Guerrillas
คราวก่อน ผมได้วิเคราะห์ประโยคเด็ดของชินัว อาเชเบที่ใช้ประนามวี เอส ไนปอลไปแล้ว ว่ามันสื่อถึงอะไรบ้างใน ก่อนรัตติกาลจะดับสูญ มาคราวนี้ ผมจะขอวิเคราะห์ผลงานของไนปอลดูบ้าง โดยมุ่งประเด็นไปที่ อาเชเบเห็นอะไรใน Guerrillas ถึงได้กล่าวว่า ไนปอลไม่มีทางเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ได้ เพราะมีแต่นักเขียนผู้อยู่เคียงข้างผู้ถูกกดขี่ข่มเหงเท่านั้น จึงจะเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่
ไนปอลเขียน Guerrillas ช่วงปี 1973 ถึง 1974 แม้ว่านิยายเรื่องนี้จะมีฉากเป็นเกาะนิรนามในทะเลแคริบเบียน แต่มันกลับเต็มไปด้วยปูมหลังทางประวัติศาสตร์ ชนิดที่ถ้าใครความรู้รอบตัวไม่แน่นจริงมาอ่าน อาจแกว่งเอาได้ง่ายๆ ตั้งแต่ตัวเอกของเรื่อง โรช เป็นชายหนุ่มผู้เคยเข้าร่วมขบวนการต่อต้านการเหยียดผิว (“Anti-Apartheid”) ในประเทศแอฟริกาใต้ และเคยถูกรัฐบาลจับไปขังทรมาน เมื่อโรชอพยพไปอยู่ประเทศอังกฤษ เขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ของตัวเอง จนมีชื่อเสียงโด่งดัง และได้รับเชิญให้ไปร่วมงานในบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งมีสาขาบนเกาะนิรนามดังกล่าว
ภายในหมู่เกาะแคริบเบียนนั้น ก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ความสำเร็จในการโค่นล้มรัฐบาลคิวบาของฟิเดล แคสโตรก่อให้เกิดบรรยากาศตึงเครียดระหว่างคนดำ และคนขาว คนร่ำรวย และคนยากจนแทบทุกหนทุกแห่ง การขึ้นเถลิงอำนาจของไมเคิล แมนเล ประธานาธิบดีแห่งจาไมก้า ซึ่งสานสัมพันธ์กับคิวบาอย่างออกนอกหน้า เป็นเหตุให้คนขาวจำนวนมากอพยพหนีออกจากเกาะ ความวุ่นวายในลักษณะคล้ายๆ กันนี้เกิดขึ้นบนเกาะอื่นๆ รวมไปถึงทรินิแดดซึ่งเป็นบ้านเกิดของไนปอลเองด้วย ซึ่งนี่คงเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเขียน Guerrillas
ตัวละครสำคัญอีกตัวซึ่งเป็นนักต่อสู้เช่นเดียวกับโรชคือจิมมี จิมมีคือบุรุษที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง กำกวม ชื่อเต็มๆ ของเขาคือจิมมี หลิว เป็นลูกนอกสมรสระหว่างแม่คนดำ และเจ้าของร้านขายของชำชาวจีน โดยจิมมีเกิด "หลังร้านขายของชำ" เมื่ออยู่ในประเทศอังกฤษ จิมมีชอบใช้ต้นกำเนิดของตัวเอง มาคุยข่มให้คนอื่นเห็นว่าเขามีวัยเด็กที่ยากลำบาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ร้านขายของชำคือสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งบนเกาะแห่งนี้ต่างหาก เมื่อมาเป็นนักปฏิวัติ จิมมี หลิว เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น จิมมี อาเมด (ฮาจิ) ซึ่งเป็นคำมุสลิมหมายถึงผู้แสวงหา ในชีวิตส่วนตัว จิมมีเป็นไบเซกชวล เขาเคยต้องคดีข่มขืนหญิงสาว ขณะเดียวกันก็มีเพศสัมพันธ์กับเด็กหนุ่ม ลูกน้องในองค์กร จุดยืนทางการเมืองของจิมมีคือเขาไม่เชื่อในการปฏิวัติด้วยความรุนแรง เขาบอกกับโรชว่า "ผมคือคนเดียวที่ยืนคั่นกลางระหว่างพวกเขา (รัฐบาล) และการปฏิวัติ… ผมจะไม่ออกไปเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบนท้องถนน…ผมไม่ใช่โจรปฏิวัติ (guerrilla)" แต่ในอีกไม่กี่หน้าถัดมา เขาเขียนลงสมุดบันทึกว่า "การทำลายโลกนี้คือทางออกเดียวสำหรับผู้มีสติสมประกอบ" ขนาดอ่านนิยายจนจบ เราก็ยังชี้ชัดไม่ได้ว่าบุรุษผู้เต็มไปด้วยความกำกวมคนนี้ เป็นนักบุญ หรือคนบาปกันแน่
Guerrillas คือนิยายปฏิวัติยุคใหม่ ซึ่งพัฒนาหรือ "เสื่อมสลาย" จากนิยายปฏิวัติในยุคก่อน จิมมีมีงานอดิเรกน่าขบขันคือชอบเขียนนิยาย โดยในนิยายของเขา จิมมีเล่าเรื่องผ่านสายตาเจน คาริสซา คนรักของโรช เจนในนิยายเป็นนางเอกคลาสสิกของนิยายคอมมิวนิสต์ (Socialist Realism) ผู้หญิงผิวขาว ร่ำรวย ลูกผู้ดี เมื่อมาพบนักปฏิวัติผิวดำ (ซึ่งก็คือตัวจิมมีเอง) เธอหลงเสน่ห์ในอุดมการณ์ และความสมชาย สุดท้ายก็ตีจากคนรักของตัวเอง มายังอ้อมแขนเขา ความเพ้อฝันของจิมมีมีรากฐานอยู่บนวรรณกรรมคลาสสิกซึ่งผู้อ่านน่าจะคุ้นเคยกันดี เช่น The Iron Heel ของแจค ลอนดอน หรือ จนกว่าเราจะพบกันอีก ของศรีบูรพา เพราะการปฏิวัติ และนำมวลชนโค่นล้มผู้มีอำนาจ คือกิจกรรมที่สมชายชาตรีสุดในศตวรรษที่ 20 (กระทั่งจิมมีเองยังแดกดันลูกน้องของเขาว่า "คลั่งความเป็นชาย") จึงเกิดมายาคติว่าผู้หญิงจะต้องหลงใหล และศิโรราบนักปฏิวัติชาย เพียงเพราะพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของมหกรรมนี้ การที่ผู้ชายซึ่งไม่สมชายร้อยเปอร์เซ็นต์ (เพราะเป็นไบเซกชวล) อย่างจิมมีมาเป็นหัวหน้าองค์กรปฏิวัติ ทำให้เกิดแรงเสียดสีกันระหว่างความเป็นจริง และนิยายเพ้อฝัน เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของเจน และจิมมี ซึ่งจบลงอย่างรุนแรง และน่าสะอิดสะเอียน ตรงข้ามกับนิยายที่เจ้าตัวเขียนชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ
ทั้งโรช และจิมมีคือตัวละครนักปฏิวัติที่ถูกสร้างขึ้นมาภายหลังจากที่โลกรับรู้อาชญกรรมของโจเซฟ สตาลิน ภายหลังความล้มเหลวทางเศรษฐกิจของเหมา และเช ภายหลังประวัติศาสตร์ได้ตระหนักทั้งด้านดี และด้านด้อยของลัทธิคอมมิวนิสต์ ไนปอล และนิยายเรื่องนี้จึงหลุดจากกรอบวาทกรรมของลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งมักลดทอนความจริง ตัดข้อขัดแย้งออกไป ให้มันง่ายต่อการบรรจุในตำราประวัติศาสตร์ จากนั้น "ค่อยเอามันมาศึกษา นั่นต่างหากคือสิ่งที่เราสามารถศรัทธา และลงมือกระทำบางอย่างเพื่อมันได้" คำพูดของโรช (และไนปอล) สะท้อนวาจาอมตะของคุนเดอระว่า "หล่มวรรณกรรม (kitsch) คือการปฏิเสธอุจจาระ (shit) โดยสิ้นเชิง" “การปฏิเสธอุจจาระ” นี้สะท้อนอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างเจน และโรช ชายหนุ่มมีชื่อเสียงในฐานะวีรบุรุษแห่งแอฟริกาใต้ เจนซึ่งทำงานสำนักพิมพ์มาสัมภาษณ์เขา โรชตระหนักว่าเจนไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับหนังสือของเขา “เธอมีความเชื่อตั้งแต่ก่อนอ่านด้วยซ้ำ ว่าหนังสือของเขาเป็นอย่างไร และพยายามจะมองเขาว่าเป็นนักเขียนในจินตนาการผู้นั้น" เจนมองโรช หนังสือของเขา และสิ่งที่เขาเชื่อเป็น "หล่มวรรณกรรม" (kitsch) โดยปฏิเสธความจริงที่ไม่พ้องกับจินตนาการของตัวเอง แต่โรชก็ไม่ได้ดีไปกว่าเจนเท่าไหร่ แม้จะรู้ว่าเจนมีข้อดี ข้อเสียตรงไหนบ้าง แต่เขาก็กระโดดเข้าไปในความสัมพันธ์นี้ มองข้ามเงื่อนงำต่างๆ โดย "การตัดสินใจทุกอย่างของเขา เกิดขึ้นภายหลังจากเขาตัดความเป็นจริงออกไปบ้างบางส่วน"
บาปอีกอย่างของโรช และเจน นอกจาก “การปฏิเสธอุจจาระ” คือการปล่อยตัวเองให้ตกเป็นเครื่องมือของอากัปกิริยา (gesture) โรชยอมรับว่า การที่เขาย้ายมาอยู่เกาะนิรนามแห่งนี้ ไม่ใช่เพื่ออุดมการณ์ แต่มันเป็นเพียงภาคต่อของสิ่งที่เขาเคยทำในแอฟริกาใต้ ชายหนุ่มปล่อยตัวเองให้ไหลไปตามความเฉื่อย เฉกเช่นเดียวกับฝูงชน และนักปฏิวัติที่ยึดติดกลวิธีมากกว่าเป้าหมาย (คุนเดอระอีกเช่นกันที่เป็นเจ้าพ่อของทฤษฎีว่า อากัปกิริยา หรือสิ่งที่ปัจเจกแสดงออก มีอำนาจอยู่เหนือความคิดของตัวปัจเจกเองเสียอีก) ขณะเดียวกันเจนก็เป็นผู้หญิงที่มากล้นด้วยอากัปกิริยา "เมื่อเธอเริ่มต้นแสดงอากัปกิริยาบางอย่าง…จากการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ นั้น เจนไม่อาจหยุดยั้งการกระทำอื่นๆ ที่ตามมาในภายหลังได้" ดังนั้นไม่ว่าหล่อนจะแสดงออก หรือพูดความเห็นอะไรในที่สาธารณะ มันดูกลายเป็นการละเล่นของหญิงสาวผู้รับบทบาทคนรักของนักปฏิวัติไปเสียหมด
ในตอนท้ายของนิยาย เจน และโรชตัดสินใจหนีกลับไปประเทศอังกฤษ ถ้าทั้งคู่คือตัวแทนของนักปฏิวัติผู้สิ้นศรัทธา จิมมีคือตัวแทนของบางสิ่งซึ่งเลวร้ายยิ่งกว่านั้นอีก ความกำกวมของจิมมี คือความกำกวมระหว่างการปฏิวัติ และอนาธิปไตย (anarchy) ตรงนี้เองที่ช่วยให้เราเข้าใจความแตกต่างระหว่างอาเชเบ และไนปอล อาเชเบยึดมั่นในโครงสร้างของอำนาจ ไม่ว่าจะปฏิวัติกันไปกี่รอบ ผลสุดท้ายจะต้องเกิดผู้กดขี่ และผู้ถูกกดขี่ข่มเหงเสมอ ในขณะที่ไนปอลมองว่า การปฏิวัติ หรือการล้มล้างผู้มีอำนาจนั้น ในตัวมันเอง ไม่อาจใช้สถาปนาผู้มีอำนาจคนอื่นเข้ามารักษาการแทนได้ จึงเกิดสุญญากาศแห่งอำนาจ หรือสภาพอนาธิปไตยที่ "เมื่อทุกคนต่างต้องการจะต่อสู้ จะไม่เหลืออะไรให้ต่อสู้เพื่อปกป้องรักษาอีก" ผลลัพธ์คือ "เมืองที่ปราศจากศูนย์กลาง" "บ้านที่ปราศจากกำแพง" "สถานที่ซึ่งไม่อาจสร้างวีรบุรุษ และทางออกต่างๆ ล้วนถูกใช้ไปจนหมดสิ้น"
ทั้งอาเชเบ และไนปอลไม่ได้ปฏิเสธการปฏิวัติ แม้ว่าโครงสร้างของอำนาจจะยังคงอยู่ แต่อย่างน้อยการปฏิวัติในสายตาของอาเชเบ เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกดขี่ข่มเหง ได้กลายมาเป็นผู้กดขี่ข่มเหงบ้าง แม้เพียงชั่วคราว (ซึ่งก็จะลงเอยที่วังวนแห่งการปฏิวัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า) หรือถ้าผลลัพท์ของมันคือสภาพอนาธิปไตยดังที่ไนปอลทำนายไว้ อย่างน้อยเราก็ "สะใจ” กว่าที่จะยอมรับอำนาจของคนที่เราไม่ชอบขี้หน้า (โดยบ้านเมืองจะยุ่งเหยิงพินาศแค่ไหน เราจะแกล้งทำลืมๆ ไป) นักเขียนทั้งคู่ได้นำเสนอสัจธรรมของการปฏิวัติ ซึ่งเมื่อรู้แล้วเราจะทำอย่างไรต่อ
นั่นคือคำถามที่ไนปอลฝากทิ้งไว้ให้คนอ่าน พวกเราทุกคน
โดย ภาณุ ตรัยเวช http://www.onopen.com/loveyouallmass/09-07-01/4881