Genji Monogatari ความรักเสมือนคมดาบ

อย่าเพิ่งคิดว่า "Genji Monogatari" เป็นครีมอาบน้ำยี่ห้อใหม่ในท้องตลาด เพราะว่าแท้จริงแล้ว Genji Monogatari แปลอีกอย่างได้ว่า "The Tale of Genji" ซึ่งว่ากันว่านี่คือ "นวนิยาย" เรื่องแรกของโลกเลยก็ว่าได้ นวนิยายเรื่องเกนจิ โมโนกาตาริ แต่งขึ้นตั้งแต่ปี 1008 ในยุคเฮอันของญี่ปุ่น
มาถึงปีนี้ก็มีอายุครบ 1,000 ปีพอดีเป๊ะ !
และชาวญี่ปุ่นถือว่านวนิยายเรื่องนี้เป็นมาสเตอร์พีซ สุดยอดแห่งความคลาสสิกกันเลยทีเดียว
ในฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี พิพิธภัณฑ์งานศิลป์โตกุกาว่า (Tokugawa Art Museum) จะนำเอาม้วนตำนานเกนจิ หรือเกนจิ โมโนกาตาริ ที่ถือว่าเป็นชิ้นงานขุมทรัพย์อันล้ำค่าทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นมาแสดงให้ประชาชนทั่วไปได้ชมกัน โดยในปีหนึ่งจะนำมาแสดงในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เพียงแค่ 1 สัปดาห์เท่านั้น (กลายเป็นของหาดูได้ยากไปเลย)
เกนจิ โมโนกาตาริ เขียนขึ้นโดยมุราซากิ ชิกิบุ (Murasaki Shikibu) หนาประมาณ 1,000 หน้า (ฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษ) ความยาว 41 บท เนื้อหาเป็นแนวนวนิยายประโลมโลก มีทั้งความรัก ความริษยา ความเศร้า อยู่ในเรื่องเดียวกัน นวนิยายเรื่องนี้ได้รับรางวัลยูเนสโกในด้านวรรณกรรม เนื่องจากสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยนั้นเอาไว้อย่างน่าสนใจ อีกทั้งยังถูกนำมาคัฟเวอร์ในเวอร์ชั่นต่างๆ ที่นิยมที่สุดคือเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นตาหวาน โดยยามาโตะ วากิ ในชื่อเรื่อง Asaki Yumemishi (แปลไทยว่า ด้วยเมฆหมอกแห่งรัก) ความยาว 13 เล่มจบ มียอดขายราวๆ 14 ล้านเล่ม
พระเอกของเรื่องนี้คือ "ฮิคารุ เกนจิ" ลูกชายนอกสมรสของจักรพรรดิกับสนมที่เสียชีวิตไปตั้งแต่เกนจิยังเด็ก เขาเติบโตมาในฐานะขุนนาง ท่ามกลางความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในราชสำนัก และที่แน่ๆ ก็ต้องได้รับการดูแคลนมาแต่เล็กแต่น้อย ทำให้กลายเป็นเด็กมีปมด้อย ขาดความรัก เกนจิถูกพรรณนาว่าเป็นหนุ่มรูปงาม (หนุ่มรูปงามแบบชายญี่ปุ่นโบราณเป็นแบบไหนน้อ…นึกภาพไม่ออกจริงๆ) มีพรสวรรค์ในศิลปะทุกด้าน เป็นคนมีวาทศิลป์ และที่สำคัญ… มีเสน่ห์โดดเด่นอย่างเหลือร้าย จากเหตุผลดังกล่าวทำให้เกนจิคือเพลย์บอยดีๆ นี่เอง เขามีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอย่างเท่าเทียมกัน คือไม่เลือกชนชั้น ไม่เลือกวัย จะเป็นสนมของจักรพรรดิ ภรรยาม่ายของขุนนางผู้ใหญ่ เชื้อพระวงศ์สาวๆ เด็กสาวเอ๊าะๆ หรือกระทั่งเมียเพื่อน …เกนจิก็ไม่ถือ (ประมาณขุนแผนบ้านเรา)
นอกจากการสะท้อนความเป็นไปในวิถีชาวอาทิตย์อุทัยในเรื่องราวแล้ว มุราซากิ ชิกิบุ ยังนำเสนอแง่มุมของความรักระหว่างชายหญิงเอาไว้ในหลายแง่มุม ฮิคารุ โอทซึกะ ผู้เชี่ยวชาญด้านวรรณกรรมคลาสสิกญี่ปุ่น ผู้แปลเกนจิ โมโนกาตาริเป็นภาษาญี่ปุ่นที่โมเดิร์นขึ้น กล่าวว่า ความรักที่พูดถึงในนวนิยายนั้นไม่ใช่แค่เป็นความรักสวยงามเท่านั้น แต่ความรักยังเป็นความน่าชิงชัง ในบางส่วนของนิยายพูดถึงความรักที่จริงจัง แต่ก็ยังมีบางส่วนที่พูดถึงการแก่งแย่งเชิงชู้สาวอีก ที่สำคัญเรื่องราวของเกนจิยังทำให้เห็นว่า…ความรักแปรเปลี่ยนไปเป็นคมดาบได้อย่างไร โดยได้ยกตัวอย่างของ "โรคุโจ" หนึ่งในคนรักของเกนจิ ที่ความริษยาได้เปลี่ยนให้เธอกลายเป็นปีศาจร้ายที่คอยทำลายผู้หญิงคนอื่นๆ ของเกนจิในที่สุด
เกนจิตายเมื่ออายุได้ 50 กว่าปี และในช่วงประมาณ 10 ตอนสุดท้ายของนิยายจึงเป็นเรื่องราวรุ่นลูกของเกนจิ หลังจากที่เขาตายไปแล้ว พูดถึงวิญญาณของเกนจิที่มีความห่วงใยในตัวลูกชายคือคาโอรุ โดยเรื่องราวในช่วงนี้เป็นการแย่งชิงคนรักระหว่างคาโอรุกับลูกชายของเขา (คือหลานของเกนจินั่นแหละ) ซึ่งในตอนจบนั้นเจ้าหญิงที่คาโอรุพยายามยื้อแย่งนั้นเลือกที่จะบวชเป็นแม่ชีเพื่อตัดปัญหารักสามเส้าให้สิ้นซากไป
สุดท้ายแล้วท่ามกลางความรักความใคร่ ทางออกของมนุษย์คือการพึ่งพระศาสนานั่นเอง ช่างเป็นดั่งคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า "ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์" จริงๆ ด้วย
(หน้าพิเศษ D-Life)
คอลัมน์ EASTERN STREET
โดย Ashley Xuan
วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4052