Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

Malcolm Gladwell สัมฤทธิ์พิศวงของนักเขียนช่างคิด

 

 
เจ้าของผลงานขายดีของ The New Yorker ยาวนานถึง 28 สัปดาห์ และครองตำแหน่งหนังสือขายดีของ Business Week มากกว่าสองปี 
 
จากความช่างคิด ช่างสงสัย ช่างสังเกต ช่างตั้งคำถาม จนพาไปสู่การค้นหาคำตอบตามตรรกะของความเป็นเหตุเป็นผล จากความน่าจะเป็นก็กลายเป็นคำตอบที่มีการพิสูจน์ออกมาจนกลายเป็นความน่าเชื่อ โดยอาศัยหลักการทำงานแบบงานวิชาการ ที่สามารถนำมาปฏิบัติเพื่อค้นหาคำตอบได้จริง ด้วยตรรกะเหล่านี้และอีกหลายตรรกะที่ทำให้ มัลคอล์ม แกลดเวลล์ (Malcolm Gladwell) พิสูจน์ออกมาได้ว่า เพียงเสี้ยววินาทีของบางสิ่งบางอย่าง ก็ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อโลก 
 
ความสำเร็จใน The Tipping Point (2000) งานเขียนประเภท non-fiction แนวพัฒนาตนเองเล่มแรกของมัลคอล์ม มีประเด็นหลักบอกเอาไว้ว่ามนุษย์มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ และไม่ใช่แต่ทฤษฎีทางการตลาดเท่านั้น แต่ประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมก็เป็นตัวแปรที่ทำให้เกิดการไม่หยุดนิ่งในสังคม เมื่องานเขียนเล่มแรกออกมา ชีวิตอันสุดแสนธรรมดาของนักเขียนมาดเซอร์แห่ง The New Yorker ก็ก้าวกระโดดดังเป็นพลุ ต้องทำงานทั้งการเป็นนักเขียนและนักพูดที่ได้รับเชิญให้ไปพูดตามที่ต่างๆ มากมาย หนังสือเล่มนี้ยืนหยัดในตำแหน่งหนังสือขายดีของ The New Yorker ยาวนานถึง 28 สัปดาห์ และครองตำแหน่งหนังสือขายดีของ Business Week มากกว่าสองปี 
 
แม้ยอดจำหน่ายจะมากมายขึ้นหลักหลายล้านเล่ม แต่มัลคอล์มกับออกปากว่า ต่อให้ขายดีอย่างไร หนังสือเล่มนี้ชาวอเมริกันก็อ่านกันน้อยกว่า 1% ของประชากรทั้งหมด แต่นักเขียนผู้นี้ไม่ได้ยี่หระกับจำนวนผู้อ่านที่คิดเป็นอัตราเปอร์เซ็นต์ออกมา สำหรับเขาแล้วใครได้อ่านไม่สำคัญเท่ากับใครเอาสิ่งที่เขาคิดไปใช้งานอย่างไร เช่น โรนัลด์ รัมสเฟลด์ ใช้ทฤษฎีหลายอย่างใน The Tipping Point เพื่ออธิบายถึงการทำสงครามในอิรัก เป็นต้น 
 
จากนั้นปี 2005 The Blink งานเขียนประเภทเดียวกับเล่มแรกก็พิมพ์ออกจำหน่าย ประเด็นของ The Blink คือการวิเคราะห์จิตใต้สำนึกของมนุษย์ว่าทำไมประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีตจึงส่งผลต่อการตัดสินใจที่รวดเร็วฉับพลันกับเหตุการณ์ที่เกิดกับบุคคลนั้นในปัจจุบัน และในปีเดียวกับที่หนังสือวางตลาด มัลคอล์มได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร Time ให้เป็นหนึ่งในร้อยบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก และ Outliers : The Story of Success (2008-ผู้อ่านชาวไทยสามารถอ่านภาคภาษาไทยในชื่อ "สัมฤทธิ์พิศวง-ตีแผ่ 'ความสำเร็จ' ในมุมที่คุณคาดไม่ถึง" แปลโดย พูนลาภ อุทัยเลิศอรุณ, วิโรจน์ ภัทรทีปกร และวิญญู กิ่งหิรัญวัฒนา พิมพ์โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น) 
 
Outliers : The Story of Success ได้รับการตอบรับอย่างถล่มทลายจากนักอ่านทั่วโลก มีการแปลออกมาถึง 40 ภาษา เนื้อหาในงานเขียนเล่มนี้ครองใจนักอ่านทั่วโลก เป็นเพราะการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ อย่างชาญฉลาดของมัลคอล์ม โดยเขาพยายามค้นหาคำตอบในสิ่งที่ทำให้คนประสบความสำเร็จสูงสุด 
 
อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน, ทำไมเด็กอัจฉริยะจำนวนมากที่มีไอคิวสูงกว่าไอน์สไตน์ถึงเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีชีวิตล้มเหลว, บิล เกตส์ เหมือนกับวงดนตรีเดอะ บีเทิลส์ ตรงไหน, ทำไมนักฟุตบอลเยาวชนทีมชาติเช็กมากกว่าร้อยละ 70 ถึงเกิดในเดือนมกราคมถึงมีนาคมเท่านั้น, เพราะอะไรบรรดานักกฎหมายชั้นนำในนิวยอร์กส่วนใหญ่ถึงมาจากครอบครัวที่ทำงานตัดเย็บเสื้อผ้า, การมาจากครอบครัวที่ทำนาปลูกข้าวทำให้นักเขียนจีนเรียนเลขเก่งกว่านักเรียนตะวันตกได้อย่างไร, ทำไมอภิมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ (รวบรวมข้อมูลตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณเมื่อหลายพันปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน) ร้อยละ 20 ถึงเป็นชาวอเมริกันที่เกิดห่างกันไม่เกิน 9 ปี ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เป็นต้น 
 
ซึ่งเป็นการตั้งคำถามที่ดูพิศวง แต่มัลคอล์มทำให้ทุกคำถามคลี่คลายได้อย่างสัมฤทธิผล ประเด็นที่เขาจุดประกายไว้ในหนังสือคือ สิ่งสำคัญอย่างที่สุดในการที่ทุกคนจะประสบความสำเร็จสูงสุดได้คือการฝึกซ้อม 
 
การตั้งข้อสังเกตมากมายกลายเป็นเสน่ห์ในงานเขียนแนวพัฒนาตัวเองทั้งสามเล่มของมัลคอล์ม คือ การที่เขาเขียนถึงเรื่องหรือเหตุการณ์ที่ผู้คนคาดไม่ถึง แล้วใช้การทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์สังคมประกอบในการทำงาน และบ่อยครั้งที่เขาใช้หลักทฤษฎีของงานวิชาการด้านสังคมวิทยา, จิตวิทยา และจิตวิทยาสังคมมาช่วยในการวิเคราะห์ ทั้งที่มัลคอล์มไม่ชอบการเป็นนักวิชาการ 
 
"พ่อของผมชื่อแกรแฮม แกลดเวลล์ เป็นนักวิชาการที่เกิดในเมืองเคนท์ พ่อสอนวิชาคณิตศาสตร์อยู่ที่ University of Waterloo ในแคนาดา ผมรู้สึกสบายๆ กับโลกนี้นะ แต่ผมก็ตระหนักดีว่าโลกนี้มันยุ่งยากซับซ้อนเพียงไหน เมื่อก่อนผมอยากเป็นนักวิชาการมาก ผมฝันแบบนี้อยู่ตั้งหลายปี จนค้นพบตัวเองว่าคงไม่มีความสามารถพอที่จะเป็นนักวิชาการ และผมไม่อยากพบกับโศกนาฏกรรมทางวิชาการ นั่นก็คือการติดกับดักกำแพงวิชาการ ที่ต้องอยู่กับทฤษฎีมากมาย ผมจึงเลิกคิดที่จะเป็นนักวิชาการ ผมโตมาในครอบครัวที่พ่อเป็นนักวิชาการเต็มขั้น ทำให้เห็นว่าเป็นงานที่หนักและน่าเบื่อ ส่วนแม่ของผมเป็นชาวจาไมกา เป็นนักจิตวิทยาบำบัดและเขียนหนังสือชื่อ Brown Face, Big Master หนังสือพิมพ์เมื่อปี 1972 และพิมพ์ซ้ำไปเมื่อปี 2002 ผมชอบงานเขียนเล่มนี้ของแม่มาก และเป็นหนังสือที่ผมชอบมากที่สุด แม่คือต้นแบบที่ทำให้ผมอยากเป็นนักเขียน 
 
ผมเกิดที่อังกฤษและมาโตที่แคนาดา เติบโตมาในฟาร์มปศุสัตว์ ไร่ข้าวโพด ผมไปโรงเรียน พอตกเย็นหลังเลิกเรียนผมต้องช่วยงานในฟาร์มของที่บ้าน ผมเชื่อเสมอว่าความสำเร็จของคนอยู่ที่การขวนขวายและใฝ่เรียนรู้ โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เกิดมามีฐานะร่ำรวย การหมั่นหาความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ผมเป็นคนที่มานะบากบั่นมาตั้งแต่เด็ก ชอบการแข่งขัน เคยเป็นนักวิ่งของโรงเรียนและวิ่งได้อันดับสอง ผมมีเพื่อนที่เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะและพวกเขาก็เข้าเรียนมหาวิทยาลัยดังๆ ส่วนผมเรียนด้านประวัติศาสตร์ที่ University of Toronto's Trinity College พอเรียนจบทำงาน ผมจึงได้โอกาสในการเรียนรู้เรื่องธุรกิจจากหนังสือพิมพ์ธุรกิจ The Washington Post ที่ผมทำงานให้" 
 
 
มัลคอล์มเริ่มต้นการทำงานที่ The American Spectator นิตยสารรายเดือนของกลุ่มอนุรักษนิยม และทำหน้าที่นักเขียนแนววิทยาศาสตร์ให้กับนิตยสารเล่มนี้ตั้งแต่ปี 1987-1996 จากนั้นมาทำงานให้กับ The Washington Post และปัจจุบันเขียนบทความให้กับ The New Yorker โดยงานเขียนเล่มแรกของเขาเป็นผลพวงมาจากบทความชื่อ The Tipping Point ที่ไปเตะตาเอเยนซีรายหนึ่งเข้า จึงเสนอให้เขาเขียนเพื่อจัดพิมพ์เป็นเล่ม จนมียอดจำหน่ายสูงกว่าที่คาดเอาไว้ 
 
"ผมตกหลุมรักการเล่าเรื่องแบบในงานเขียนทั้งสามเล่ม เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมทำให้คนอ่านรักในสิ่งที่ผมเล่า ผู้อ่านก็จะติดตามและอยากรู้ไปพร้อมๆ กับผมเช่นกัน งานเขียนแบบนี้มีเสน่ห์กว่านวนิยายตรงที่มันมีข้อมูลทางสถิติมารองรับให้เกิดความน่าเชื่อถือ ประเด็นที่ผมต้องการนำเสนอใน Outliers อีกอย่างคือเรื่องชาวยิวที่อพยพเข้ามาอยู่ยังที่ต่างๆ และพวกเขาก็อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้ดีเด่อะไร ผมจึงอยากไขความลับและทำให้คนอ่านเข้าใจชาวยิว ถ้าพวกเราเข้าใจความลับที่ผมพาคุณไปค้นพบด้วยกัน พวกเราก็จะสามารถเข้าใจและช่วยคนเชื้อสายอื่นๆ ได้อีก 
 
ตอนเป็นเด็กผมคิดเสมอว่าผมเหมือนอยู่ในเปลือกหอย ไม่มีใครนอกจากพ่อแม่และเพื่อนไม่กี่คน ตอนนั้นเทอร์รี่ซึ่งเป็นเพื่อนคนหนึ่งของผม บอกกับผมว่าโลกเป็นรูปแบบหนึ่งของระบบที่เราสามารถตักตวงผลประโยชน์เอาจากโลกได้ในรูปแบบที่มันจะบังเกิดผลให้กับเรา จากนั้นผมก็รู้ว่าผลงานอันน่าทึ่งเกิดขึ้นจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นบารัก โอบามา ดอริส เลสซิ่ง กอร์ วิดัล แลร์รี่ เครเมอร์ เรื่องราวของบุคคลเหล่านี้ทำให้ผู้รับสารจัดกลุ่มให้พวกเขาเป็นคนนอก และตัวผมเองก็จัดอยู่ในประเภทคนนอกเมื่อหลายปีมาแล้ว 
 
ผมเป็นชาวอังกฤษซึ่งมาโตที่แคนาดา ไม่ใช่ทั้งคนขาวและคนดำ ผมเป็นคนสองเชื้อชาติที่ตกทอดมาจากพ่อและแม่ และผมก็เดินทางไปๆ มาๆ กับสิ่งที่ผมได้รับมาจากพ่อและแม่ ถ้าคุณคือส่วนผสมของขาวและดำ คุณไม่สามารถทำลายมันลงได้ บางทีคุณอาจสร้างกลุ่มของตัวเองขึ้นมาใหม่ เป็นกลุ่มที่สามซึ่งเรียกร้องต่อการมีตัวตนและการมีอยู่ของตัวเอง แม้หลายคนจะมองว่าคนผิวดำมีสถานภาพทางสังคมในระดับล่าง แต่ผมกลับมีทัศนคติเรื่องเชื้อชาติ สีผิวที่ต่างจากหลายคนเหล่านั้น" มัลคอล์ม กล่าว 
 
งานเขียนแต่ละเล่มของมัลคอล์มมีวาระและนัยซ่อนเร้นเอาไว้ อย่างเล่มล่าสุด Outliers ที่พูดถึงพรสวรรค์อันพิศวงของบุคคล เพื่อชี้ให้เห็นว่าบุคคลที่เขานำมาเขียนไม่ใช่บุคคลที่ถูกมองข้ามหรือไร้ตัวตน แต่สิ่งใดที่ทำให้พวกเขาเหล่านี้กลายเป็นบุคคลที่สำคัญ และเมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามว่าอะไรกันที่ทำให้บุคคลเหล่านี้ไม่ไร้ตัวตนและเป็นบุคคลที่สำคัญในความรู้สึกและความคิดของเขา? มัลคอล์มนิ่งไปพักหนึ่งและตอบว่า… 
 
"ก็เพราะการที่ผมมีแม่เป็นชาวจาไมกา ที่แม้จะอยู่ที่ไหนแม่ก็ยังเป็นชาวจาไมกา คุณเกิดที่ไหนคุณก็จะมีความรู้สึกเป็นคนของที่นั่น ไม่ว่าคุณจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม สิ่งเหล่านี้ครอบงำและมีอิทธิพลต่อชีวิตของคุณ ดังนั้นงานเขียนเล่มล่าสุดของผมจึงเป็นเรื่องใกล้ตัวผม เข้าข่ายเรื่องส่วนตัว ประเด็นของงานเขียนก็เอามาจากชีวิตของผมเอง ผมวิเคราะห์ชีวิตของแม่เพื่อลงในรายละเอียด ว่าอะไรบ้างที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของแม่" 
 
สำหรับโลกธุรกิจ มัลคอล์ม แกลดเวลล์ เป็นอีกคนที่น่าจับตามองของศตวรรษที่ 21 ด้วยบทบาทของสื่อและการไปปรากฏตัวเพื่อพูดตามที่ต่างๆ ในฐานะผู้ให้คำแนะนำเส้นทางสู่ความสำเร็จ 
 
ส่วนสำหรับโลกของการเป็นนักเขียน คงต้องบอกว่ามัลคอล์ม แกลดเวลล์ เริ่มต้นจากการเป็นนักคิดที่ตามความคิดไปให้สุด และสัมฤทธิ์ออกมาเป็นงานเขียนทั้งสามเล่ม ที่ประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องพิศวง 


โดย : นงค์ลักษณ์ เหล่าวอ nonglakspace@gmail.com 
วันที่ 10 กันยายน 2552 จาก : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ