Nine Stories
เมื่อผมทราบว่า The Catcher in the Rye ได้ถูกตีพิมพ์เป็นภาษาไทย (ในชื่อย้าวยาว แต่ตรงความหมายสุดๆ ว่า จะเป็นผู้คอยรับไว้ ไม่ให้ใครร่วงหล่น ของสำนักพิมพ์ไลต์เฮาส์พับลิชชิ่ง โดยมีคุณปราบดาเป็นผู้แปล) ก็ตั้งใจอย่างเต็มที่ว่าจะอ่านและวิจารณ์หนังสือเล่มนี้ แต่เปลี่ยนใจในโค้งสุดท้าย โดยขอพูดถึง Nine Stories แทนดีกว่า ถ้านักอ่านชาวไทยรู้ว่าซาลิงเจอร์เขียนหนังสือเล่มอื่นอะไรไว้บ้าง คงช่วยให้เข้าใจและอ่าน จะเป็นผู้คอยรับไว้ ไม่ให้ใครร่วงหล่น อย่างออกอรรถรสมากยิ่งขึ้น
เนื่องจากยังไม่เคยเขียนถึงรวมเรื่องสั้นใน Page Two เลย บทวิจารณ์ชิ้นนี้จึงถือเป็นความท้าทายหน่อยๆ เราควรมองเก้าเรื่องสั้นเหล่านี้ในแง่ไหนดี โยงใยความเกี่ยวข้องระหว่างกันเพื่อหาข้อสรุปของหนังสือ หรือควรพูดถึงมันเป็นเรื่องๆ ไป ถ้ายึดติดกับวิธีคิดแบบแรก ก็จะมองข้ามธรรมชาติของงานเขียนประเภทรวมเรื่องสั้น อันเป็นการรวบรวมผลงานที่จบในตอนและถูกเขียนขึ้นมาต่างกรรมต่างวาระ ขณะเดียวกันถ้าไม่สร้างความสัมพันธ์อะไรเลย ก็จะไม่อาจเข้าใจ Nine Stories และตัวซาลิงเจอร์ผู้ให้กำเนิดทั้งเก้าเรื่องสั้นนี้ได้ รวมเรื่องสั้นที่ดีจึงต้องรักษาสมดุลระหว่างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวและความหลากหลายของชิ้นงาน และในฐานะผู้วิจารณ์ ก็ควรตระหนักถึงคุณสมบัติสองข้อนี้ด้วย
Nine Stories เปิดเล่มด้วย A Perfect Day for Bananafish ซึ่งเหมาะเจาะยิ่ง เพราะมันบรรจุประเด็นแทบทั้งหมด อันจะถูกนำกลับมาเสนอใหม่ในอีกแปดเรื่องที่ตามมา A Perfect Day for Bananafish จับตามองคู่สามีภรรยาไปพักผ่อนตากอากาศที่โรงแรมริมชายหาด ระหว่างภรรยากำลังทาเล็บ แต่งหน้าอยู่ในห้องพัก สามีก็ออกไปว่ายน้ำ ประเด็นของเรื่องนี้ได้แก่ผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่สอง ความขัดแย้งในครอบครัว การเติบโตจากเด็กไปสู่ผู้ใหญ่ และความบ้าคลั่งซึ่งซ่อนอยู่ในจิตใจ
ครึ่งแรกของ A Perfect Day for Bananafish คือบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างแม่ยายและภรรยา แม่เป็นห่วงลูกสาวที่ต้องไปอยู่ไกลตาไกลหูกับสามี ซาลิงเจอร์เขียนบทสนทนาได้เฉียบคม ย้ำประโยคที่แม่ถามลูกสาวบ่อยๆ ว่า “สบายดีไหม” จนผู้อ่านรู้สึกได้ถึงความห่วงใยของฝ่ายหนึ่ง แต่ก็อดไม่ได้จะรำคาญแทนอีกฝ่าย ระหว่างบรรทัดคือความขัดแย้งอันเป็นคลื่นใต้น้ำ ขณะเดียวกันก็แทรกข้อมูลให้คนอ่านอย่างแนบเนียบ ว่าสามีเป็นทหารผ่านศึกผู้มีอาการผิดปรกติทางจิตใจ ครึ่งหลังของ A Perfect Day for Bananafish ย้ายไปเกิดที่ริมชายหาด โดยสามีลงไปจับ “ปลากล้วย” กับเด็กผู้หญิงแปลกหน้า ซาลิงเจอร์ยังคงดำเนินเรื่องด้วยบทสนทนาอันแฝงไว้ด้วยความตึงเครียด เนื่องจากตัวละครสามีถูกปูไว้ว่ามีอาการผิดปรกติทางจิตใจ เราจึงคาดเดาไม่ถูกว่าระหว่างเขาและเด็กหญิงจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สถานที่เกิดเหตุริมชายหาดอันเป็นรอยตะขบระหว่างผืนน้ำและผืนแผ่นดินยิ่งตอกย้ำสภาพความไม่แน่นอน “ปลากล้วย” เป็นสัตว์ในจินตนาการ ซึ่งตามปรกติหมายถึงความบริสุทธิ์ ช่างฝันของเด็กผู้หญิง หากในบริบทนี้กลับแฝงกลิ่นอายทะมึนชวนอึดอัด
Pretty Mouth and Green My Eyes เป็นอีกเรื่องที่เล่าผ่านบทสนทนาทางโทรศัพท์ เพื่อนทนายสองคนคุยกันยามดึก ฝ่ายหนึ่งเพิ่งทะเลาะกับภรรยา เธอหนีออกจากบ้าน เขาจึงโทรศัพท์มาโวยวายและเรียกร้องความเห็นใจจากอีกฝ่าย เช่นเดียวกันซาลิงเจอร์ใช้ประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมาเช่น “พูดไปก็เปล่าประโยชน์” และ “แน่ใจนะว่าผมไม่ได้โทรมารบกวน” เพื่อสื่อสภาพจิตใจอันแหลกสลายของฝ่ายแรก ขณะเดียวกันก็บอกเป็นนัยว่าฝ่ายหลังกำลังปกปิดอะไรบางอย่าง บทสนทนาซึ่งบรรจุข้อมูลระหว่างบรรทัดไว้มากมายเช่นนี้คือเอกลักษณ์ของนักเขียนแนวประหยัดนิยม (Minimalist) ในความเห็นผม นักเขียนชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะเขียนบทสนทนาได้ดีกว่านักเขียนชาติอื่น น่าจะเพราะได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมละครเวที หลายเรื่องใน Nine Stories เล่าผ่านบทสนทนา และส่วนใหญ่ก็มีฉากเป็นห้องนั่งเล่นเสียด้วย จึงนึกภาพตามว่าเป็นฉากบนละครเวทีได้อย่างง่ายดาย
บทสนทนาทางโทรศัพท์เป็นเครื่องมือชิ้นโปรดของนักเขียนแนวประหยัดนิยม เนื่องจากมันจำกัดการบรรยายกิจกรรม การเคลื่อนไหว และรายละเอียดทางด้านภาพออกจนหมด เหลือเพียงคำพูดคำจา1 นอกจากนี้โทรศัพท์ ซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ของชาวอเมริกันก็ยังเป็นเทคโนโลยีแห่งศตวรรษที่ 20 ที่ช่วยให้คนเราสื่อสารกันมากขึ้น บ่อยขึ้น แต่ก็แปลกแยกจากกันขึ้นด้วย โทรศัพท์ทำให้คู่สนทนามองไม่เห็นหน้าค่าตา อ่านไม่ออกว่าอีกฝ่ายคิดอะไร ทำอะไร และอยู่กับใคร มนุษย์เราจึงสมมติฐานะให้แก่กันและแยกตัวเองออกมาอยู่โดดเดี่ยว ความโดดเดี่ยวหรือความเหงาเป็นประเด็นที่ปรากฎในหลายเรื่องสั้น เช่นเด็กหญิงเอสเมใน For Esme – with Love and Squalor เข้าไปหา “ผม” คนแปลกหน้าเนื่องจาก “เขาดูเหงาหงอยอย่างสุดซึ้ง” ตัวเอกของ De Daumier-Smith’s Blue Period กล่าวกับคนอ่านว่า “ทุกสิ่งที่ผมแตะต้องกลายมาเป็นก้อนความเหงา”
เรื่องสั้นแกะดำของเล่มนี้คือ Teddy ซึ่งว่าด้วยเด็กคนหนึ่งที่ระลึกชาติได้ และชาติก่อนเขาเคยเป็นสมณพราหมณ์ในประเทศอินเดีย Teddy เป็นหลักฐานทนโท่ว่าแม้แต่ซาลิงเจอร์ก็ยังหนีไม่พ้น “แฟชั่น” ช่วงปี 1950 ที่ชาวอเมริกันโหยหาความรู้ทางจิตวิญญาณ ปรัชญาโบราณ หรือศาสนาตะวันออก จนเกิดเป็นกระแสความคิด “ยุคใหม่” (“New Age”) ซึ่งถ้ามองจากสายตาคนตะวันออกอย่างเรา แฟชั่นตรงนี้ดูตื้นเขินและฉาบฉวยเสียนี่กระไร หากจะพยายามทำความเข้าใจซาลิงเจอร์และชาวอเมริกาในยุคนั้น ก็ต้องยอมรับว่าภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกาผู้ค้นพบระเบิดปรมาณูได้นั่งแท่นมหาอำนาจเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก ถ้าความผิดพลาดของมหาอำนาจเก่าอย่างอังกฤษคือการล่าอาณานิคม อเมริกาพยายามแสดงให้เห็นว่าตัวเองแตกต่างออกไป (แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็เป็นการล้างบาปที่ไปยึดทวีปมาจากพวกอินเดียนแดง) โดยการเปิดรับวัฒนธรรมจากถิ่นแดนไกล (exotic) ให้หลั่งไหลเข้ามาในประเทศ
แต่พร้อมๆ กันนี้ก็เป็นยุคแห่งความบอบช้ำและการเลียบาดแผลสงครามด้วย ซึ่งสะท้อนอยู่ในหลายเรื่องสั้นเช่น Uncle Wiggily in Connecticut2 ที่พูดถึงหญิงสาวผู้สูญเสียคนรักไปในสงคราม Just Before the War with the Eskimos คือคำพร่ำบ่นของทหารว่าเมื่อไหร่เราจะหยุดรบกันเสียที หรือ For Esme – with Love and Squalor ว่าด้วยความแปลกแยกของทหารจากครอบครัวและคนที่รอคอยอยู่เบื้องหลัง ถ้าเปรียบอเมริกาเป็นคน ก็เป็นชายหนุ่มที่เพิ่งล่วงเข้าสู่วัยทำงาน มีภาระความรับผิดชอบและสืบทอดโลกอันยุ่งเหยิงมาจากผู้ใหญ่ เป็นช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกันระหว่างความบ้าคลั่งและความไร้เดียงสา ใน Nine Stories ซาลิงเจอร์โยงสองสิ่งซึ่งเหมือนจะตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิงนี้เข้าหากัน (“ปลากล้วย” คือตัวอย่างอันชัดเจน ดังที่ได้พูดถึงไปแล้ว) เด็กๆ ใน Nine Stories มีนิสัยประหลาด ถ้าไม่เลี้ยงสัตว์ หรือมีเพื่อนในจินตนาการ ก็จะพูดเรื่องเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา หรือชอบหนีออกจากบ้าน ส่วนตัวละครผู้ใหญ่ เวลาต้องการตำหนิกัน ก็จะเรียกอีกฝ่ายว่า “ผู้ใหญ่ในร่างเด็ก” บางทีการเติบโตในความหมายของซาลิงเจอร์คือการละทิ้งโลกในจินตนาการและหันมาโอบกอดความเป็นจริง
แน่นอนว่ากระบวนการดังกล่าวไม่ได้สวยหรูเสมอไป The Laughing Man ตอกย้ำประเด็นนี้ได้อย่างงดงาม ทุกๆ วันหยุดที่พวกเด็กมีการซ้อมหรือเล่นเบสบอล ระหว่างขับรถกลับจากสนาม โค้ชจะจอดรถเพื่อเล่านิทานให้ลูกทีมฟัง โดยนิทานเหล่านี้จะมีตัวเอกเป็น “ชายหัวเราะ” จอมโจรหน้าตาอัปลักษณ์ที่ต่อสู้กับนักสืบวายร้ายพร้อมสี่สหายคู่ใจ ไม่ว่าชายหัวเราะจะตกอยู่ในสถานการณ์คับขับแค่ไหน ก็จะใช้สติปัญญาและความสามารถฝ่าฟันไปได้ทุกคราว เด็กทุกคนในทีมชอบเรื่องราวของโค้ชมากๆ โดยเฉพาะ “ผม” หรือผู้เล่าเรื่อง แต่แล้วความสัมพันธ์ระหว่างโค้ชและเด็กๆ ก็มีคนอื่นมาคั่นกลางคือหญิงสาวลึกลับ และในท้ายที่สุด จุดจบของชายหัวเราะในนิทานก็มาพร้อมกับการที่เด็กๆ ได้เรียนรู้ความผิดหวังและซับซ้อนในความสัมพันธ์ระหว่างเพศตรงข้าม
Nine Stories เป็นผลงานรวมเรื่องสั้นอันมีบรรยากาศเศร้าเหงาของโศกนาฏกรรม ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าโศกนาฏกรรมนี้มันเกิดมาจากผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมสลัดความเป็นเด็กทิ้ง หรือการสลัดความเป็นเด็กทิ้งนั่นต่างหากที่เป็นโศกนาฏกรรม
นั่นคือคำถามซึ่งซาลิงเจอร์ฝากทิ้งไว้ให้คนอ่าน พวกเราทุกคน
1. ตัวอย่างเรื่องสั้นแนวประหยัดนิยมของคนไทยได้แก่ บาดทะยัก ในรวมเรื่องสั้น เราหลงลืมอะไรบางอย่าง ที่ได้รางวัลซีไรต์ปี 2551
2. ซาลิงเจอร์ตั้งชื่อเรื่องสั้นได้เท่มากๆ ถ้าไม่อ่านจนจบ หรือเกือบจบจะไม่มีทางรู้เลยว่าเขาหมายถึงอะไรเช่น “ลุงวิกกิลี” ใน Uncle Wiggily in Connecticut คือฉายาที่ชายหนุ่มตั้งให้กับข้อเท้าของหญิงสาวคนรัก De Daumier-Smith’s Blue Period เป็นการล้อเลียนผลงานยุคหนึ่งของพิกัสโซที่ศิลปินชอบระบายผืนผ้าใบทั้งผืนด้วยสีน้ำเงิน
โดย ภาณุ ตรัยเวช