Doris Lessing : นักเขียนรางวัลโนเบล 2007

"ความเชื่อของฉันก็คือพวกเรามีคุณค่าพอในการถ่ายทอดเรื่องราว เพราะว่าสิ่งที่อยากถ่ายทอดออกมาบรรจุอยู่ในสมองพวกเรา ซึ่งอัดแน่นไปด้วยเรื่องที่อยากเล่านานาสารพัน นั่นจึงเป็นที่มาของการเป็นนักเขียน"
ดอริส เลสซิ่ง (Doris Lessing) นักเขียนรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม 2007 คนล่าสุด หลังการประกาศผลรางวัลโนเบล 2007 สาขาวรรณกรรม เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2007โดยศาสตราจารย์โฮเรซ อิงดาห์ล (Horace Engdahl) เลขานุการสวีดิชอะคาเดมี คำประกาศที่สดุดีต่อดอริส เลสซิ่ง (Doris Lessing) นักเขียนชาวอังกฤษซึ่งกำลังจะมีอายุเต็ม 88 ปี ในวันที่ 22 ตุลาคม 2007 ชี้ชัดให้เห็นว่า คุณยายนักเขียนท่านนี้เป็นเกียรติประวัติอันเป็นมหากาพย์ของเพศหญิง และด้วยผลงานที่ตีโจทย์ความเป็นอารยะอย่างละเอียดถี่ถ้วน
อิงดาห์ล ยังกล่าวเพิ่มเติมหลังประกาศเกียรติแก่ดอริส เลสซิ่งอีกว่า "งานเขียนของเธอเป็นความสำคัญอย่างที่สุดสำหรับนักเขียนคนอื่นๆ และได้ขยายฐานแห่งงานวรรณกรรมให้แพร่หลายมากขึ้น คณะกรรมการถกกันนานกว่าจะมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าเลสซิ่งคือผู้สมควรแก่โนเบลครั้งนี้ ผมอยากบอกว่า อันที่จริงแล้ว เธอเป็นคนที่พวกเราพิจารณานานที่สุดและรอบคอบที่สุดในประวัติศาสตร์ของรางวัลโนเบล"
การได้รับรางวัลอันทรงเกียรติสูงสุดของแวดวงวรรณกรรม ทำให้ดอริส เลสซิ่ง กลายเป็นนักเขียนซึ่งอายุมากที่สุดที่ได้รับรางวัลโนเบล เป็นนักเขียนหญิงคนที่ 11 ที่ได้รับโนเบลสาขาวรรณกรรมในรอบ 106 ปีนับแต่มีรางวัลโนเบลเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1962 และผลงานของเธอหลายเล่มตอกย้ำความเป็นเฟมินิสต์ยุคโพสต์โมเดิร์นอย่างชัดเจน
พอผลการประกาศเผยแพร่ใน www.nobelprize.org อย่างเป็นทางการและข่าวเผยแพร่ไปทั่วโลก นักเขียนและนักวิชาการหลายคนออกมาแสดงความเห็นและแสดงความยินดีต่อเลสซิ่งหลายคน ด้านอุมเบอร์โต้ เอโก้ (Umberto Eco) ให้สัมภาษณ์ที่งานบุ๊คแฟร์ในแฟรงก์เฟิร์ตว่า "เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าเลสซิ่งเหมาะกับรางวัลนี้อย่างที่สุด"
ส่วนจอยส์ แครอล โอทส์ (Joyce Carol Oates) นักเขียนชาวอเมริกันกล่าวว่า "ยังดีนะที่คณะกรรมการพิจารณาตัดสินรางวัลยังมีเลสซิ่งอยู่ในสายตาในขณะที่เธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ช่างพิจารณามอบรางวัลให้เธอช้าไปตั้งเกือบยี่สิบหรือสามสิบปีเชียวนะ"
ด้านมาร์กาเรท อัทวู้ด (Margaret Atwood) นักเขียนดังชาวแคนาดา โทรศัพท์ไปยังคณะกรรมการพิจารณาตัดสินรางวัลและกล่าวสั้นๆ ว่า "ยอดเยี่ยมมากสำหรับคำตัดสิน"
สำหรับเลสซิ่งซึ่งเป็นผู้ได้รับรางวัลกล่าวหลังทราบข่าวว่า "ฉันเพิ่งกลับจากโรงพยาบาล ปีเตอร์ลูกชายฉันไม่สบาย พอก้าวออกจากรถแท็กซี่กล้องหลายตัวถ่ายภาพพรึบพรับ ตอนแรกฉันคิดว่าพวกเขามาถ่ายละครน้ำเน่ากันตามถนน แต่กลับเป็นฉันต่างหากที่พวกเขาถ่ายภาพอยู่ และครั้งแรกที่ฉันรู้ว่าตัวเองได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมก็จากบรรดานักข่าวนี่แหละ การได้รับรางวัลโนเบลนับเป็นเกียรติประวัติและเป็นรางวัลที่น่าพิศมัยที่สุด ฉันว่าตอนช่วงทศวรรษที่ 1970 คณะกรรมการก็อยากพิจารณาให้ฉันได้รางวัลแต่พวกเขาไม่ชอบฉันเท่านั้นเอง และดูเหมือนพวกเขาก็เปลี่ยนใจไม่เลือกฉัน ตัวฉันติดโผมาเป็นเวลา 40 ปี แต่ก็ชวดทุกทีจนมาครั้งนี้แหละ
ฉันรู้สึกดีที่เป็นผู้หญิงคนที่ 11 เท่านั้นในสาขานี้ที่ได้รับรางวัลโนเบล แต่ฉันเสียใจจังเลยที่อันดับที่หนึ่งหรือสี่หรือห้ากลับไม่มีเวอร์จิเนีย วูฟ แต่ฉันไม่อยากพูดถึงประเด็นการจำเพาะเรื่องเพศเกี่ยวกับแวดวงนักเขียนหรอกนะ มีนักเขียนชาวอังกฤษหลายคนได้รับรางวัลนี้ซึ่งเป็นการดีทีเดียว ประเทศพวกเราผลิตนักเขียนที่ดีหลายคน เนี่ยเดี๋ยวฉันต้องรับโทรศัพท์อีกไม่หวาดไม่ไหวจากเพื่อนๆ เอเยนซี สายส่ง เพราะพวกเขาก็ตั้งตารอโอกาสนี้กับฉันมาเนิ่นนาน ฉันคงหมดแรง กะว่าจะไปซื้อแชมเปญแล้วก็เตรียมตัวเข้านอน"
The Golden Notebook เป็นงานเขียนชิ้นเอกอุที่ตีแผ่ความเป็นเฟมินิสต์และงานเขียนที่ทำให้มีคนรู้จักเธออย่างกว้างขวาง แม้แต่ในการประกาศเกียรติยังยกให้งานเขียนเล่มนี้เป็นงานที่ทรงอานุภาพที่สุดของเธอ และงานเขียนหลายเล่มของคุณยายเลสซิ่งยังเป็นที่รู้จักกันในมิติความสัมพันธ์ของเพศชายและเพศหญิงแห่งศตวรรษที่ 20
อันที่จริงความโดดเด่นในการนำเสนอความคิดผ่านงานเขียนของคุณยายเลสซิ่ง ตีแผ่ให้เห็นถึงความเป็นไปของเนื้อหาในเล่มต่อๆ มาอย่างชัดเจน นับแต่การคลอดงานเขียนเล่มแรก The Grass is Singing (1950) เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงผิวขาวชาวโรเดเซียซึ่งแต่งงานมีสามีแล้วและชายรับใช้ผิวดำ ปรากฏสู่สายตานักอ่านและคนวรรณกรรมทำให้ผู้รับสารความคิดของเธอเห็นถึงการกดขี่จากนักล่าอาณานิคมผิวขาวและแน่นอนว่านวนิยายประสบความสำเร็จอย่างมาก
พอหลังผลงานเรื่อง The Golden Notebook นวนิยายอีกหลายเล่มต่อมาของเธอ (ณ ขณะนี้มีผลงานที่เขียนออกมามากกว่า 50 เล่ม) มีสาระสำคัญคล้ายๆ กันซึ่งเกี่ยวเนื่องผูกเกลียวอยู่กับบริบทของการถูกกดดันทางสังคม ความขัดแย้งในตัวเองของคน การเหยียดผิว การเมือง การแบ่งแยกทางเพศและสังคม และการเข้าถึงจิตวิญญาณด้านในของผู้คน
การอุทิศตัวทำงานเขียนของเลสซิ่งทำให้เธอกล้าพูดได้ว่า เธอขับเคลื่อนตัวเองอยู่ในการเขียน และไม่มีชีวิตช่างสังคมแบบคนอื่น (ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเธอชอบเข้าสังคม) ชีวิตของเธอผูกพันและพันธกิจตัวเองอยู่กับทุกอย่างที่สามารถทำให้เธอเอามาใช้ในงานเขียน คุณยายเลสซิ่งยังบอกอีกว่า ถ้าไม่เป็นนักเขียนป่านนี้ชีวิตคงสนุกกว่านี้อีกเยอะ เพราะเธอชอบสังสรรค์และทำได้ดีพอๆ กันกับการเขียนหนังสือ
ส่วนนักอ่านคนใดที่กลัวว่างานเขียนของคุณยายเลสซิ่งจะหนักเกินไปในการอ่าน คุณยายแนะนำว่า หากอยากรู้จักกันอย่างค่อยเป็นค่อยไปนั้นให้เริ่มจากเรื่อง The Fifth Child แล้วพอจับทางได้แล้วค่อยต่อด้วย Mara and Dan งานเขียนแนวตื่นเต้นผจญภัย แล้วให้กลับมาอ่านนวนิยายและงานเขียนเล่มแรกของคุณยายที่ชื่อ The Grass is Singing ที่ยังตราตรึงในใจผู้อ่าน
จากบทสัมภาษณ์ของอดัม สมิธ หัวหน้ากองบรรณาธิการ www.nobelprize.org ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่เวบไซต์อย่างเป็นทางการของรางวัลโนเบลต้องโทรศัพท์ไปแสดงความยินดีต่อผู้ได้รับรางวัลและถามคำถามต่างๆ คำถามหนึ่งที่น่าสนใจคือประเด็นที่สมิธถามเลสซิ่งไปว่า ทำไมไม่เขียนบทกวีหรือนี่คือการแสดงเจตนารมณ์ในการทำงานเขียนอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเธอ พอสิ้นคำถามนี้ เลสซิ่งตอบว่า
"ไม่ใช่การแสดงเจตนารมณ์ในการทำงานเขียนหรือแสดงตัวตนของตัวเอง แต่การทำงานเขียนของเธอนั้น มันไม่ใช่การตอบคำถามว่าต้องการลองหรือไม่อยากลองสิ่งไหน เพราะเวลาที่ฉันเริ่มเขียนหนังสือ สิ่งที่ก่อตัวขึ้นสิ่งแรกคือการเลือกที่จะมีวิถีที่ต่างออกไป รูปแบบที่เป็นตัวของตัวเอง สิ่งนี้คุณต้องสร้างมันออกมาให้ได้
ฉันอาจเคยมีความคิดอยากเขียนบทกวี แต่เมื่อทำงานเขียนฉันจำเป็นต้องควานหาการเขียนที่ลงตัว ซึ่งตอบไม่ได้หรอกว่าจะเขียนได้ห้าหมื่นคำต่อเล่มหรือเปล่า และฉันคิดว่าการที่กว่าฉันจะได้รับรางวัลโนเบล อาจเพราะคณะกรรมการตัดสินรางวัลยังติดยึดอยู่กับนวนิยายวิทยาศาสตร์สองเล่มของฉันเรื่อง Memoirs of a Survivor และ Briefing for a Descent into Hell ซึ่งอาจเป็นงานที่หินสำหรับพวกเขา ฉันกวาดรางวัลต่างๆ มากมายในเวทียุโรป และฉันดีใจกับทุกรางวัลที่ฉันได้รับ"
การเฝ้ารอรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรมของคุณยายดอริส เลสซิ่ง เปรียบได้กับชั่วชีวิตของเธอ และในที่สุดก็ได้รับรางวัลนี้ ซึ่งพิธีมอบรางวัลจะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 10 ธันวาคม 2007 ณ กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ๐
……………………………………………..
เบื้องหลังชีวิต Doris Lessing (ค.ศ.1919-2007)
22 ตุลาคม ค.ศ.1919-เกิด ที่ Kermanshah หรือที่รู้จักกันในภายหลังว่าเปอร์เซีย (ปัจจุบันคือประเทศอิหร่าน) มารดา ดอริส เมย์ เทย์เลอร์ เป็นพยาบาล บิดา อัลเฟรด คุ๊ก เทย์เลอร์ อดีตกัปตันเรือช่วงสงครามโลกครั้ง ที่ 1 และพนักงานธนาคาร
1925 : ครอบครัวของเธอย้ายจากฟาร์มมาอยู่ที่ภาคใต้ของโรเดเซีย (ปัจจุบันประเทศซิมบับเว) เพื่อให้มีรายได้มากขึ้น
1926 : เข้าโรงเรียนประจำที่ Salisbury
1933 : อายุ 14 ไม่ยอมเรียนต่อ และออกมาศึกษานอกระบบด้วยตัวเอง ระหว่างนั้นทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก, คนรับโทรศัพท์, เสมียน, คนจดชวเลข, ผู้สื่อข่าว และเรื่องสั้นหลายเล่มได้รับการตีพิมพ์
1939 : แต่งงานกับแฟรงค์ ชาร์ลส์ วิสดอม มีลูกชายชื่อจอห์น และลูกสาวชื่อจีน ทั้งคู่หย่ากันปี 1943
1945 : แต่งงานกับกอทท์เฟรด เลสซิ่ง ชาวเยอรมันซึ่งเป็นยิวอพยพที่เธอพบกับเขาในกลุ่มมาร์กซิสม์ที่ทำประเด็นเกี่ยวกับเชื้อชาติ, ดอริสเข้าร่วมพรรคแรงงานโรเดเซียใต้ มีลูกชายกับเลสซิ่งชื่อปีเตอร์ และทั้งคู่หย่ากันปี 1949 และเธอพาลูกชายกลับไปลอนดอน
1949 : เริ่มสถาปนาตัวเองเป็นนักเขียน
1950 : งานเขียนเล่มแรก The Grass in Singing
1952-1956 : เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคบริติชคอมมิวนิสต์ รณรงค์ต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ และเธอวิพากษ์วิจารณ์การปกครองของแอฟริกาใต้ จึงโดนสั่งห้ามไม่ให้เข้าประเทศแอฟริกาใต้ระหว่างปี 1956-1995
1956 : ไปเยี่ยมบ้านเกิดช่วงสั้นๆ ที่โรเดเซียใต้
ปัจจุบัน : พำนักอยู่ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ผลงาน : พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ จำนวน 62 เล่ม ผลงานล่าสุด The Cleft (2007) ผลงานของดอริส เลสซิ่ง สำนักพิมพ์ที่พิมพ์จำหน่ายมีทั้งในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา และผลงานที่เขียนออกมาอีกหลายสิบเล่มได้รับการแปลเป็นภาษาฝรั่งเศส สวีเดน และเยอรมนี
ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=146377