Nadine Gordimer การเมืองทำให้ฉันเกิดงานเขียน

นักเขียนชาวแอฟริกัน เจ้าของรางวัลโนเบลปี 1990 ยังยืนยันเสียงแข็ง ว่าจะไม่เขียนอัตชีวประวัติของตนเอง
ในวัย 87 ของ นาดีน กอร์ดิเมอร์ (Nadine Gordimer) นักเขียนชาวแอฟริกัน เจ้าของรางวัลโนเบลปี 1990 ยังยืนยันเสียงแข็ง ว่าจะไม่เขียนอัตชีวประวัติของตนเอง “ชีวิตส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัวของฉัน ประสบการณ์ส่วนตัวที่ฉันสะสมถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของงานเขียนแล้ว”
แต่สำหรับผู้ที่ชอบงานของเธอ สามารถหาอ่านเรื่องราวการเขียนและการชีวิตของกอร์ดิเมอร์ได้ใน Telling Times : Writing and Living 1950-2008 เป็นงานที่ครอบคลุมในช่วงทศวรรษที่ 1950 ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มต้นเขียนหนังสือ และจนถึงปัจจุบันเมื่อปี 2008 งานเขียนเล่มนี้ทำให้เห็นว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เธอทำงานอย่างหนัก สำหรับตัวเธอมีความเห็น ว่าการทำงานอย่างต่อเนื่องไม่ลดละ คือผลพวงที่ทำให้ได้ผลิตงานเขียนออกมา และการเมืองเป็นเรื่องหลักที่ถูกนำมาใช้เป็นเรื่องที่เธอถ่ายทอด
“การเมืองคือเป้าหมายเดียวที่ทำให้หลายสิ่งเกิดขึ้น เพราะคุณไม่ใช่แค่นักเขียน คุณเป็นมนุษย์ มีความรับผิดชอบมากมาย และแน่นอน ฉันจะไม่เขียนสารคดี ถ้าการเมืองไม่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ส่วนในช่วงแรกๆ ที่ฉันเขียนบทความให้ The New Yorker เพราะฉันต้องการเงิน”
กอร์ดิเมอร์เขียนไว้ในบทความแรกๆ ซึ่งลงใน The New Yorker ว่าเติบโตมาในอาณาบริเวณของคนขาวอย่างมีความสุข ในเมืองเหมืองแห่งหนึ่งชานกรุงโยฮันเนสเบิร์ก พ่อเป็นช่างซ่อมนาฬิกาที่อพยพมาจากลัตเวีย แม่เป็นชาวอังกฤษ คนในรุ่นของเธอเติบโตมาพร้อมกับความคิดที่เป็นคู่ขนานสองอย่าง คือบริบทของชีวิตตอนนั้นมีทั้งสิ่งที่ถูกและสิ่งที่ผิด ในวัยสาวเธออยากเป็นนักแสดงหรือไม่ก็นักเต้น
ส่วนการเป็นนักเขียนและทำงานเขียนเป็นแรงดลใจที่เกิดขึ้นในภายหลัง เธอแกะรอยให้ฟัง ว่าตอนอายุ 12 ปี เน็ตตี้ซึ่งทำงานบ้านให้ครอบครัวของเธอจนตายจากครอบครัวเธอไป วันหนึ่งตำรวจก็เข้ามาหิ้วแม่บ้านออกไป แล้วโยนเสื้อผ้าและข้าวของไม่กี่ชิ้นของเน็ตตี้ออกไปที่สนามหญ้า เพียงเพื่อจะค้นหาน้ำกลั่น ซึ่งตอนนั้นคนดำไม่มีสิทธิ์ซื้อน้ำกลั่นได้ พ่อและแม่ของเธอไม่ได้ห้ามปรามตำรวจ เอาแต่ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้า ตำรวจค้นไม่พบอะไร จึงออกจากบ้านไป
“ตอนนั้นฉันพอรู้ความ ฉันอ่านหนังสือและรู้ว่าการทำแบบนั้น คุณต้องมีหมายค้น แต่ตำรวจกลับบุกรุกเข้ามาเลย พ่อกับแม่ก็ไม่ทัดทานตำรวจสักคำ เรื่องแรกๆ ที่ฉันเขียนก็มาจากเหตุการณ์ตรงนี้ค่ะ” การอ่านและการเขียนช่วยให้กอร์ดิเมอร์มีชีวิตอยู่ ของขวัญที่ดีที่สุดที่ได้รับจากพ่อและแม่คือการได้อยู่คนเดียว การเขียนจึงเกิดขึ้นและเป็นกิจกรรมอันยอดเยี่ยมและสิ่งเดียวที่ทำให้เธอมีวินัย เธอชอบคำคมของกามูส์ที่บอกไว้ว่า “ความกล้าหาญอยู่ในชีวิตและพรสวรรค์อยู่ในการทำงาน” ปี 1963 กอร์ดิเมอร์เขียนเอาไว้ว่า “ปัญหามากมายของประเทศฉันไม่ได้ทำให้ฉันเขียน ตรงกันข้าม การเรียนรู้เพื่อเขียน ผลักฉันให้หล่นลงไป ตกลงไปสู่โฉมหน้าวิถีชีวิตของชาวแอฟริกาใต้”
กอร์ดิเมอร์รู้สึกแปลกแยกกับครอบครัว จึงอยากออกไปอยู่ที่อื่นให้เร็วที่สุด สิ่งที่ทำได้อย่างแรกสุดคือการไปเรียนในมหาวิทยาลัยที่โยฮันเนสเบิร์ก แล้วแต่งงานกับทันตแพทย์เมื่อปี 1949 พอมองย้อนกลับไป ความใจร้อนที่ตอนนั้นอยากรีบออกจากบ้านคือความสูญเสียดีๆ นี่เอง “แม่คือตัวการสำคัญ เธอมีบทบาทสำคัญในบ้าน ตอนนี้ฉันเสียใจที่ไม่เคยถามหรือรู้เรื่องพื้นเพทางครอบครัวของพ่อเลย พ่อเกิดที่ลัตเวียในครอบครัวที่แสนจน ในสมัยพระเจ้าซาร์จอมเผด็จการ และชาวยิวไม่มีสิทธิไปโรงเรียน เรื่องราวของพ่อจึงไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งในบทสนทนาภายในครอบครัวเลย”
หลังจากแต่งงานได้ไม่กี่ปี เธอก็หย่ากับสามี ตอนนั้นกอร์ดิเมอร์อายุ 20 เศษๆ ต้องเลี้ยงลูกสาวคนเดียว รู้สึกไม่มีความมั่นคงในชีวิต ลูกก็ไม่มีประกันสุขภาพ มีเงินเพียงน้อยนิดจากสามีหลังจากหย่าขาดกัน และสามีเองก็กระเบียดกระเสียรเช่นกัน เธอจึงพอมีเงินเอามาเลี้ยงดูลูกบ้าง สิ่งนี้ไม่ได้สร้างความกังวลมากนัก เพื่อนทุกคนของเธอตอนนั้นก็ไม่เหมือนลงเรือลำเดียวกัน จึงกลายเป็นว่าเธอและเพื่อนมีวันและเวลาดีๆ ร่วมกัน
ตอนที่ทำงานเขียนนวนิยายเล่มแรก The Lying Days กอร์ดิเมอร์ได้เริ่มเขียนเรื่องสั้นไปด้วย และในปี 1951 งานเขียนได้รับการตีพิมพ์ใน The New Yorker เธอจึงค่อยๆ เริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในการเขียนเรื่องที่ยาวขึ้นและซับซ้อนยิ่งขึ้น พร้อมกับให้กำลังใจตนเอง ว่าการฝึกปรือจะทำให้เธอเขียนได้ดีขึ้นกว่าเดิม เหมือนกับการเดินทางผ่านทางผ่านมากมายในชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่ต่างจากการที่เราไม่รู้สึกแปลกที่ต้องเติบโตขึ้นในตอนเป็นเด็ก
ในช่วงที่มีการแบ่งแยกสีผิวในประเทศ เธอใช้การเขียนเป็นอาวุธในการเรียกร้องและปลุกปั่นให้ชาวแอฟริกันผิวดำ ลุกขึ้นมาต่อสู้เรียกร้อง จนโดนผู้อ่านจำนวนมากไม่พอใจ และพวกเขาต่อว่าเธอในที่สาธารณะ ว่าถ้ากอร์ดิเมอร์เพียงแต่จะเขียนให้คนดำในนวนิยายของเธอเป็นคนชั่วและโง่เง่า จะถูกใจพวกเขามากกว่านี้ สำหรับเจ้าของผลงานได้ยินอย่างนี้ ถึงกับออกโรงว่า
“กระบวนการเขียนนวนิยายคือภาวะของการขาดสติสัมปชัญญะโดยสมบูรณ์ การเขียนที่เกิดมาจากสิ่งที่คุณกำลังศึกษา สิ่งที่คุณได้สัมผัสในการมีอยู่ของชีวิตตน จากปัจจัยภายนอก สำหรับฉัน การเขียนทุกรูปแบบคือการค้นพบ พวกเรากำลังค้นหาความหมายของชีวิตกันอยู่ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ความขัดแย้งสารพันและเรื่องราวชีวิตก็ดำเนินอยู่ในทุกหย่อมหญ้า มันเป็นกระบวนการของการตอบโจทย์การมีชีวิตอยู่ ว่าคุณมีปฏิกิริยาและตอบสนองออกไปเช่นไร
มันคือความกดดันทั้งจากภายในและภายนอก ถ้าคุณเขียนทุกสิ่งออกมาจากสิ่งที่คุณคิด เท่ากับว่าคุณกำลังเขียนโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำอย่างยิ่งในการเขียนนวนิยาย ฉันแบ่งการเขียนออกเป็นสองส่วนในการทำงาน ส่วนแรกถ้าเป็นเรื่องทัศนะ ชีวิต ฉันจะเขียนเป็นนิยาย เมื่อใดที่ฉันทำงานอย่างมีวัตถุประสงค์ว่าจะสื่อไปยังสาธารณะอย่างตรงไปตรงมา ฉันจะเขียนเป็นสารคดี”
กอร์ดิเมอร์มีลูกอีกหนึ่งคนกับสามีคนที่สอง ซึ่งเป็นทำธุรกิจเป็นนายหน้าขายงานศิลปะ สามีคนนี้เป็นผู้ลี้ภัยจากการปราบปรามของนาซีเยอรมัน แล้วมาเปิดร้านชื่อ Sotheby ในแอฟริกาใต้ ทั้งคู่ใช้ชีวิตแต่งงานร่วมกันมา 40 ปี เธอกล่าวว่า การมีชีวิตคู่กับสามีคนที่สองเป็นช่วงเวลาที่ดีของชีวิต และเป็นความอิ่มเอมกว่าการได้รับรางวัลโนเบล สามีของเธอถึงแก่กรรมในปี 2001 “เราทั้งคู่ต่างเป็นส่วนเติมเต็มชีวิตให้แก่กันและกัน เขาจะให้ความสำคัญกับงานของฉัน ก่อนสิ่งอื่นใดเสมอ”
ทศวรรษที่ 1970 กอร์ดิเมอร์มีความขัดแย้งกับรัฐบาลแอฟริกาทั้งเรื่องต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ชาวแอฟริกันผิวดำ โดยถ่ายทอดลงในงานเขียนและบทความมากมาย รัฐบาลได้สั่งห้ามการจำหน่ายนวนิยายเรื่อง Burger’s Daughter แต่เมื่อนานาชาติประณามการกระทำนี้ รัฐบาลจึงยกเลิกคำสั่งดังกล่าว สำหรับเธอแล้วไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ ไม่ศรัทธาต่อพระเจ้าองค์ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่แตกต่างกันทางสีผิว มันทำให้ผู้คนสร้างค่านิยมส่วนตัวขึ้นมาเพื่อเป็นมาตรวัดหรือตัดสินคนอื่นไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลเองหรือแม้แต่ชนชั้นต่างๆ ในสังคม
กอร์ดิเมอร์พูดถึงปัจจุบันของแอฟริกาใต้ว่า “พวกเรายังเหมือนรุ่งอรุณ ฉันไม่แน่ใจว่าประชาธิปไตยที่ได้มา 16 ปี มันจะเป็นอย่างไรต่อไป ขณะที่อังกฤษและอเมริกามีประชาธิปไตยมาหลายร้อยปีแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ที่นี่ยังมีคนยากจน พวกเขายังเกลียดคนต่างชาติ สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมก็คงเรื่องสิทธิสตรี จากเมื่อก่อนพวกเธอถูกกดขี่ทั้งจากกฎหมายเกี่ยวกับสีผิว และขนบประเพณีในครอบครัว ที่เธอต้องอยู่ใต้การควบคุมของพ่อ พี่ชาย น้องชาย ลุง และผู้ชายในสังคม แต่ตอนนี้ผู้ชายชาวแอฟริกันต่างก็ทึ่งและประหลาดใจที่ผู้หญิงยุคใหม่รุ่นราวคราวเดียวกันมีบทบาทและเข้มแข็งมากกว่าเมื่อก่อน”
นอกจากนี้เธอยังได้แสดงความเห็นที่มีต่อโรเบิร์ต มูกาเบ ประธานาธิบดีของซิมบับเว ว่าก่อนที่เขาจะขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองนั้น เป็นคนที่ดีคนหนึ่ง แต่เมื่อก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำ เขาไม่สามารถพาตนเองหนีไปจากกงล้อเดิมๆ ของพวกนักการเมืองที่ชอบทุจริตไปได้ ระยะหลังดูเหมือนจะเสียสตินิดๆ ด้วยซ้ำไป และภรรยาทุกคนของเขาต่างเป็นนักช้อปตัวยง ภรรยาคนแรกมีอิทธิพลมาก เวลามาพักที่แอฟริกาใต้จะเลือกพักตามโรงแรมใหญ่ๆ หล่อนและคณะผู้ติดตามจะพากันซื้อของอย่างบ้าระห่ำ และยังบินไปชอปปิงกันถึงประเทศดูไบ โดยไม่ยี่หระว่าคนในประเทศของตนกำลังอดอยาก
อีกสิ่งหนึ่งเมื่อกอร์ดิเมอร์ถูกผู้สื่อข่าวถาม ว่ามีความเห็นอย่างไร ถ้าวันหนึ่งเนลสัน แมนเดลา ต้องจากไปตามครรลองของธรรมชาติแห่งชีวิต “27 ปีที่แมนเดลาอยู่ในคุก กำแพงของคุกที่ว่าสูง ไม่ได้กั้นขวางให้พวกเรารู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่กับเรา และเช่นกัน หากวันที่แมนเดลาจากไป ซึ่งฉันไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่เขาจะอยู่ในใจของพวกเราเสมอ เขาจะเป็นเสาหลักสำคัญ เฉกเช่นกับมหาตมะ คานธี
และสำหรับตัวฉัน การได้มีชีวิต ได้เกิดเป็นมนุษย์ มันคือคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของการมีชีวิตอยู่ มันยิ่งใหญ่กว่าการได้เป็นนักเขียน ฉันมีวิถีชีวิตแบบชาวแอฟริกัน ฉันเป็นชาวแอฟริกัน ฉันเป็นคนขาว พวกเราต่างมีวิถีที่พวกเรามีสิทธิ์กับชีวิตของตนเอง ชีวิตยังจะมีอะไรมากไปกว่านี้อีกหรือ คุณเกิด คุณเติบโต
และเวทีสุดท้ายแห่งชีวิต คือ ความตาย เช่นกัน”
โดย : นงค์ลักษณ์ เหล่าวอ nonglakspace@gmail.com
Life Style : Read & Write
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2553
By : bangkokbiznews.com