Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

Hans Keilson : นักเขียนยิวเยอรมันวัย 101 ปี

 

 
ชื่อของ ฮานส์ ไคลสัน (Hans Keilson) อาจจะเป็นนักเขียนนวนิยายที่หลายคนไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเขามาก่อน
 
 
ชื่อของ  ฮานส์  ไคลสัน  (Hans  Keilson)  อาจจะเป็นนักเขียนนวนิยายที่หลายคนไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเขามาก่อน  ฮานส์เป็นชาวยิวเยอรมันที่เกิดเมื่อปี  1909  หนังสือเล่มแรกเขียนออกมาเมื่ออายุได้  23  ปี  ปัจจุบันอายุ 101  ปี  แต่เขามาตั้งหลักปักฐานและกลายเป็นนักเขียนที่นานาชาติรู้จักอย่างเป็นจริงเป็นจังก็เมื่อวัยล่วงเลยมาถึง  77  ปี  ด้วยผลงานเขียนที่บอกเล่าเรื่องราวการหลบซ่อนตัวจากทหารนาซี  ที่ได้รับการถ่ายทอดออกมาเป็นงานวรรณกรรมประเภทนวนิยาย  
 
 
นวนิยายเล่มแรก  Das Leben  Geht  Weiter  (Life Goes On)  ตีพิมพ์เมื่อปี  1934  โดยสำนักพิมพ์  Fischer  ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์หนึ่งที่มีชื่อเสียงของเยอรมนี  และทำให้ฮานส์เป็นนักเขียนชาวยิวคนสุดท้ายที่มีผลงานตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แห่งนี้  ก่อนจะมีกฎหมายเนิร์นแบกออกมาบังคับใช้เพื่อกำกับสิทธิต่างๆ ของชาวยิว  ซึ่งกฎหมายนี้เป็นกฎหมายที่ออกมาในช่วงที่ฮิตเลอร์อยู่ในอำนาจ  
 
 
หลังจากสงคราม  นวนิยายเล่มที่สอง  The Death  of  the  Adversary  ตีพิมพ์ออกมาในปี  1962  กลายเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา  นิตยสาร Time  จัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสิบหนังสือที่ดีที่สุดแห่งปี  ร่วมไปกับผลงานเขียนของนักเขียนอย่าง  Borges, Faulkner,  Nabocov  และ  Roth  จากนั้นชื่อของฮานส์มีติดอยู่ในโผของรางวัลสำคัญอย่างโนเบลและพูลิตเซอร์  แต่ไม่เคยได้สัมผัสรางวัลทั้งสองแม้แต่ครั้งเดียว
 
จนกระทั่งในปี  2007  ดาเมียน  เซิร์ลส์  พบงานเขียนเล่มที่  3  Komödie  in  Moll  ในกระบะหนังสือลดราคาที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่งในออสเตรีย  จึงได้นำมาเพื่อเผยแพร่ให้มีการพิมพ์ซ้ำ  งานของฮานส์จึงมีการเปิดตนเองไปสู่นานาชาติเป็นครั้งแรก  เขากลายเป็นนักเขียนยิวเยอรมัน  ซึ่งเป็นที่รู้จักของนานาประเทศ  เมื่ออายุล่วงเลยมาถึง 77  ปี  ตอนนี้งานเขียนมีการแปลออกมาทั้งหมด  9  ภาษา 
 
โดยฝีมือการแปลของดาเมียนผู้ที่พบงานเขียนเล่มที่  3  ของ ฮานส์  และยังแปลผลงานอีกหลายเรื่องของเขาเป็นภาษาอังกฤษ  เช่นเรื่อง  Comedy  in  a  Minor  Key  นวนิยายเล่มนี้เขียนเมื่อปี  1947  เผยแพร่ในอังกฤษเป็นครั้งแรก  นักวิจารณ์หนังสือชาวฝรั่งเศส  Francine  Prose  เขียนไว้ใน  New York  Times  ว่า  “นวนิยายเล่มนี้เป็นผลงานชิ้นเอกของนักเขียนผู้นี้  แสดงให้เห็นถึงความอัจฉริยะ  และในเดือนธันวาคมนักเขียนผู้นี้จะมีอายุ  101  ปี  และชีวิตยังมีความสุขดี”
 
ฮานส์ได้อ่านบทความที่นักวิจารณ์หนังสือผู้นั้นเขียน และคิดว่าตนเองไม่ได้เก่งกาจเอกอุมากขนาดนั้น  “ครั้งแรกที่ผมได้อ่าน  ผมรู้สึกว่า  แน่ใจนะว่าเป็นผม  มันยกยอกันเกินไปไหม  ถามว่าผมอัจฉริยะหรือเปล่า?  ผมว่าผมไม่ใช่นักเขียนที่ดีเด่ด้วยซ้ำไป!  มีหลายสิ่งเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงช้าๆ ในตัวผม  บางทีผมก็อยากทำอะไรที่มันไม่เหมือนทุกวัน  มันแปลกดีครับที่ผลงานซึ่งผมเขียนมาตั้งเกือบ 100 ปี  ได้ถูกนำมาปัดฝุ่นใหม่  และสิ่งที่มันแปลกกว่านั้นคือ  การยอมรับหรือผลงานที่แพร่หลายได้เกิดขึ้นในระหว่างที่ผมยังมีชีวิตอยู่”
 
ฮานส์เป็นบุตรชายของพ่อค้าผ้า  ซึ่งเคยได้รับรางวัล  Iron Cross  เมื่อสงครามโลกครั้งที่  1  ชีวประวัติของฮานส์แจ่มชัดอย่างมากในช่วงเวลาสงคราม  ซึ่งเวลาแห่งความสูญเสียได้เกิดขึ้นในศตวรรษที่  20  ที่เกิดช่องว่างระหว่างชาวยิวเยอรมัน และชาวเยอรมัน 
 
เมื่อปี  1935  เขาบอกภรรยาคนแรกที่เป็นนักอ่านลายมือ  ว่าลายเซ็นของฮิตเลอร์สามารถอ่านและตีความได้  ว่าผู้ชายคนนี้จะทำให้ทั้งโลกร้อนเป็นไฟ  ทั้งภรรยาและสำนักพิมพ์ของเขาต่างเร่งเร้าให้ฮานส์หนีออกจากเยอรมนี  แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ  แล้วไปฝึกเป็นแพทย์ (ตอนนี้ความรู้ที่ร่ำเรียนมา  เก็บเข้ากรุ และไม่สามารถทำการรักษาผู้ป่วยได้แล้ว)  เขาเคยทำงานเป็นครูพลศึกษาและเป็นครูสอนว่ายน้ำ  ทำให้เขามีสุขภาพแข็งแรงและอายุยืนมาจนถึงทุกวันนี้  ซึ่งทุกวันนี้เขายังออกกำลังกาย  ด้วยการเดินโดยใช้อุปกรณ์ในการพยุงเดิน
 
ปี  1936  เขาและภรรยาหนีไปอยู่ที่ฮอลแลนด์  โดยการใช้หนังสือเดินทางปลอม  เดินทางเข้าฮอลแลนด์  และเรื่องราวของเขาในช่วงนี้  เป็นแรงบันดาลใจและเป็นส่วนหนึ่งของนวนิยายเรื่อง  Comedy  in  a  Minor  Key  ที่ว่าด้วยเรื่องของคู่รักชาวยิว  พากันหลบซ่อนอยู่ที่ห้องใต้หลังคา  จนวันหนึ่งฝ่ายชายป่วยเป็นโรคนิวโมเนียและตายในที่สุด  นวนิยายเล่มนี้เขียนเมื่อปี  1941  ตีพิมพ์ในปี  1947  ปีเดียวกันกับที่  Anne  Frank’s  Diary  ตีพิมพ์ออกมา 
 
 แต่เรื่องที่ฮานส์เขียนนั้นได้รับความสนใจน้อยกว่า  Anne  Frank’s  Diary  สำหรับนวนิยายเรื่อง  Comedy  in  a  Minor  Key  เป็นเรื่องที่ผู้เขียนต้องการให้ผู้อ่านได้ขบคิด  ว่าจะทำอย่างไร  จะจัดการอย่างไร  กับศพของผู้ตายในเรื่อง  เพราะหากพวกเขาเอาศพออกมาทิ้ง  มันจะไม่ใช่แค่ศพๆ เดียว  แต่จะกลายเป็นมากกว่านั้น  เพราะมันหมายถึงความปลอดภัยในชีวิตของคนรักที่เป็นชาวยิวซึ่งหลบซ่อนอยู่ในห้องใต้หลังคาด้วยเช่นกัน 
 
ที่จริงแล้ว  นวนิยายเล่มนี้ไม่ได้จะนำเสนอมุมโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่  2  แต่มันเป็นการคิดร่วมไปกับสถานการณ์ซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่อง  ว่าหากเขายังไม่ตาย  มีความเป็นไปได้ที่ทั้งคู่ต้องหลบซ่อนอยู่อย่างนั้น 
 
จนกระทั่งผมขาว  มันทำให้เห็นถึงความรู้สึกของคนที่ถูกตรึงเอาไว้ด้วยการไม่สามารถเปิดตัวเองได้ และต้องทนอยู่กับตนเอง  มองเห็นสภาพความเปลี่ยนแปลงของตนเองในพื้นที่จำกัด พร้อมกับวัยที่ถูกผุกร่อนลงไปเรื่อยๆ  ส่วนความงดงามของนวนิยายเล่มนี้  คือปฏิสัมพันธ์ของชาวยิวผู้ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน  พวกเขาต่างต่อสู้เพื่อความถูกต้องกับทหารนาซี  
 
 
หลังจากที่ฮานส์หลบซ่อนตัวอยู่ในฮอลแลนด์ได้หนึ่งเดือน ชาวดัตช์ได้ถามว่าหากเขาสนใจจะร่วมกลุ่มเคลื่อนไหวใต้ดินที่ชื่อ  Vrije  Groepen  Amsterdam  ก็สามารถมาร่วมมือกันได้  ในที่สุดเขาตัดสินใจเข้าร่วม  กลุ่มนี้จึงทำบัตรประชาชนปลอมให้  ทำให้เขาได้เดินทางไปทั่วฮอลแลนด์โดยรถไฟ  เพื่อช่วยปลูกบ้านให้แก่เด็กอพยพ  และใช้ความรู้ด้านการแพทย์ที่เคยได้ร่ำเรียนมา  ช่วยให้ผู้ประสบภัยเหล่านี้มีสภาพจิตที่ดีขึ้น  หลังสงครามเขาก็ยังอยู่ที่เนเธอร์แลนด์  และเข้าศึกษาด้านการแพทย์อย่างเอาจริงเอาจังมากขึ้น  จนได้เป็นนักจิตวิทยา 
 
ช่วงเหตุการณ์สงคราม  ทำให้ฮานส์สามารถนำเอาเหตุการณ์และสถานการณ์ตอนนั้นมาเขียนเป็นผลงานวิทยานิพนธ์เรื่อง  Sequential  Traumatisation  of  Children  การวิเคราะห์จิตของคนหนุ่มสาวจากการประสบกับชะตากรรมจากทหารนาซี  ส่วนนวนิยายอีกเล่ม  The Death of the Adversary  เป็นเรื่องนวนิยายในเชิงปรัชญา  ที่มีตัวเอกคือพระเจ้าซาร์ของรัสเซียและไกเซอร์ของเยอรมนี
 
 
โศกนาฏกรรมส่วนตัวที่อุบัติขึ้นกับฮานส์  คือการสูญเสียพ่อและแม่  หลังจากที่พ่อและแม่มาอยู่กับเขาที่ฮอลแลนด์ในปี  1939  และปฏิเสธไม่อยากอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ  ทั้งที่ลูกชายพยายามเกลี้ยกล่อม  ด้วยห่วงในเรื่องความปลอดภัย  ในที่สุดพ่อและแม่จึงถูกทหารนาซีจับกุมตัวและส่งไปอยู่ที่ค่ายกักกัน  Westerbork  และเสียชีวิตที่ออซวิค  ทุกครั้งที่พูดถึงความตายของพ่อและแม่  เขาเองก็ยังทำใจไม่ได้  รู้สึกแย่และเจ็บปวด  ความเจ็บปวดนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต  ตราบเท่าที่เขายังมีลมหายใจ 
 
“คุณทำลายความเสียใจไม่ได้  และผมก็ไม่ยอมทำลายมันลงด้วยเช่นกัน  ดนตรีเขียนขึ้นมาจากไมเนอร์และเมเจอร์คีย์  ทั้งสองสิ่งต่างแยกจากกันไม่ได้  เพื่อให้เกิดท่วงทำนองที่ลงตัว  มันต้องทำงานไปด้วยกัน  ก็เช่นกันกับความเสียใจและความสุข  เยอรมันได้สร้างดนตรีที่ยิ่งใหญ่  แต่พวกเขาไม่สนใจ  ความโกรธเกลียดเป็นปฏิกิริยาตอบสนองปกติของมนุษย์  เมื่อพ่อและแม่ผมตาย  ผมได้เรียนรู้เพิ่มเติมอีก  ว่าความโกรธเกลียด  มันกัดกร่อนทำลายความรู้สึกของเราแค่ไหน”  ฮานส์กล่าว
 
 
ช่วงทศวรรษที่  1960  ฮานส์พยายามหาสำนักพิมพ์เพื่อจัดพิมพ์งานเขียนของเขา  ต้องการให้สำนักพิมพ์ในเยอรมนีและอิสราเอลเป็นผู้จัดพิมพ์  ตอนนั้นสิ่งที่เขาคิด  คือต้องการให้ผู้รอดชีวิตจากออซวิคได้เข้าใจมุมมองอีกด้านของประวัติศาสตร์  ผ่านทางการเล่าเรื่องของเขา  
 
 
ล่าสุดรางวัลด้านวรรณกรรมที่ฮานส์ได้รับ  เป็นรางวัลจากหนังสือพิมพ์  Die Welt  ในเยอรมนี  เขาได้รับรางวัลนี้เมื่อปี  2008  นักเขียนที่เคยได้รับรางวัลนี้ก่อนหน้าเขาอาทิ  Philip  Roth  และ  Claude  Lanzman 
 
ปัจจุบันฮานส์พำนักเป็นการถาวรอยู่ในเนเธอร์แลนด์  และอิ่มเอมกับที่ยังมีลมหายใจ เพื่อรับรู้ว่าผลงานของเขาได้กลับมาสู่ความนิยม และเป็นที่รู้จักของนักอ่านในระดับนานาชาติ 0
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก http://www.bangkokbiznews.com