facebook เจ้านายคนใหม่

หลายวันก่อน ผมแสดงความเห็นลงในเฟซบุ๊คว่า
“ก่อนใช้เฟซบุ๊ค เราเป็นนายเฟซบุ๊ค หลังใช้เฟซบุ๊ค เฟซบุ๊คเป็นนายเราต้องมาเข้าเฝ้าวันละหลายรอบ มากกว่าคนที่บ้านอีก”
ปรากฏว่ามีคนเข้ามากด like ร้อยกว่าครั้งในเวลาไม่นาน พร้อมทั้งแสดงความเห็นเข้ามามากมาย อาทิ
“เขาว่ากันว่า Facebook ทำให้เรากลายเป็น “คนขี้บ่น” จริงไหม”
“ม่าช่ายเป็นนายเรา. เป็นกิ๊กเฟ้ย ต้องเกาะติดสนิทแนบแน่นยิ่งกว่าฝาละมี”
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ในจำนวนประชากรไทย 66 ล้านคนนั้นมีผู้ใช้เฟซบุ๊คเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึง 10 ล้านคน เกือบร้อยละ 90 กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพมหานครและหัวเมืองใหญ่ หรือคิดง่าย ๆ ว่าเวลาที่เราเดินไปตามท้องถนนในเมืองหลวง หนึ่งในหกคนที่เราสวนทาง มั่นใจได้ว่าต้องมีคนใดคนหนึ่งเคยเล่นเฟสบุ๊คคนเล่นเฟซบุ๊คมีตั้งแต่เด็กน้อยไม่กี่ขวบไปจนถึงคนรุ่นอากง อาม่า ไม่ได้มีเฉพาะคนวัยทำงาน คนรุ่นใหม่ หรือนักเรียน นักศึกษาอย่างที่เราคิดกันเท่านั้น ลักษณะนิสัยของคนที่เล่นเฟซบุ๊คอาจจะมีตั้งแต่ เข้ามาดูความเคลื่อนไหวอาทิตย์ละครั้ง ไม่แสดงความเห็นใด ๆ ไปจนถึงเฝ้าหน้าจอกันตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอน หากมีธุระออกไปข้างนอก ก็ใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อเฟซบุ๊คได้อีกต่างหาก
หลายคนติดเฟซบุ๊คอย่างงอมแงมทั้งในบ้านและที่ทำงานจนบริษัทหลายแห่งต้องออกระเบียบไม่ให้เล่นเฟซบุ๊ค หรือบล็อกเว็บนี้ในช่วงเวลาทำงานเพื่อให้พนักงานมีสมาธิในการทำงานมากขึ้นมีการสำรวจพบว่าหน้าจอคอมพิวเตอร์ในที่ทำงาน พนักงานส่วนใหญ่ จะเปิดหน้าเฟซบุ๊คทิ้งเอาไว้เลยเรียกได้ว่าออนไลน์ตลอดเวลา ใครกดเข้ามาเม้นท์ หรือ ไลค์ หรือแชตจะได้เปิดดูทันที ไม่รวมถึงการติดต่อผ่านโทรศัพท์มือถือได้โดยตรงระบบออนไลน์ของบริษัทหลายแห่งล่มหรือทำงานช้าลง เพราะปัญหาจากการเล่นเฟซบุ๊คของคนในที่ทำงานมากเกินไป
ผู้เขียนเองก็เปิดเข้าไปดูเฟซบุ๊ควันละหลายๆ รอบ ดูเฉยๆ บ้าง แสดงความเห็นบ้าง พยายามที่จะไม่หลงใหลกับมันมากเกินไป ใช้มันให้เป็นเครื่องมือสื่อสารกับคนที่ห่างไกล หรือไม่ได้เจอกันมานานมากกว่าที่จะใช้สื่อสารกับคนข้างเคียงหรือคนในที่ทำงานเดียวกัน ที่สามารถเดินไปจิบกาแฟพูดจากันได้
ยอมรับว่าโลกของเฟซบุ๊คทำให้เราได้พบเจอเพื่อนเก่าจำนวนมากที่ไม่ได้เจอกันมานาน หรือได้ติดต่อกับเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศได้สะดวกขึ้น และสามารถสร้างมิตรภาพใหม่ ๆ ได้รู้จักเพื่อนใหม่มากหน้าหลายตาที่แอดเป็นเฟรนด์กัน
การใช้เฟซบุ๊คทำให้เราเห็นความเคลื่อนไหวของเพื่อนฝูง หรือใช้มันเป็นที่ระบายอารมณ์ความรู้สึกของเราให้กับเพื่อน ๆ ได้เข้าใจว่า ณ เวลานั้น เรากำลังวีนแตก หรือกำลังขำ ๆ อยู่
การใช้เฟซบุ๊คทำให้เราสามารถแสดงตัวตนผ่านโลกไซเบอร์ได้ แต่ไม่ปรารถนาแสดงตัวตนจริง ๆ หรือปรากฏตัวจริง ๆ ให้ใครเห็น
ที่สำคัญคือสมาชิกในเฟซบุ๊คล้วนแล้วแต่เท่าเทียมกัน ไม่มีใครใหญ่กว่ากัน หรือมีอำนาจกว่าในโลกของเฟซบุ๊ค และคุณสามารถเป็นเพื่อนกับคนดัง ดารานักแสดง นักการเมือง ไปจนถึงคนธรรมดาได้หมด หากคนเหล่านั้นรับแอดกับคุณ
และเฟซบุ๊คก็สามารถสร้างกระแสรณรงค์เรื่องราวต่างๆ ทั้งประเด็นการเมือง สิ่งแวดล้อม ผ่านหน้าที่เรียกว่า “มั่นใจได้ว่าคนหนึ่งล้านคน…” ไปจนถึงการรวมตัวกันผ่านเฟซบุ๊คเพื่อชื่นชม หรือจิกด่าใครที่ไม่ชอบหน้า
การสร้างกระแสในเฟซบุ๊คจึงให้อารมณ์ความรู้สึกร่วมได้รวดเร็วทันใจ มากกว่าจะให้ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้อง
เสน่ห์ของเฟซบุ๊คจึงทำให้หลายคนติดงอมแงมจนโงหัวไม่ขึ้น อยู่ที่ทำงานก็หมกตัวอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ไม่สนใจผู้คนในบริษัท เจ้านายนึกว่าคร่ำเคร่งกับการทำงานที่ไหนได้เล่นเฟซบุ๊คตลอด ออกจากที่ทำงานมาอยู่บนรถไฟฟ้า ก็ใช้โทรศัพท์มือถือท่องไปในโลกออนไลน์ทันที
ไม่สนใจคนข้างเคียง หรือเงยหน้ามามองดูเรื่องราวต่าง ๆ รอบตัว พอกลับมาถึงบ้าน ก็เดินเข้าห้องนอนตัวเอง เปิดหน้าจอทันที ไม่สนใจจะมาพูดคุยกับคนในครอบครัว ขาดการติดต่อกับเพื่อนหรือมนุษย์ตัวเป็น ๆ รอบตัว ทั้งมิตรสหาย พ่อแม่ญาติพี่น้อง สามีภรรยาหลายคู่อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ แต่คุยกันผ่านเฟซบุ๊ค พ่อแม่ลูกก็แชตกันผ่านเฟซบุ๊คจนเป็นเรื่องปรกติ เวลาเจอหน้ากันบนโต๊ะอาหารจึงไม่มีอะไรจะพูดคุยอีก
เพื่อนบางคนแสดงความเห็นว่า
“เฟซบุ๊คทำให้คนอยู่ไกลได้ใกล้ชิดกันแต่คนอยู่ใกล้ ต้องอยู่ไกลกัน..” หรือว่าเฟซบุ๊คทำให้เราสนใจสิ่งมีชีวิตจริง ๆ น้อยลง แต่สนใจสิ่งมีชีวิตในโลกไซเบอร์มากกว่า การสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันสามารถติดต่อกันผ่านเฟซบุ๊คได้คุ้นชินกว่าการได้พูดจากันจริงๆ หรือแม้กระทั่งการเลี้ยงสัตว์ ปลูกสวน ปลูกต้นไม้ ก็มีเกมส์ออนไลน์ใหม่ ๆให้ท้าทายจนลุ่มหลงได้่อย่างง่ายดาย
เพื่อนสนิทบางคนต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อรดน้ำต้นไม้ให้กับเกมส์ออนไลน์ใหม่ๆ ที่ติดกันอย่างงอมแงม ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนจำนวนมากล้วนมีเจ้านายคนใหม่ชื่อ เฟซบุ๊ค แต่ในโลกของไซเบอร์ทุกอย่างมาเร็วไปเร็วเสมอ ก่อนหน้านี้หลายคนอาจจะมีเจ้านายชื่อ ไฮไฟว์ มายสเปซ กูเกิ้ล กว่าจะมาถึงเฟซบุ๊ค
ลองทายดูสิว่า เจ้านายในโลกไซเบอร์คนต่อไปจะมีนามว่าอะไร
ขอบคุณบทความจาก : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 21 กรกฎาคม 2554