึ่งแก้ว คนที่มองโลกในแง่บวกก็จะเห็นน้ำที่มันมีอยู่ ส่วนคนที่มองโลกในแง่ลบก็จะเห็นว่ามันพร่องไปครึ่งแล้ว
มันใช่หรือเปล่าที่บอกว่าคนมองโลกในแง่บวกจะเป็นคนที่แฮปปี้กับชีวิตมากกว่าคนอื่นๆ?
คือความคิดนี้น่ะ (หัวเราะ) ถ้าย้อนกลับไปได้จริงๆ ส่วนตัวผม ก็ไม่ได้เป็นคนที่คิดอะไรในแง่ร้ายอยู่แล้วครับ เพราะว่าชีวิตก็ไม่ได้เจออะไรที่รุนแรงหรือเลวร้ายอะไร ไม่มีปัญหาอะไรมากมาย ก็ผ่านไปเรื่อยๆ ราบเรียบมาตลอด แต่ว่าชีวิตมันก็มาหักเหเอาตอนที่เจอกับเรื่องอกหัก เรื่องที่แบบว่าทำร้ายตัวเองมากที่สุดคือเรื่องอกหัก สำหรับคนอื่นๆ อาจจะเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่านี้ อย่างการสูญเสียใครบางคน แต่สำหรับเรามันเป็นเรื่องอกหัก (หัวเราะ)
ซึ่งไอ้การที่มันไม่เคยเจอเรื่องเจ็บช้ำ พอมันมาเจอเรื่องอกหัก มันก็เลยรุนแรง โลกมันพังทลาย วันหนึ่ง เราเคยเป็นคนที่คิดว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ตอนจะสอบเข้ามัธยม ขยันอ่านหนังสือก็สอบได้ ตอนตั้งใจเรียนมันก็ได้เกรดดีนี่หว่า ตอนเอ็นทรานซ์ก็ติด ได้ทุกอย่างสมหวัง คิดว่าโลกมันอยู่ในมือเรา ถ้าเราทำดี แม่งก็ต้องได้น่ะ แต่พอไปจีบผู้หญิง โอ้โห โคตรตั้งใจจีบเหมือนตอนเรียนหนังสือเลย (หัวเราะ) แต่มันไม่ได้ว่ะ (หัวเราะ) เค้าไม่ชอบเรา ก็เลยพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่มันเกิดขึ้น มันคือภาวะที่ตกต่ำและแง่ลบสุดๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เราก็พยายามมองว่าเราจะทำความเข้าใจกับมันยังไงดี
แล้วด้วยความที่เป็นคนชอบอ่านหนังสือ ก็เริ่มอ่านหนังสือธรรมะ ได้อ่านหนังสือของท่านพุทธทาส ก็เริ่มเข้าใจจากคำสอนของท่าน หนึ่งก็คือทุกอย่างมันเป็นความเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างในโลกมันต้องเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว เป็นอนิจจัง จากที่เค้าเคยดีกับเรา วันหนึ่ง เค้าอาจจะไปดีกับคนอื่น เค้าอาจจะไม่ดีกับเราแล้วก็ได้ อย่างที่สองก็คือว่า ทุกอย่างมันมีเหตุปัจจัยก่อนที่มันจะเกิดขึ้น ก็เลยสาวๆ ไปดู ก็พบว่า อ้อ เค้าอาจจะไม่ได้ชอบเรามาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หรือว่าเค้าอาจจะไปเจอคนอื่น มันมีสาเหตุและสามารถอธิบายด้วยหลักการและเหตุผล กฎสองข้อนี้ก็เป็นสิ่งที่ยึดโยงชีวิตเราไว้ตลอด คือ ไม่ควรจะไปยึดติดกับอะไร ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลง แล้วอย่างที่สองก็คือ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันมีเหตุปัจจัย ซึ่งท่านพุทธทาสบอกว่ามันคือแก่นพุทธศาสน์ และผมก็มองว่ามันเป็นหลักที่ทำให้เราได้ใช้ทำความเข้าใจเรื่องต่างๆ ในชีวิตได้เป็นอย่างดี
แล้วทีนี้ มาถึงประเด็นที่ว่า คนที่มองโลกในแง่บวก หมายถึงคนที่อยู่ในสภาวะที่เป็นแง่ลบ มันก็ไม่ใช่นะ แต่มันหมายถึงว่า ในวันที่เราเจออะไรที่มันลบๆ เนี่ยครับ เราก็สามารถที่จะมองมันในแง่บวกได้ ทำความเข้าใจกับมันได้ แต่ที่สำคัญก็คือต้องไม่หลอกตัวเอง คืออย่างถ้าข้าวไม่อร่อย ก็ไม่ต้องไปหลอกตัวเองว่า โอ้ โคตรอร่อยเลยว่ะ แต่มันคือการมองหาข้อดีในสิ่งไม่ดีมากกว่า เอาล่ะ ในสถานการณ์ที่มันไม่ดีแบบนั้น ก็อย่างที่บอก อย่างน้อย หมูมันก็ชิ้นใหญ่ เราก็เชื่ออยู่ว่า ในสถานการณ์ที่แย่ มันก็จะมีข้อดีอย่างน้อยอยู่หนึ่งอย่าง
ระหว่างคนสองคน Positive Thinking กับ Angry Young Man ใครมีโอกาสทีจะซัคเซสมากกว่ากัน?
ไม่คิดว่ามันจะมีคำตอบแบบว่าเป็น A หรือ B ผมว่าคนทั้งสองแบบมีโอกาสที่จะสร้างอะไรที่ดีๆ ขึ้นมาได้ ก็คือคนหนึ่งเห็นว่าเก้าอี้นั่งไม่สบาย ก็พยายามออกแบบเก้าอี้ใหม่ ทำเก้าอี้ใหม่ขึ้นมาตัวหนึ่ง ให้มันนั่งสบาย เห็นว่าสังคมมันไม่ดี เค้าก็จะพยายามส่งภาพออกไปให้คนรู้ว่าเอ๊ย สังคมแบบนี้มันดีกว่านะ มาช่วยกันทำ ในขณะที่อีกคนหนึ่ง เค้าก็เห็นว่าเก้าอี้นั่งไม่สบาย แต่เค้าจะบอกวิธีกับคนอื่นว่า ถ้าอยากนั่งสบาย มันต้องนั่งท่านี้ ไม่ต้องไปเปลี่ยนเก้าอี้ แต่เปลี่ยนที่คุณเอง และถ้าเค้าเห็นว่าสังคมมันมีปัญหา เค้าก็อาจจะไม่ได้เสนอวิธีแก้ปัญหาให้สังคมก็ได้ แต่ว่าเค้าเสนอในเชิงโครงสร้าง แต่เสนอว่าคุณจะปรับตัวยังไง ปรับความคิดยังไงเพื่อที่จะอยู่ในสังคมที่มันมีปัญหาอย่างงี้ ให้มันสบายใจ ผมว่าทั้งคู่สามารถสร้างสิ่งที่ดีได้ ก็ตามแต่ธรรมชาติของแต่ละคน
ถามจริงๆ คิดโน่นคิดนี่เยอะแยะไปหมด ไม่กลัวว่า "นิ้วกลม" จะกลายเป็น "นิ้วกุด" บ้างเหรอ?
(หัวเราะ) หมายถึงไม่มีนิ้วเขียนหนังสือใช่ไหม?
คือความคิดสร้างสรรค์มันตายอะไรทำนองนั้นน่ะ?
ไม่มีวันหมดครับ เพราะว่า โอ้โห โลกมันกว้างมากเลยน่ะ วิธีเดียวที่มันจะหมดก็คือ… (นิ่งคิด) ถ้าเปรียบเทียบกับต้นไม้ มันก็คงเหมือนกับไม่มีน้ำใหม่แล้วน่ะครับ มันก็จะตายไปของมันเอง ความคิดสร้างสรรค์ ถ้าเรารดน้ำมันไปทุกๆ วัน มันก็โตของมันไปได้เรื่อยๆ แบบไม่มีที่สิ้นสุด เพราะว่ามันอยู่ที่สิ่งที่เราใส่เข้าไป อย่างถ้าเราอินพุทเข้าไปเยอะๆ เนี่ยะ เอาต์พุทมันก็จะออกมาเยอะ เหมือนกับที่เรากินข้าวเข้าไปเยอะๆ เราก็จะอุจจาระออกมาเยอะ ความคิดสร้างสรรค์ก็เหมือนกันเลย แต่ว่ามันดีกว่าต้นไม้ ดีกว่าระบบขับถ่าย ตรงที่มันไม่ได้ออกมาแบบที่เราใส่เข้าไป แต่ว่าเรารับๆๆๆ มาแล้ว มันผสมเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมาได้อีก ฉะนั้น ตราบใดที่ยังเปิดหูเปิดตา และศึกษาอย่างผู้ที่คิดว่าตัวเองยังโง่อยู่ตลอดเวลา คิดว่ามันก็จะมีความคิดใหม่ๆ ออกมาได้เรื่อยๆ
ในฐานะคนหนุ่มคนหนึ่ง มองคนหนุ่มของยุคนี้ยังไงบ้าง?
อื้อหือ คำถามกว้างมากเลยนะครับ
เทียบกับ 14 ตุลา กับยุคนี้ก็ได้เอ้า?
ก็ถ้าเป็นหนุ่มสาวที่ยังอยู่ในมหาวิทยาลัย ก็จะเห็นชัด จริงๆ ผมเพิ่งไปงาน 60 ปีของอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล มา แล้วก็ได้ไปดุหนังเรื่อง "14 ตุลา สงครามประชาชน" (กำกับโดย บัณฑิต ฤทธิ์ถกล) ดูแล้วก็จะร้องไห้ คือรู้สึกว่า เฮั้ย นักศึกษาสมัยนั้นเค้ามีพลังมาก เค้าเชื่อในสิ่งที่เค้าคิดจริงๆ แล้วก็ลงมือทำ ความแตกต่างจริงๆ ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องของทัศนคติ คือผมรู้สึกว่า ทัศนคติของเด็กมหาวิทยาลัยยุคนี้หรือแม้แต่ผมตอนเรียนอยู่ มันก็ไม่ได้คิดอะไรที่มันก้าวพ้นไปจากเรื่องของตัวเองเท่าไหร่ เราจะคิดหมกมุ่นอยู่กับตัวเรา แล้วก็การพัฒนาศักยภาพของเราเองว่าแบบกูจะทำยังไงให้ตัวเองเก่งขึ้น ให้ได้เงินเยอะๆ ได้ทำงานในบริษัทที่มันมีชื่อเสียง มันถูกเพาะบ่มมาแบบนั้นจริงๆ เพราะว่าระบบการศึกษามันเป็นการผลิตคนงานออกมาตอบสนองบริษัทนายทุน
แล้วการคิดถึงตัวเองหรือพัฒนาตัวเอง มันไม่ดีหรือ?
คือเราเชื่อว่า ถ้าคนที่คิดถึงตัวเองแล้วพัฒนาตัวเองไปในทางที่ตัวเองชอบได้จริงๆ ในจุดหนึ่งสุดท้าย เราว่าเค้าจะเปลี่ยนทัศนคติแล้ว เค้าจะเริ่มหันไปมองว่า เค้าจะช่วยเหลือสังคมยังไงได้บ้าง เค้าจะช่วยเหลือคนที่มีโอกาสน้อยกว่าเค้ายังไงได้บ้าง หรืออย่างบิลล์ เกตส์ เค้าก็ตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือคนมากมาย เราก็เลยเห็นว่า คนที่เค้าประสบความสำเร็จถึงจุดหนึ่ง เค้าก็น่าที่จะเริ่มคิดถึงคนอื่นบ้างแล้วล่ะ แต่คนที่จะไปถึงจุดนั้นจริงๆ มันจะมีสักกี่คน
เพราะฉะนั้น เราคิดว่าคนที่มันหมกมุ่นอยู่กับความฝันของตัวเอง สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นมันก็คือความเครียดของสังคม แล้วจริงๆ สิ่งที่มันหายไปก็คือความมีน้ำจิตน้ำใจของคนที่อยู่ร่วมกัน อย่างเราเพิ่งไปโบกรถเดินทางที่ต่างจังหวัดมาเดือนหนึ่ง โอ้โห ได้เห็นความแตกต่างระหว่างคนต่างจังหวัดกับคนกรุงเทพฯเยอะเลย คือคนต่างจังหวัดที่เค้ายังใช้ชีวิตแบบช้าๆ อยู่น่ะ เค้าจะมีน้ำใจเยอะกว่า เลยรู้สึกว่าความเร็วของชีวิตกับเรื่องน้ำใจน่ะมันเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ยิ่งเร็วน้ำใจยิ่งน้อย มันเป็นไปเองเลยครับ อย่างขับรถใน กทม.นี่ครับ มันถูกบีบให้มันต้องไปเร็วน่ะครับ นัดไว้ก็ต้องไปให้ทัน ไปผิดนัดก็จะโดนด่า ลูกค้าด่าอีก เราก็จะไม่มีวันจอดรถให้คนอื่นได้เลี้ยวแน่ๆ พอช้าปุ๊บก็บีบแตรมาเลย มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ
เราก็เคยเขียนไว้ใน "อาจารย์ในร้านคุกกี้" เหมือนกัน ก็เปรียบเทียบว่า การเดินทางบนถนนกรุงเทพฯ มันเหมือนการเดินทางบนถนนชีวิตเลย ว่าเราแค่สนใจว่าเราจะไปให้ถึงจุดหมายของเราโดยที่…หนึ่ง เราไม่ให้เวลากับข้างทางเลย อันที่สอง เราไม่ให้เวลากับเพื่อนร่วมทางเลย เราแค่คิดถึงตัวเรา มึงอย่าเลี้ยว ให้กูไปก่อน คนกรุงเทพฯ นี่ยากมากที่จะจอดรถแล้วก็ให้คนอื่นเลี้ยวไป เพราะฉะนั้น การที่เราคิดถึงแต่ตัวเองนี่ มันก็ทำให้เรารู้สึกไม่มีความสุข และสอง เราจะรู้สึกเหงา เพราะเวลา ที่เราคิดถึงแต่ตัวเอง สิ่งที่เราต้องการมันคือความสำเร็จ ความสุขมันก็จะเป็นแบบ.. "เอ้า เดี๋ยวพี่ขึ้นเงินเดือนให้เป็นสามหมื่นห้านะ" อะไรเงี้ย นั่นคือความสุข
แต่ขณะเดียวกัน ถ้าสิ่งที่เราคาดหวังจากเงินหรือตำแหน่งชื่อเสียง ถ้ามันไม่เป็นไปตามที่เราคิดปั๊บเนี่ยะ แล้วกลับมามองตัวเอง เราก็จะพบว่า กูไม่เหลืออะไรแล้ว เพราะผูกตัวเองไว้กับความสำเร็จมากเกินไป มันทำให้เราลืมไปว่า จริงๆ แล้วความหมายของคนจริงๆ ก็คือ เราเป็นน้องของพี่สาวเรา เป็นลูกของพ่อของแม่ ซึ่งสิ่งนี้ต่างหากที่มันทำให้เราอยู่บนโลกนี้แล้วมีความสุขน่ะ วันเสาร์แทนที่จะไปทำงาน ขยันเพื่อที่จะเอาตำแหน่งใหญ่ๆ ก็ไปกินข้าวกับพ่อแม่ นี่ก็เป็นความสุขนะ แต่คนเมืองมันจะถูกปลูกฝังว่า งานน่ะคือดี ยิ่งขยันทำงานน่ะ ก็จะได้รับการยอมรับว่าคุณเป็นคนเก่ง คุณเป็นคนที่มีคุณภาพ แต่จริงๆ คุณภาพของชีวิตมันคือการใช้เวลากับคน งานมันต้องทำอยู่แล้วล่ะ (หัวเราะ) แต่มันไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างเดียวในชีวิต
ดังนั้น คนที่มองแต่ตัวเอง ลืมมองเพื่อน หรือกระทั่งลืมมองเพื่อนในสังคมเดียวกัน แม่ค้าที่เขาขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ ขอทานที่เค้าขอตังค์อยู่ข้างทางเนี่ยะ เราไม่เห็นความเชื่อมโยงของเรากับคนเหล่านี้ เราไม่เห็นความเชื่อมโยงของเรากับจราจรที่เค้ายืนดมควันอยู่ข้างนอก เราไม่มีเค้าอยู่ในสายตาเลย เพราะฉะนั้น เวลาที่ผิดหวังกับตัวเอง เราจะเหงามาก เพราะเราจะไม่รู้เลยว่าเราเป็นเพื่อนกับใคร เพราะเรามุ่งแต่ตัวเอง เราลืมไปแล้วว่าวันเสาร์อาทิตย์ เราควรกินข้าวกับพ่อกับแม่ แล้วพอ…เหี้ยเอ๊ย เงินเดือนกูเท่าเดิมว่ะ ก็เคว้งแล้ว เรารู้สึกว่านั่นก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่งของการที่มุ่งแต่จะประสบความสำเร็จ
คือไม่รู้สึกว่าตัวเอง "สัมพันธ์" กับใคร?
ใช่ เพราะว่าเราเอาความหมายของชีวิตไปผูกโยงกับหน้าที่การงานมากเกินไป คล้ายๆ กับสิ่งสมมติ แต่มันก็ไม่เชิงว่าเป็นสิ่งสมมติซะทีเดียว มันก็มีผลกับชีวิตเราแหละ เงินเดือนขึ้นมันก็ดี แต่ว่าเราไม่ควรให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นมากเกินไป ซึ่งถ้าเทียบกับอุดมการณ์ของนักศึกษาอย่างสมัย 14 ตุลาเนี่ย เค้าต่อสู้เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ คือรู้สึกว่าเค้าผูกโยงตัวเองไว้กับสิ่งที่มันใหญ่มาก เพราะฉะนั้น เค้าไม่เหงาน่ะ ต่อให้เค้าแพ้ แต่ลึกๆ ในใจแล้วเค้ามีเพื่อน นั่นก็คือประชาชน เค้าไม่ได้สู้เพื่อตัวเอง พอตัวเองไม่ได้ดี มันหมดความหมายเลย…
ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์ 4 ธันวาคม 2552