Haruki Murakami: ในการตามหาสัจนิยมใหม่

Q:ใน 1Q84 (หนึ่งคิวแปดสี่) นวนิยายขนาดยาวที่เป็นผลงานชิ้นเอกของอาชีพนักเขียนตลอดสามสิบปี มีการบรรยายภาพโลกอีกใบหนึ่งที่หลุดจากความจริงที่เรารู้จักเล็กน้อย คุณคิดพล็อตเรื่องนี้ได้อย่างไร และแก่นเรื่องของนิยายเรื่องเป็นอย่างไร
Haruki Murakami: ผมต้องการจะเขียนนิยายที่ย้อนกลับไปยังอดีตอันใกล้คล้ายๆ กับนิยายโลกอนาคต “หนึ่งเก้าแปดสี่” ของจอร์จ ออร์เวลล์ มานานแล้ว แรงบันดาลใจอีกอย่างหนึ่งของหนังสือนี้คือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกลัทธิสัจสูงสุดโอม (โอม ชินริเคียว) ผมเขียน “อันเดอร์กราวน์” (ใต้ดิน – ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1997) หลังจากสัมภาษณ์เหยื่อมากกว่า 60 คนจากการโจมตีด้วยแก๊ซซาริน (ในปี ค.ศ.1995) ในรถไฟใต้ดินที่โตเกียว และเขียน “เดอะเพลซเธทวอสโพรมิส” (ดินแดนพันธสัญญา- ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2001) หลังจากสัมภาษณ์สาวกลัทธิโอมแปดคน และแม้หลังจากนั้น ผมเข้าฟังการตัดสินคดีที่ศาลสูงเขตโตเกียวบ่อยครั้งที่สุดเท่าที่จะทำได้
ความขุ่นเคืองของผมต่อเหตุการณ์นี้ยังคงติดตรึงไม่อาจบรรเทาลงได้ แต่ความสนใจของผมถูกกระตุ้นจากกรณีของยาสุโอ ยาฮาชิ ที่อยู่ระหว่างการรอประหารชีวิต เขาหลบหนีไปหลังจากสังหารคนแปดคน จำนวนที่มากที่สุดในการโจมตีรถไฟใต้ดินโตเกียว ฮาราชิเข้าร่วมลัทธิโอมโดยไม่รู้แน่ชัดว่าเขากำลังเข้าไปเกี่ยวข้องกับอะไร และก่อเหตุอาชญากรรมหลังจากถูกล้างสมอง
ผมคิดว่าการตัดสินประหารชีวิตเป็นการตัดสินใจที่สมเหตุสมผล เมื่อเราพิจารณาระบบการลงทัณฑ์ของญี่ปุ่นและความโกรธขึ้งและความเสียใจของครอบครัวผู้สูญเสีย แต่ลึกๆ แล้วผมไม่เห็นด้วยกับการประหารชีวิต และรู้สึกสลดหดหู่อย่างยิ่งเมื่อคำตัดสินประหารชีวิตออกมา
ในตอนนั้น ผมนึกภาพความน่ากลัวของการถูกทิ้งไว้โดดเดี่ยวอยู่อีกด้านหนึ่งของพระจันทร์ที่ซึ่งคนธรรมดาๆ คนหนึ่งได้ก่ออาชญากรรมโหดร้ายอย่างโง่เขลาและจบลงด้วยการถูกตัดสินรอการประหารชีวิต ผมครุ่นคิดถึงความหมายของเรื่องนี้มาหลายปี และเรื่องนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ผมเขียน
Q: นวนิยายเรื่องนี้ทำให้คนอ่านได้เห็นความสูงสง่าและความน่าเกลียดชังของมนุษย์ ด้วยระบบการตัดสินแบบผู้พิพากษาสมทบเพิ่งจะเริ่มขึ้น ผู้คนกลับมาพิจารณาอีกครั้งถึงความหมายของการไต่สวนคนอื่นๆ ในศาล
Haruki Murakami: เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสาวกของโอมที่เกิดขึ้นหลายครั้งทำให้เราตั้งคำถามอย่างจริงจังเกี่ยวกับคำจำกัดความของคำว่า “จริยธรรม” ที่ควรจะมีในสังคมร่วมสมัย ผมเริ่มติดตามเรื่องของลัทธิโอมมาก่อน ผมเลยสามารถกลับมาประเมินใตร่ตรองสถานการณ์ในปัจจุบันอีกครั้งในมุมที่ดีและไม่ดี
เราอยู่ในโลกที่การใช้จริยธรรมทางสังคมด้านเดียวตัดสินว่าความเห็นหรือการกระทำใดถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ทำได้ยากยิ่ง กำแพงที่กั้นผู้คนที่อาจจะประกอบอาชญากรรมและคนที่จะไม่ทำนั้นบางกว่าที่คุณคาดคิด ความจริงมีอยู่ในข้อสมมติฐานและสลับกัน มีการต่อต้านสถาบันภายในสถาบันเองและสลับกัน
ผมต้องการเขียนนิยายที่โอบล้อมระบบสังคมร่วมสมัยเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างของมัน ดังนั้นผมถึงตั้งชื่อเสียงเรียงนามให้กับตัวละครแทบทุกตัวในเรื่อง และให้รายละเอียดต่างๆ ละเอียดยิบ เพื่อที่จะใครๆ ก็ตามในหมู่พวกเราสามารถเป็นหนึ่งในตัวละครเหล่านั้นได้อย่างไม่ยากเย็น
Q: ตัวละครทุกตัวมีบาดแผลในจิตใจและมีผ่านชีวิตมืดมน แต่พวกเขาก็มีเสน่ห์ของตัวเอง พระจันทร์สองดวงกับตัวละครเหนือจริงสองคน ลิตเทิลพีเพิลและดักแด้อากาศในนิยาย แต่ผู้คนสมัยนี้ที่เคยชินกับภาพวาดด้วยคอมพิวเตอร์ผ่านภาพยนตร์และเกมคอมพิวเตอร์จะสามารถดื่มดำ่ได้อย่างง่ายดายหรือ
Haruki Murakami: สภาพจิตใจที่มีร่วมกันอย่างหนึ่งในหมู่ผู้คนในโลกร่วมสมัย คือ พวกเขาเริ่มไม่แน่ใจว่าโลกที่เห็นอยู่เป็นความจริงหรือไม่ ตึกแฝดเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ถูกถล่มราบในวันที่ ๑๑ กันยายน ค.ศ. ๒๐๐๑ ผู้ก่อการร้ายโจมตีนครนิวยอร์กในภาพที่ดูเหมือนไม่ใช่ความจริง
ภาพตึกทั้งสองพังทลายถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางคนอาจจะขาดสติชั่ววูบรู้สึกไปว่าในโลกที่เคยมีตึกสูงนั้นที่ตนเคยอยู่เป็นโลกประหลาด พวกเขาอาจจะคิดก็ได้ว่าพวกเขาอาจจะอยู่ในโลกที่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ไม่ได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง และสงครามอิรักไม่เคยระเบิดขึ้น
ผมคิดว่าเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่โกเบในปี ค.ศ. 1995 และการโจมตีด้วยแก๊ซซารินในรถไฟใต้ดินที่โตเกียวในเดือนมีนาคมปีเดียวกันทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนมากมีประสบการณ์ในความรู้สึกหลุดจากความจริงก่อนคนในประเทศอื่นๆ
พวกเขาถามตัวเองว่า “พวกเราอยู่ที่นี่เพื่ออะไร” นิยายของผม ยกเว้นเรื่อง “นอร์วีเจียนวูด” (ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย) ไม่ได้นำเสนอสิ่งที่เราเรียกว่าสัจนิยม แต่ดูเหมือนจะมีการเริ่มยอมรับทั่วโลกว่าเป็นงานเขียนที่นำเสนอสัจนิยมใหม่ — โดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์ 9/11
ในเวลาเดียวกัน ผมชอบนิยายทางโลกย์อย่างที่ออนอเร เดอ บัลซัค (ค.ศ.1799-1850) เขียน ผมอยากเขียน “นิยายที่อ่านแล้วเข้าใจได้ในวงกว้าง” ในสไตล์ของผมเอง ด้วยการบรรยายสภาพสังคมในปัจจุบันจากจุดยืนที่มีทั้งด้านกว่้าง ด้านยาว และด้านลึก
ผมพยายามจะแทรกฝังชีวิตมนุษย์ในบรรยากาศสังคมร่วมสมัยด้วยการก้าวข้ามการแบ่งประเภทของวรรณกรรมบริสุทธิ์ และด้วยการลองใช้วิธีการต่างๆ และแต่ละวิธีได้นำสิ่งที่แตกต่างมาให้
Q : ใน "1Q84" กลุ่มที่มาจากการเคลื่อนไหวของนักศึกษาแตกเป็นกลุ่มที่มีจุดประสงค์ทางการเมืองกับกลุ่มที่แสวงหาชีวิตแบบพอเพียง กลุ่มหลังกลายเป็นองค์กรทางศาสนา อ่านแล้วนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้
HM : ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องไตร่ตรองให้ถ้วนถี่ถึงเส้นทางที่คนรุ่นเราได้เดินตามมาตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังปีทศวรรษที่ 1960 ไม่ว่าจะอย่างไร คนรุ่นเราได้สร้างเรื่องราวใหม่ในยุคที่แนวความคิดแบบมาร์กซิสต์ได้สูญสิ้นพลังอำนาจและผ่านช่วงรุ่งเรืองกลายเป็นสิ่งที่ต้านกระแส (ของทุนนิยม)
อะไรจะสามารถเข้ามาเป็นหลักความคิดแทนที่แนวคิดแบบมาร์กซิสได้ ระหว่างการค้นหาคำตอบ พวกเขาเริ่มสนใจในลัทธิทางศาสนาที่ล้วนออกแนวไปทางนิว-เอจ “ลิตเทิลพีเพิล” เป็นสิ่งหนึ่งที่เกิดจากตรงนั้น
Q : ใครคือ “ลิตเทิลพีเพิล” ที่ผู้นำองค์การศาสนนิกายเห็นในป่าที่ยามะนะชิ นี่อาจจะเป็นปริศนาที่ชวนฉงนสงสัยที่สุดของผู้ที่อ่านวนิยายของคุณ
HM : ลิตเลิทพีเพิลมีอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณในฐานะสัญลักษณ์ของความลึกลับที่ไม่สามารถอธิบายด้วยถ้อยคำได้ อาจมองได้ว่าพวกเขาเป็นเหมือนสิ่งที่มีอยู่ในจินตนาการ มีการสร้างตำนานต่างๆ ขึ้นผ่านประวัติศาสตร์หรือในความทรงจำที่ผู้คนมีร่วมกัน และพวกเขาได้ปลดปล่อยพลังของพวกมันออกมาในทันทีที่มีสถานการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น ตำนานที่ถูกกระตุ้นขึ้นมาจากสภาพผิดธรรมชาติ เช่น การระบาดของไข้หวัดนก เป็นปัจจัยที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง คงเป็นสิ่งที่อยู่ในตัวเราเอง
นอกจากนั้น มันยังเกี่ยวข้องกับปัญหาเรื่องความคิดแนวนิยมจารีต เมื่อโลกวุ่นวายยุ่งเหยิงขึ้นเรื่อยๆ ลัทธิเแนวนิยมจารีตที่ได้รับการปรับให้ง่ายลงเริ่มดึงดูดผู้คนให้เข้าไปหาเรื่อยๆ การคิดด้วยตัวเองในสภาพการณ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้ต้องใช้พลังมหาศาล เพราะเหตุนี้ คนส่วนใหญ่จึงหยิบยืมคำพูดสำเร็จรูปพร้อมใช้ของคนอื่นๆ มากล่าวทำราวกับตัวเองเป็นคนคิดขึ้นมา วิธีการคิดเช่นนี้มีแนวโน้มจะเชื่อมโยงกับความคิดแนวนิยมจารีต ยิ่งตอนนี้แนวคิดพวกนี้ถูกทำให้ง่ายลงยิ่งไปกันใหญ่ แนวความคิดเช่นนี้ไม่ค่อยดีต่อสุขภาพนัก — มันเหมือนอาหารขยะที่ให้พลังงานชั่ววูบหนึ่งแต่ไม่มีประโยชน์กับร่างกาย ในช่วงหลังๆ นี้ การกระตุ้นคนให้สนใจเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณของตนด้วยตัวเองทำได้ยาก
Q : การเข้ามาของลัทธินิยมจารีตและโลกาภิวัฒน์ได้คืบหน้าไปพร้อมๆ กับเทคโนโลยีสารสนเทศ เรามีช่องทางเข้าสู่ข้อมูลมากมายบนอินเตอร์เน็ต และมันเปิดช่องโหว่ให้เราถูกจูงจมูกจากข้อมูลเหล่านี้
HM : จริง โลกทุกวันนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับโลกในปี 1984 ตอนนั้นมีเครื่องเวิร์ดโพรเซสเซอร์แล้ว แต่ไม่มีใครมีคอมพิวเตอร์ที่บ้าน เราต้องไปห้องสมุดเพื่อหาข้อมูลที่ต้องการ โทรศัพท์มือถือไม่ได้มีใช้ทั่วไป เราเลยต้องรอคิวเข้าใช้โทรศัพท์สาธารณะ ตอนนั้นเราฟังแผ่นเสียงที่เล่น 33=1/3 รอบต่อนาที สิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปอย่างน่าตกใจ ทุกวันนี้ ใครๆ ก็สามารถแสดงความคิดเห็นของตน – ไม่ว่าจะผิดศีลธรรมแค่ไหน – บนบล็อกและข้อความเลวร้ายของผู้ไม่ประสงค์ออกนามก็ถูกโพสต์ไปทั่วอินเตอร์เน็ต ข้อความและความคิดเห็นถูกคัดลอกตัดแปะและกล่าวซ้ำครึ่งๆ กลางๆ แล้วเล่า ความเร็วและความง่ายดายเป็นสิ่งที่ได้รับการเชิดชูสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด
ตอนที่ผมได้รับรางวัลเยรูซาเล็มในเดือนกุมภาพันธ์ (2009) ดูเหมือนว่าจะมีพายุโหมกระหน่ำในอินเตอร์เน็ต เพราะผู้คนถกเถียงกันว่าผมควรจะปฏิเสธไม่รับรางวัลนี้หรือไม่ โชคไม่ค่อยดี การถกเถียงหยุดลงโดยไม่ได้ขุดลึกลงไปว่าผมควรทำอย่างไรในตอนไปร่วมงานมอบรางวัล
Q : ในสุนทรพจน์ของคุณในงานมอบรางวัลนั้น คุณได้ใช้การอุปมาเกี่ยวกับ “ไข่กับกำแพง” คุณกล่าวว่าคุณเขียนนวนิยายเพื่อ “ดึงศักดิ์ศรีของจิตวิญญาณเหล่าปัจเจกชนขึ้นมาสู่พื้นผิวและส่องแสงลงไป”
HM : ผมเชื่อว่าหน้าที่ของนักเขียนควรจะเป็นการแต่งเรื่องที่สามารถต่อต้านความคิดนิยมจารีตและพลังลึกลับประเภทต่างๆ เรื่องจะคงอยู่ตลอดกาล — หากเป็นเรื่องที่ดีและพบพื้นที่ในใจของคนที่ใช่
ไม่ว่าการอุปมา “ไข่กับกำแพง” ของผมจะได้รับการสรรเสริญขนาดไหน สารที่ดิบขนาดนั้นจะค่อยๆ ลดแรงกระแทกใจเมื่อมันถูกส่งกระจายไปทั่ว แต่เรื่องที่นักเขียนแต่งจะเข้าไปในจิตใจของคนจนเต็ม แม้จะไม่สามารถสร้างผลกระทบแบบทันด่วนได้ แต่มันสามารถคงอยู่ได้อีกยาวนาน ทั้งยังสามารถพัฒนาต่อไปพร้อมกับเวลาที่ผ่านผันอีกด้วย เรื่องเรื่องหนึ่งจำเป็นต้องมีพลังเพิ่มพูนยิ่งขึ้น แม้จะเป็นตอนที่อินเตอร์เน็ตท่วมท้นไปด้วย “ความคิดเห็น”
ข้อสะกิดใจหรือข้อความต่างๆ พยายามใส่ความรู้สึกที่พูดยากเกี่ยวกับจิตวิิญญาณของคนในรูปของคำที่เรียบง่าย มันจึงโดนใจคนได้ในทันที นักเขียนนวนิยายไม่ได้เป็นอย่างนั้น นักเขียนแต่งเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมาผ่านถ้อยคำที่ใกล้เคียงกับแก่นของแนวคิดมากที่สุด และดึงสารที่ยากจะบอกออกมาด้วยการใส่รายละเอียด ผมคิดว่านี่คือความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้
นักเขียนนวนิยายได้รับความสุขใหญ่หลวงเมื่อผู้อ่านคนหนึ่งได้ค้นพบความจริงที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในถ้อยคำในนวนิยาย สิ่งที่สำคัญไม่ใช่จำนวนเล่มที่ขายได้ แต่เป็นวิธีการที่นักเขียนนวนิยายใช้ในการเข้าถึงผู้อ่าน
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://gammemagie.blogspot.com/2011/10/1q84-haruki-murakami.html