Ernest Hemingway กับปัญหาขี้หมูราขี้หมาแห้ง ของนัก(อยาก)เขียน

“ผมอยู่อาศัยในโลกที่มีผู้คนหลากหลายประเภท ผมไม่ชอบคนบางประเภท บางคนผมก็ยังเกลียดขี้หน้าอยู่ไม่หาย แต่ผมก็พยายามจะเข้าใจพวกเขา คนธรรมดาทั่วไปมักจะตัดสินคนเพียงเรื่องถูกผิด แต่คนที่อยากเป็นนักเขียนควรต้องทำความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้”
เป็นผลึกความคิดของ เออร์เนสต์ เฮมิ่งเวย์ ที่กล่าวถึงงานเขียนหนังสือ
เราสัมผัสความเข้าใจของเฮมิ่งเวย์ต่อผู้คนที่เขาผ่านพบ ปรากฏอยู่ตามผลงานวรรณกรรมจำนวนมากมายของเขา แต่ในหนังสือ By-Line : Ernest Hemingway, Selected Articles and Dispatches of Four Decades เล่มนี้ ดูเหมือนจะมี “คนบางคน” บางประเภท ที่เฮมิ่งเวย์ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก
อาทิ ชายหนุ่มนักอยากเขียนผู้นามว่า “แมสโตร” คนนี้
ใน By-Line มีบทความชิ้นหนึ่งชื่อ Monologue to the Maestro : A High Seas Letter ตีพิมพ์ในนิตยสารเอสไควร์ เดือนตุลาคม ปี 1935 เฮมิ่งเวย์เล่าว่า มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อ “แมสโตร” อยากเป็นนักเขียนมาก มาฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของเขา
เฮมิ่งเวย์เป็นกังวลอยู่บ้าง เพราะไม่รู้ว่าจะสอนกันได้อย่างไร แต่เห็นท่าทางจริงจังตั้งใจของเด็กหนุ่มแล้ว ก็จำต้องรับไว้ในที่สุด
แมสโตรแม้อายุไม่มากนัก แต่มีประสบการณ์ชีวิตน่าสนใจ เคยเรียนมหาวิทยาลัย เคยทำงานหนังสือพิมพ์ เคยเป็นลูกจ้าง เป็นช่างไม้ ทำงานมาหลากหลายอาชีพ เรียกว่าใช้ชีวิตผจญภัยตามรอยเท้าเฮมิ่งเวย์นักเขียนในดวงใจตนเกือบทุกก้าว
แมสโตรมีปัญหาคือ ถึงแม้จะมีประสบการณ์ชีวิตมาแล้วขนาดนั้น แต่ก็ยังไม่สามารถเขียนหนังสือให้เป็นชิ้นเป็นอันได้ ขนาดเคยขังเดี่ยวตัวเองอยู่ในกระท่อมกลางป่าเพื่อเขียนหนังสืออย่างเดียวนานเป็นปีๆ ก็ยังเขียนไม่ได้
เฮมิ่งเวย์เล่าว่า “แมสโตรไม่ได้นำเรื่องที่เขาเขียนช่วงนั้นมาให้อ่าน เขาบอกว่ามันไม่ดีเลยสักเรื่อง ตอนแรกผมคิดว่าบางทีเขาอาจจะถ่อมตัวเกินไป แต่เมื่อแมสโตรนำผลงานเขียนของเขาชิ้นหนึ่ง ที่ได้ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มาให้ดู ผมก็เลยรู้ว่าเขาไม่ได้ถ่อมตัว เพราะเรื่องมันแย่เอาจริงๆ”
“แต่ผมคิดว่า นักเขียนหลายคนตอนหัดเขียนแรกๆ ก็เขียนไม่ดีเท่าไหร่ และแมสโตรคนนี้จริงจังกับการเขียนหนังสือมาก ซึ่งคุณสมบัติข้อนี้เป็นสิ่งสำคัญหนึ่งในสองอย่างที่นักเขียนต้องมี แต่อีกอย่างที่สำคัญพอกันก็คือ”หัว”(talent ,พรสวรรค์)”
เฮมิ่งเวย์บอกว่า ปัญหาของแมสโตรคือขาดทักษะในการเล่าเรื่อง “แมสโตรอยากเป็นนักเขียน มีเรื่องดีๆ ที่น่าเขียนออกมาเยอะแยะ แต่เขาเป็นคนเล่าเรื่องที่แย่มาก”
แมสโตรอยู่กับเฮมิ่งเวย์เป็นเวลานานหลายเดือน พยายามติดตามไปด้วยทุกหนแห่ง พยายามหาโอกาสพูดคุยเรื่องการเขียนหนังสือ จนเฮมิ่งเวย์ถึงกับออกปากว่า “ถ้าเกิดมีนักอยากเขียนมาเที่ยวพักร้อนอยู่ด้วยบนเรือนานๆ แบบนี้อีกล่ะก็ ขอให้เป็นผู้หญิงสวยๆ ทีเถอะ แล้วก็หิ้วขวดแชมเปญขึ้นมาด้วยนะ”
แมสโตรตั้งคำถามเฮมิ่งเวย์ว่า การเขียนที่ดี ต่างกับการเขียนที่เลวอย่างไร เฮมิงเวย์ตอบว่า การเขียนที่ดีคือการเขียนสิ่งที่เป็นจริง (Good writing is true writing) “ถ้าใครแต่งเรื่องขึ้นมา ผลงานออกมา มันก็จะเป็นแค่เรื่องที่เขาอยากจะให้มันเป็น เขาอาจจะโชคดีพอที่จะเสกสรรปั้นแต่งเรื่องราวต่างๆ ได้สักพักหนึ่ง แต่หากเขายังฝืนดันทุรังเขียนเรื่องที่ตัวเองไม่ได้รู้จักมันอย่างแท้จริงแล้ว หลังจากนั้นไม่นานนัก เขาจะเขียนอะไรไม่ได้อีกเลย”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น แมสโตรเลยย้อนถามกลับอีกว่าแล้ว “จินตนาการ” ควรจะอยู่ตรงไหน เฮมิ่งเวย์ตอบว่า “ไม่มีใครรู้ความจริงเรื่องนี้หรอก ยกเว้นแต่ว่าเราจะได้มันมาฟรีๆ บางทีมันอาจจะเป็นประสบการณ์เกี่ยวกับเชื้อชาติสีผิวก็ได้ มันเป็นสิ่งหนึ่งที่นักเขียนที่ดีต้องมี ยิ่งเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งจินตนาการได้สมจริงสมจังมากขึ้นเท่านั้น ถ้าเขาจินตนาการได้จริงจังพอ ผู้คนก็จะเชื่อว่าเรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้นจริง ถึงตอนนั้นแล้ว นักเขียนก็จะเป็นเพียงผู้สื่อข่าวคนหนึ่งเท่านั้น”
แมสโตรสงสัยว่า ถ้าอย่างนั้น การเขียนเรื่องสั้น เขียนนวนิยายมันจะแตกต่างกับการรายงานข่าวตรงไหน เฮมิ่งเวย์ตอบว่า “ถ้าเป็นรายงานข่าว ผู้คนจะไม่อยากจดจำ แค่เดือนเดียวทุกคนก็ละลืมไปหมดแล้ว แต่ถ้าเราแต่งเรื่อง (make) ขึ้นมา แทนที่จะบรรยาย (describing) เราสามารถแต่งเรื่องได้ใหม่หมด ทำให้มันรัดกุมแข็งแรง และใส่ชีวิตชีวาให้มัน เราสร้างสรรค์มันให้ดีหรือเลวก็ได้ มันคือการ “แต่งเรื่อง” ไม่ใช่ “บรรยาย” มันจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถของเรา”
แมสโตรถามว่า นักเขียนควรอ่านหนังสืออะไรบ้าง เฮมิ่งเวย์ตอบว่า ควรอ่านทุกอย่าง โดยยกตัวอย่างหนังสือที่ควรอ่านอาทิ สงครามและสันติภาพ, พี่น้องคารามาซอฟ, ยูลีซีส, มาดามโบวารี่ฯ เล่นเอาแมสโตรจดตามไม่ทัน จึงโอดครวญว่า จะต้องอ่านทุกอย่างเชียวหรือ เพราะหนังสือในโลกนี้มีตั้งเท่าไหร่
ถ้าต้องอ่านหนังสือหมดโลกคงไม่ไหวกระมัง
เฮมิ่งเวย์จึงบอกอย่างรำคาญใจว่า มันก็เป็นไปไม่ได้หรอก ที่จะอ่านได้หมดทุกอย่าง “แต่นักเขียนควรอ่านให้มากที่สุด เพราะเขาจะได้รู้ว่า เขาควรเอาชนะอะไรบ้าง จะได้ไม่เสียเวลาไปเขียนในสิ่งที่คนอื่นเขาเขียนไปแล้ว นอกจากว่าเราจะเขียนได้ดีกว่าเขา”
“สิ่งที่นักเขียนสมัยนี้ต้องทำก็คือเขียนเรื่องที่ยังไม่มีใครเขียน หรือเขียนให้ดีกว่าพวกนักเขียนที่ตายไปแล้ว
ส่วนพวกนักเขียนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ต้องไปสนใจเลย เพราะชื่อเสียงของนักเขียนพวกนี้จะอยู่ในกำมือของพวกนักวิจารณ์ ซึ่งจะยกยอปอปั้นกันขึ้นมาเป็นพักๆ เสร็จแล้วนักเขียนพวกนี้ก็จะหายสาบสูญไป สนใจอ่านงานของนักเขียนที่ตายไปแล้วดีกว่า”
แมสโตร “อะไรคือการฝึกฝนนักเขียนที่ดีที่สุด”
เฮมิ่งเวย์ “วัยเด็กที่ไม่มีความสุข”
แมสโตรถามอีกว่า “คนที่อยากเป็นนักเขียน ควรฝึกฝนตัวเองอย่างไรบ้าง”
เฮมิ่งเวย์ตอบว่า ควรจะฝึกด้วยการนึกถึงคนอื่นอยู่เสมอ ควรตั้งใจรับฟังเรื่องราวที่คนอื่นพูด มากกว่าคิดว่าตัวเองควรจะพูดอะไร หรือเมื่อเข้าไปในห้องบางห้อง แล้วเกิดความรู้สึกบางอย่าง ก็ควรจะถามตัวเอง และหาคำตอบให้ได้ว่าอะไรทำให้เกิดความรู้สึกอย่างนั้น เมื่อลงมือเขียนเรื่องของตัวเอง ก็ให้ลองทบทวนวิธีสร้างความรู้สึกลักษณะนี้ พยายามเขียนให้คนอ่านเห็นภาพและเกิดความรู้สึกตามให้ได้
แมสโตรถามว่า “แล้วคนอย่างผมนี่ พอจะมีแววเป็นนักเขียนกับเขาได้บ้างหรือเปล่าครับ”
เฮมิ่งเวย์ตอบว่า “ผมจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ บางทีคุณอาจจะไม่มี”หัว” ก็ได้นะ บางทีคุณอาจจะไม่มีความรู้สึกอะไรกับผู้คนเลยก็ได้ ความจริงคุณมีเรื่องดีๆ อยู่ในตัวบ้างแล้วนี่นา ถ้าคุณสามารถเขียนมันออกมาให้ได้”
แมสโตรถามว่า “แล้วผมจะเล่าอย่างไรล่ะ”
“ก็เขียนสิ” เฮมิ่งเวย์ตอบ ” ถ้าคุณลองทำงานเขียนสักห้าปี แล้วพบว่าคุณยังเขียนไม่ได้อีก ถึงตอนนั้นแล้วก็ยิงตัวตายไปซะเลยให้สิ้นเรื่อง”
แมสโตรบอกว่า ” ผมคงไม่กล้ายิงตัวตายหรอก”
เฮมิ่งเวย์เลยบอกว่า “งั้นแวะมาแถวนี้ก็แล้วกัน ผมจะช่วยยิงให้”
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 1116-07 มกราคม 2545