Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

Emma Donoghue 1 ใน 6 นักเขียนเข้ารอบสุดท้ายบุ๊คเกอร์ 2010

 

 
รางวัล แมนบุ๊คเกอร์ ปี 2010 หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า รางวัลบุ๊คเกอร์ ได้ประกาศรายชื่อนักเขียนที่เข้ารอบสุดท้ายจำนวน 6 คน
 
คณะกรรมการตัดสินรางวัล แมนบุ๊คเกอร์ ปี 2010 หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า รางวัลบุ๊คเกอร์ ได้ประกาศรายชื่อนักเขียนที่เข้ารอบสุดท้ายจำนวน 6 คน  เพื่อเฟ้นหานักเขียนที่จะได้รับรางวัล ซึ่งจะประกาศผลให้ทราบในวันที่ 12 ตุลาคม 2010
 
นักเขียนที่เข้ารอบสุดท้ายทั้ง 6 คน ผ่านด่านแรกด้วยจำนวนผลงานนวนิยายที่ส่งเข้ามาทั้งหมด 138 เรื่อง จากนั้นคณะกรรมการคัดเหลือ 14 เรื่อง และ 6 เรื่องตามลำดับ โดยคณะกรรมการตัดสินทั้ง 5 ท่านประกอบไปด้วย เซอร์ แอนดรู โมชั่น (Sir Andrew Motion) ประธานกรรมการ ปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนด้านการเขียนที่ Royal Holloway College, University of London เป็นนักเขียน นักกวีและเคยเป็นกวีราชสำนักของอังกฤษ ตั้งแต่ปี 1999-2009 ส่วนกรรมการอีก 4 ท่านประกอบไปด้วย โรซี บัว (Rosie Blau) บรรณาธิการเซคชั่นวรรณกรรม Financial Times และคอลัมนิสต์, เดโบราห์ บุล (Deborah Bull) อดีตนักเต้น  ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการ Royal Opera House และคอลัมนิสต์ให้กับ Daily Telegraph, ทอม สัทคลิฟฟ์ (Tom Sutcliffe) นักจัดรายการวิทยุ ผู้สื่อข่าว สำเร็จการศึกษาภาษาอังกฤษจากเคมบริดจ์ และฟรานเซส วิลสัน (Frances Wilson) สำเร็จปริญญาเอก เป็นผู้เชี่ยวชาญวรรณกรรมที่ประพันธ์โดย เฮนรี เจมส์  และศึกษาด้านวรรณคดีอังกฤษนานถึง 15 ปี ปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ
 
เซอร์ แอนดรู โมชั่น ประธานกรรมการ กล่าวแก่ผู้สื่อข่าวว่า "คณะกรรมการไม่ได้ใช้เกณฑ์ในการคัดเลือกว่าต้องมีวิธีการเขียนแบบไหน เพศอะไร หรือประเด็นของเรื่องแบบไหน และไม่ได้ใช้ความเป็นปัจเจกไปตัดสิน สิ่งที่เราทุกคนค้นพบพร้อมกันเมื่อผลงานมาวางตรงหน้า คือพวกเราต้องการ หนึ่ง การเขียนที่ดี ซึ่งต้องท้าทายและมีความประณีตในการเขียน สอง ความกล้าจินตนาการ เพื่อตอกย้ำให้พวกเรามั่นใจว่าสิ่งที่คุณเขียน ได้บอกเล่าโลกที่มีอยู่จริง ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างความตื่นตะลึง สาม มีความเป็นประวัติศาสตร์ คือสามารถเชื่อมโยงที่มาที่ไปของเรื่องก่อนหลังอย่างประสานกลมกลืน สิ่งที่สำคัญของรางวัลนี้ คือพวกเรากรรมการทั้งหมดต้องเลือกหนังสือที่ดีที่สุด"
 
สำหรับนักเขียนที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายทั้ง 6 คน ประกอบไปด้วย ปีเตอร์ แครีย์ (Peter Carey) เรื่อง Parrot and Olivier in America, เอ็มมา ดอนนาฮู (Emma Donoghue) เรื่อง Room, เดมอน กัลกัท (Damon Galgut) เรื่อง In a Strange Room, โฮวาร์ด จาคอบสัน (Howard Jacobson) เรื่อง The Finkler Question, อันเดรีย เลวี (Andrea Levy) เรื่อง The Long Song และทอม แมคคาร์ธี (Tom McCarthy) เรื่อง C 
 
เอ็มมา ดอนนาฮู (Emma Donoghue) เจ้าของผลงานนวนิยายเรื่อง Room เป็นนักเขียนที่อายุน้อยที่สุดในจำนวนนักเขียนทั้ง 6 คน (ปัจจุบันอายุ 41 ปี) เธอทราบข่าวว่าผลงานของตนเองเข้ารอบสุดท้าย ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถแท็กซี่กับคนรัก ลูกๆ และเพื่อนเก่า ระหว่างนั้นบรรณาธิการสำนักพิมพ์ปิคาดอร์ ซึ่งพิมพ์งานเขียนของเธอ ได้โทรศัพท์มาแจ้ง เมื่อทราบผล เอ็มมาไม่ได้รู้สึกดีใจ 
 
 
"ฉันไม่อยากได้รางวัลใดๆ เลย รางวัลเป็นมลพิษอีกรูปแบบหนึ่งที่เกิดขึ้นในวงการวรรณกรรม ไม่ต่างจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ไม่ว่าการแข่งขันนั้นๆ จะเล็กหรือใหญ่ ย่อมทำให้ผู้คนหมกมุ่นอยู่กับผลประโยชน์ทางธุรกิจในวรรณกรรม ดังนั้น ฉันคิดว่าใครได้รางวัลนี้ไม่สำคัญหรอกค่ะ แค่ฉันติดโผเข้ารอบสุดท้ายรางวัลบุ๊คเกอร์ ดิฉันก็คิดว่าตนเองมาถึงจุดสูงสุดในการทำงานเขียนแล้วค่ะ"
 
เอ็มมานักเขียนหญิงที่ประกาศตนว่าเธอเป็นเลสเบี้ยน เกิดที่กรุงดับลินเมื่อปี 1969 เป็นลูกคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 8 คน บิดาเป็นนักวิจารณ์วรรณกรรม เธอเข้าเรียนในคอนแวนต์ของคาทอลิกในกรุงดับลิน เข้าศึกษาระดับปริญญาตรีที่ University College Dublin ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของไอร์แลนด์ จากนั้นเมื่อปี 1997 ไปศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่ University of Cambridge ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 1998 ได้ย้ายไปพำนักอยู่ในแคนาดา ปัจจุบันได้เป็นพลเมืองของแคนาดาเต็มขั้น แต่ก็ยังรู้สึกกับตัวเองเสมอว่าเป็นคนไอริช และเธอก็ไม่เคยละทิ้งสำเนียงการพูดแบบไอริช
 
เธอรู้ตัวว่าอยากจะเป็นนักเขียนเมื่ออายุ 14 ปี โดยก่อนเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีนั้น เธอเขียนบทกวีไว้จำนวนมากมาย การเขียนบทกวีเป็นอีกสิ่งที่เอ็มมาชอบ เพราะการเขียนกลอนไม่มีการระบุเรื่องเพศในบทประพันธ์ ซึ่งต่างจากการเขียนนวนิยาย นอกจากจะรู้ตัวว่าอยากเป็นนักเขียนเมื่อตอนอายุ 14 เธอยังรู้จักตัวเองว่าเป็นเลสเบี้ยนตั้งแต่ตอนนั้น 
 
 
อายุ 18 ปี เอ็มมาได้อ่านหนังสือนวนิยายเลสเบี้ยนเล่มแรก เขียนโดยนักเขียนเลสเบี้ยนชาวดัตช์ เธอพบหนังสือเล่มดังกล่าวในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย เป็นเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่ออกไปจากชีวิตของคนรักที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน แล้วกลับไปหาสามี เพื่อจะบอกแก่สามีว่าเธออยากมีลูก พอตั้งครรภ์ หญิงสาวคนนั้นก็กลับไปหาคนรักที่เป็นผู้หญิง และบอกกับคนรักว่าเรากำลังจะมีลูก สามีเดินมาที่ประตู แล้วยิงภรรยาไปหลายนัด จนเสียชีวิต เมื่ออ่านจบเอ็มมาแทบจะเขวี้ยงหนังสือเล่มนั้นทิ้ง เพราะเธอไม่ชอบการเขียนแบบนี้ และยังกล่าวติดตลกว่า "ถ้าฉันมาอ่านตอนนี้ ฉันอาจจะชอบ และเก็บหนังสือเอาไว้นะ"
 
เมื่อรู้ตัวว่าจะเป็นนักเขียน พออายุ 23 ปี ชีวิตของเธอก็ดำรงอยู่ได้ด้วยการเป็นนักเขียนนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และผลงานนวนิยายเรื่องแรก Stir-Fry (1994) ตีพิมพ์เมื่อเอ็มมาอายุ 25 ปี หลังจากนั้นก็มีนวนิยายตีพิมพ์ตามออกมา Hood (1995), Slammerkin (2000), Life Mask (2004), Landing (2007), The Sealed Letter (2008) และRoom (2010) นวนิยายเล่มล่าสุดและเป็นผลงานนวนิยายเรื่องที่ 7 นอกจากนี้เอ็มมายังมีผลงานเขียนอีกหลากหลายรูปแบบ ทั้งเรื่องสั้น The Tale of the Skin (1997) บทละคร บทภาพยนตร์ สารคดี และวรรณมาลัย
 
เอ็มมามีปณิธานมุ่งมั่นในการเป็นนักเขียนอาชีพและต้องเลี้ยงตัวเองได้ เธอจึงมีวินัยอย่างเคร่งครัดในการทำงานเขียน หลังจากที่ในแต่ละวันลูกๆ ทั้งสองคนไปโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว เธอจะตรงดิ่งไปที่โต๊ะทำงานเขียนหนังสือ โดยเริ่มจากตอบอีเมลจากนักอ่านหรืออีเมลที่เป็นกิจธุระให้เร็วและชัดเจนที่สุด เพื่อที่เวลาที่เหลือจากนั้น จะได้ทำงานเขียนได้อย่างเต็มที่ เต็มเวลา โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น ยิ่งภารกิจส่วนตัวเสร็จเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะมีเวลาในการเขียนหนังสือเร็วขึ้นและมากขึ้น
 
นวนิยายเรื่อง Room ได้รับอิทธิพลมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เมื่อปี 2008 หลังจากตำรวจในออสเตรียสืบทราบว่ามีชายผู้หนึ่งกักขังลูกสาวของตัวเองไว้ในบ้าน ไม่ให้ออกไปเห็นโลกภายนอก เป็นเวลาถึง 24 ปี และยังได้ข่มขืนลูกสาวของตนเองจนตั้งครรภ์และให้กำเนิดลูกถึง 7 คน เมื่อเรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยออกมา ทั่วโลกต่างตั้งชื่อคดีว่า คดีฟริทซล์ (Fritzl Case)
 
"ฉันทราบข่าวนี้และทำให้อยากเขียนนวนิยายออกมา แต่ฉันพยายามเขียนเรื่อง Room ให้ต่างออกไปจากเรื่องจริงในคดีดัง ฉันไม่ต้องการให้คนอ่านงึงงันกับเรื่องระทึกที่เกิดขึ้น แต่ฉันอยากให้คนอ่านได้เข้าใจถึงการมีชีวิตอยู่ภายใต้การกักกัน ตัวเอกของเรื่องคือ มา-แม่ในเรื่องนี้ และแจ๊ค-ผู้เป็นลูกชาย การที่แม่และลูกจองจำตัวเองอยู่ในห้องแคบๆ ไม่มีหน้าต่าง เพื่อต้องการให้ผู้อ่านได้รู้ว่าอิสรภาพอันแท้จริงคืออะไรกันแน่ ฉันไม่พาผู้อ่านตกหลุมพรางจนเจ็บตัว แต่ฉันพาผู้อ่านค่อยๆ ไปซึมซับและรู้สึกกับสถานการณ์ แม้สถานการณ์จะไม่น่าอภิรมย์ แต่ฉันเชื่อว่าผู้อ่านจะตกหลุมรักสองแม่ลูกคู่นี้
 
การที่ฉันเขียน Room ออกมา ประเด็นก็คือความโดดเดี่ยว และมันโยงไปถึงการที่สหรัฐอเมริกามีนโยบายขังเดี่ยวนักโทษมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ซึ่งสภาวการณ์แบบนี้จะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของผู้ต้องขัง 'มา' ในเรื่องซึ่งเป็นแม่ของแจ็ค เธอเป็นแม่ที่มีปัญหากับการดำรงอยู่ในโลกใบนี้ ส่วนลูกชายก็ไม่ต่างจากตัวประหลาดของสังคม ซึ่งไม่เกี่ยวกับว่าแม่เลี้ยงดูเขามาอย่างไม่เหมือนลูกชาวบ้านทั่วไป แต่เป็นเพราะทัศนคติที่เขามีต่อโลกนั้นช่างเดียงสานัก ในขณะที่โลกภายนอกสมควรได้รับการถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างยิ่ง"
 
ผู้อ่าน Room จะได้เห็นการเติบโตของเด็กชายแจ็ค ผู้ที่มีพร้อมทุกอย่าง ยกเว้นอิสรภาพ เขาเติบโตมาในห้องเดี่ยว ต้องเผชิญหน้ากับแม่บังเกิดเกล้าทุกวัน และไม่เคยได้ออกไปข้างนอก นวนิยายเรื่องนี้ไม่ใช่การถูกลักพาตัวโดยแม่ผู้ให้กำเนิด แต่มีสัญลักษณ์มากมายที่พูดเอาไว้ถึงอิสรภาพและการปลดแอกตัวเองเพื่อออกสู่โลกภายนอก ในขณะที่ตัวคนข้างนอกมองคุณอย่างตัวประหลาด และอาจสร้างความเจ็บปวดให้แก่แจ็คมากกว่าที่แม่ทำกับเขาก็ได้ แบบไหนคืออิสรภาพที่แท้จริงกันแน่? มันเป็นการโยนคำถามกลับมาที่ผู้อ่าน 
 
 
และไม่ว่า Room จะได้รางวัลบุ๊คเกอร์ปี 2010 หรือไม่ สำหรับเอ็มมา ดอนนาฮู การเข้ารอบลึกขนาดนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จในการเป็นนักเขียนแล้ว
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.bangkokbiznews.com