Lavinia Greenlaw : งานติดตั้งบทกวีในรูปแบบเสียง

รูปแบบงานบทกวีเสียงของ Lavinia Greenlaw … เมื่อ หูฟังและเครื่องเล่นเอ็มพีสามทำงาน เสียงของบทกวีจะออกมาท่ามกลางความพลุกพล่านขอสถานีรถไฟ
ก่อนที่ ลาวิเนีย กรีนลอว์ (Lavinia Greenlaw) จะก้าวมาเป็นนักเขียนอาชีพอย่างเต็มตัว เคยทำงานในสำนักพิมพ์และฝ่ายศิลป์มาก่อน ผลงานเขียนเล่มแรกเป็นรวมบทกวีนิพนธ์ชุด Night Photograph (สนพ.เฟเบอร์ พิมพ์เมื่อปี 1993) ได้รับเสนอชื่อเข้าชิง the Whitbread Prize เล่มที่สองรวมบทกวีนิพนธ์ชุด A World Where News Travelled Slowly จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แห่งเดิม
เป็นเวลากว่า 25 ปีแล้วที่กรีนลอว์ได้รับการพูดถึงในฐานะกวีที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง งานของเธอเฉียบคม งดงาม มุ่งมั่นด้วยการค่อยๆ เผยให้เห็นความชัดเจน เป็นกวีผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศรางวัล the Forward Prize ปี 2003 จากรวมผลงานชุด Minsk และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรอบสุดท้ายในสามรางวัลสำหรับงานเขียนประเภทบทกวีได้แก่ the Forward, the Whitbread (ปัจจุบันคือรางวัลคอสต้า-the Costa Award) และ the TS Eliot
นอกจากผลงานบทกวียังมีผลงานนวนิยายที่โดดเด่นอีกสองเล่มคือ รวมถึงสารคดีอีกสองเล่ม และยังมีผลงานเขียนบทละครและสารคดีให้กับวิทยุ “การเขียนกวีอยู่ในใจฉันมาตลอด และเป็นสิ่งแรกที่ฉันอยากทำ แต่งานต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาไม่ใช่รูปแบบของบทกวี ฉันจึงต้องหารูปแบบให้แก่งานเขียนแต่ละอย่างที่ทำ”
การนำเสนอชิ้นงานเขียนประกอบไปด้วยความในเนื้องานที่เป็นธรรมชาติและมีศิลปะ เพราะมองว่าการทำงานเขียนเป็นรูปแบบหนึ่งของการสร้างสรรค์ภาพต่างๆ ผนวกเข้ากับความพยายามในการแสดงออกอย่างลงตัว
“ฉันได้รับความอิ่มเอมเป็นอย่างยิ่งจากดนตรีและงานศิลปะ เพราะทำให้ฉันได้พักจากการใช้ภาษา และฉันก็อิจฉาสองสิ่งนี้ อยากทำงานที่ไม่ต้องใช้ภาษาให้ได้”
เธอยังบอกอีกว่าภาษามีทั้งความน่าหลงใหลและยุ่งยาก กว่าจะเลือกคำหรือภาษาที่ลงตัวในการเขียนไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะทำงานเขียนอย่างสม่ำเสมอ แต่เริ่มเขียนหนังสือเป็นจริงเป็นจังเมื่ออายุประมาณ 25 ช่วงที่ลูกสาวเกิด
“บทกวีมักโผล่ออกมาเมื่อเราไม่ตั้งใจเสมอ และลูกก็ทำให้ฉันได้เขียนบทกวี ฉันไม่ได้เขียนเกี่ยวกับลูก แต่ฉันได้เขียนกวีก็เท่านั้น”
พอลูกสาวอายุได้ 10 สัปดาห์ เธอเริ่มไปเข้าเวิร์คชอปกับกวีชื่อ Fred D’Aguiar
“ช่วงนั้นเป็นเวลาที่วิเศษมาก เฟร็ดเป็นครูที่เหมาะที่สุด ณ ตอนนั้น การเขียนของฉันเปลี่ยนไปเร็วมาก ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยเขียนบทกวีออกมาและภูมิใจกับงานชิ้นนี้มาก เหมือนกับว่าฉันทำได้แล้วก็ทิ้งลงถังขยะไป ไม่กล้าเอามาอวดใคร และงานชิ้นนั้นทำให้ฉันรู้ว่าที่คิดเอาไว้ผิดถนัด”
กรีนลอว์เป็นนักเรียนภายใต้การสอนของเฟร็ดเป็นเวลาสองปี ก่อนที่ผลงานเล่มแรกจะได้รับการตีพิมพ์
คณะกรรมการตัดสินรางวัล Ted Hughes Award 2011 ประกอบด้วย Edmund de Waal, Sarah Maguire และ Michael Symmons Roberts ตัดสินให้ผลงานบทกวีเสียงจัดวางชุด Audio Obscura ของกรีนลอว์ได้รับรางวัลชนะเลิศ งานบทกวีนิพนธ์เสียงชุดนี้ของเธอมีติดตั้งอยู่ที่สถานีรถไฟทั้งขาเข้าและขาออกของสถานี Manchester Piccadilly และสถานี London St Pancras ในอังกฤษ นับเป็นงานกวีนิพนธ์ที่นำเสนอผลงานด้วยเทคนิคแบบใหม่ เจ้าของผลงานติดตั้งผลงานเสียงเพื่อให้ผู้โดยสารรถไฟทั้งสองสถานีได้ใช้หูฟังในการรับฟัง ถือเป็นการเปิดโลกและประสบการณ์ใหม่ของนักอ่าน และทำให้รู้ว่าบทกวีจับมานำเสนอผลงานได้หลากหลายรูปแบบและวิธีการ
กรีนลอว์ดีใจที่ผลงานชนะเลิศพร้อมเงินรางวัล 5,000 ปอนด์ “ฉันบอกไม่ถูกว่าดีใจมากแค่ไหน ไม่ใช่แค่กรรมการเท่านั้นที่ฉันอยากขอบคุณ แต่ผู้คนจำได้ว่านี่คือส่วนหนึ่งของผลงานที่ฉันมี และไม่ใช่ความบันเทิง แต่เป็นงานที่กลั่นออกมาจากใจ คณะกรรมการเข้าใจว่านี่คือผลงานที่น่าสนใจ ฉันคิดว่าประชาชนอาจคิดว่าผลงานของฉันเป็นการแสดงให้เห็นอีกรูปแบบของการประพันธ์ หรือบางคนอาจเข้าไม่ถึงและไม่เข้าใจทั้งหมดในสิ่งที่ฉันนำเสนอ แต่ฉันเชื่อในสิ่งที่นำเสนอออกมา และผู้อ่านต่างมีบุญคุณที่ทำให้ได้มาอยู่ตรงนี้ และกรรมการเองก็เข้าใจว่านี่คือส่วนหนึ่งของบทกวี”
ชุดความคิดของ Audio Obscura เกิดมาจากการที่ผู้เขียนเคยทำงานด้านวิทยุมาก่อนหลายปี และสนใจในรูปแบบนี้ การสร้างสรรค์ที่เป็นการทำงานกับสิ่งที่ผู้คนได้ยินเท่านั้น แต่เธอต้องการนำโครงสร้างของการฟังวิทยุ ต้องการให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่ผู้คนเห็นและได้ยิน
“ทุกคนที่อยู่ในสถานีต่างตึงเครียด พวกเขาโดยสารรถไฟจากอีกสถานีหนึ่งเพื่อไปอีกสถานี ฉันอยากค้นหาสภาวะอารมณ์ของมนุษย์ในห้วงเวลานั้น ทุกคนดูเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง และฉันอยากรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่”
รูปแบบงานบทกวีเสียงของกรีนลอว์ประกอบด้วยตัวชิ้นงานที่เป็นบทกวีในภาษาเขียน หูฟังและเครื่องเล่นเอ็มพีสาม เสียงของบทกวีจะออกมาท่ามกลางกลุ่มคนที่พลุกพล่านในสถานีรถไฟ
“เสียงที่สถานีรถไฟทำให้คุณลืมไปเลยว่าสวมหูฟังอยู่ จากนั้นเสียงจากเครื่องเล่นส่งผ่านมายังหูฟังก็ปรากฏขึ้น แวบแรกคุณคิดว่านี่คือเสียงของคนจำนวนมากที่แวดล้อมอยู่ในสถานี จากนั้นคุณจะเริ่มได้ยินเสียงของบทกวีที่เกิดขึ้น บางครั้งเสียงบ่งบอกถึงความเจ็บปวด งดงามและรู้สึกดี” กรีนลอว์เลือกเขียนบทพูดคนเดียวจากบุคลิกของผู้คนที่พบเห็น ทำให้ผู้ฟังสัมผัสได้
เธอใช้เวลานานในการรวบรวมสภาวการณ์ที่พบเจอ จากนั้นนำมาประมวลผลได้ว่าผู้คนที่พบเห็นเป็นแบบไหน ดังนั้นบางครั้งผู้ฟังจะเห็นภาพของเด็กหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งที่รอรถไฟอยู่ การบันทึกเสียงแบบนี้ลงไปให้ความรู้สึกในความเป็นบทกวีมากกว่าการมานั่งพรรณนาความ และยังมีพื้นที่เหลือให้ผู้ฟังได้จินตนาการ อีกทั้งปรารถนาที่จะเขียนบทกวีในลักษณะนี้อีกสักชิ้น ผลงานที่ได้รับรางวัลเกิดขึ้นที่สถานี Manchester Piccadilly เมื่อเดือนกรกฎาคม 2011 และสถานี London St Pancras เดือนกันยายนและตุลาคม 2011
การทำงานเขียนและบทกวี ทำให้กรีนลอว์รู้สึกว่าคือพื้นที่ของตนเองอย่างแท้จริง เธอเคยกล่าวเอาไว้ว่า จะเป็นนักเขียนจนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง สิ่งที่เป็นจุดเด่นคือการนำเสนองานเขียนในรูปแบบผสมผสานระหว่างตัวชิ้นงานกับสื่ออย่างเช่นสื่อเสียง ซึ่งเคยมีพื้นฐานมาเป็นอย่างดี ทั้งงานสร้างสรรค์ทางศิลปะและวิทยุ
จึงเป็นที่น่าจับตามองต่อไปว่าในอนาคตผลงานเขียนประเภทอื่นของเธอ จะถูกจับมานำเสนอแบบบทกวีเสียงติดตั้งเช่นเดียวกับ Audio Obscura หรือไม่
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.bangkokbiznews.com