Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

Diana Athill กับหนังสือชีวประวัติ รางวัล Costa Book Awards 2009

 

 
ก่อนประกาศผล Costa Book Awards (ชื่อเดิม Whitbread Awards) ไดอาน่า อธิลล์ (Diana Athill) นักเขียนชาวอังกฤษวัย 91 ซึ่งมีชื่อเสนอเข้าชิง 
 
ถึงแม้ไม่ได้เธอก็ไม่เสียใจ เพราะหลายช่วงของชีวิตที่ผ่านมาพบเจอกับสิ่งเลวร้ายในชีวิตอยู่เป็นระยะ ในที่สุดวันถัดมา อธิลล์ได้รับ Costa Book Awards 2009 ประเภทชีวประวัติ จากงานเขียนชื่อ Somewhere Towards the End 
 
ชีวิตของ อธิลล์ มีความผันผวนเกิดขึ้นมากมาย ความล่มสลายของรักแรกทำให้เธอต้องเยียวยาหัวใจตัวเองยาวนานถึง 20 ปี ระหว่างทางของการเยียวยาเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เธอได้ใช้ชีวิตทำงานด้านสื่อสิ่งพิมพ์ ได้ร่วมงานกับนักเขียนดังระดับโลก เธอขึ้นชื่อว่าเป็นบรรณาธิการที่ดีและเยี่ยมที่สุดในลอนดอน ปัจจุบันในวัย 91 ซึ่งคนวัยเดียวกับเธอคงอยู่กับจังหวะชีวิตที่ขยับช้าลง แต่สำหรับเธอแล้วการมีชื่อเข้าชิง Costa Book Awards และรอลุ้นจนได้รับรางวัล ทำให้หัวใจของเธอสั่นระทึกกับความสำเร็จในฐานะนักเขียน 
 
Somewhere Towards the End ต้นตอมาจากเรื่องราวของคนครอบครัว พ่อของอธิลล์ทนไม่ได้เมื่อใครเอ่ยถึงเรื่องความตาย และพ่อมีวิสัยทัศน์เรื่องความตายไม่ต่างจากเพื่อนร่วมประเทศอีกหลายคนของเธอ ที่พวกเขามิอาจทนทานต่อการเปลี่ยนผ่านชีวิตจากมีลมหายใจไปสู่ความดับสลายของชีวิตได้ สำหรับอธิลล์รับมือได้กับกฎแห่งความเป็นอนิจจังนี้อย่างดี "ใครๆ ก็แก่กันทั้งน้าน ฉันเองคงอยู่ได้อีกไม่นาน และมันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสียด้วยสิ" เธอกล่าว 
 
อธิลล์ เกิดปี 1917 ในครอบครัวชนชั้นกลางค่อนข้างมีอันจะกินในนอร์โฟล์ค เธอไม่ต่างจากผู้หญิงหลายคนในสมัยนั้นที่ฝันหวานหลังเรียนจบว่าอยากมีชีวิตแต่งงานสวยงามและมีลูก แต่ภูมิหลังของครอบครัวเธอกลับเป็นเงาหรือลางไม่ดีในการมีชีวิตคู่ ในบันทึกความทรงจำ Yesterday Morning อธิลล์เขียนไว้ว่า …แม่ของเธอมีชู้ และแม่เป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองแบบสุดโต่งว่าไม่มีใครในโลกนี้ทำอะไรผิด แม่ทำงานหนักตลอดชีวิตเพื่อให้พวกเราลืมเรื่องนี้ไปจากใจ แม่ละอายแก่ใจที่ทำสิ่งไม่ดีลงไป อันที่จริง จนทุกวันนี้อธิลล์รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่แม่ทำ 
 
ส่วนพ่อของเธอเอาแต่ตำหนิตัวเอง… "พ่อรู้สึกว่าเป็นคนไม่น่าสนใจและน่าเบื่อ ฉันพบจดหมายฉบับหนึ่งของพ่อและแม่โดยบังเอิญ และพ่อพูดว่า 'ที่รัก ผมเสียใจที่ผมไม่เคยทำให้คุณรู้สึกกับผม เหมือนอย่างที่เป๊กกี้รู้สึกกับสามีของเธอ'- เป๊กกี้เป็นพี่สาวคนโตของแม่ฉัน นี่แหละพ่อที่น่าสงสารของฉัน คำขอโทษของพ่อ" 
 
ใน Somewhere Towards the End อธิลล์ยังเขียนถึงความสัมพันธ์อันสำคัญยิ่งระหว่างเธอกับโทนี่ เออร์วิน (ในหนังสือเธอเรียกเขาว่า "พอล") เธอพบกับเออร์วินตอนที่เธอมีอายุ 15 ปี ตอนนั้นพอลเป็นนักศึกษาที่ออกซฟอร์ด เธอตกหลุมรักเขาหัวปักหัวปำ "ฉันมั่นใจว่าการได้แต่งงานกับผู้ชายที่ฉันรัก ฉันจะซื่อสัตย์ต่อเขาตราบชั่วชีวิตที่เหลืออยู่ของฉัน" อธิลล์ไปเรียนที่ออกซฟอร์ด ส่วนเออร์วินเข้าร่วมกองทัพอากาศของอังกฤษ ทั้งคู่หมั้นกันก่อนที่เออร์วินจะไปประจำการที่อียิปต์ เธอเฝ้ารอวันที่จะได้พบคู่หมั้น แม้เธอจะไม่ใช่ผู้หญิงที่มีความเป็นแม่ อธิลล์ก็มั่นใจว่าเธอและคู่หมั้นจะมีลูกด้วยกัน 
 
เออร์วินไม่ส่งข่าวและไม่ตอบจดหมายเป็นเวลาสองปี ในที่สุด เขาส่งข้อความสั้นๆ มายังอธิลล์เพื่อขออิสรภาพและไม่ขอเป็นคู่หมั้นของเธออีกต่อไป เขาต้องการอิสรภาพเพื่อไปแต่งงานกับผู้หญิงอีกคน ไม่นานหลังจากนั้นเออร์วินก็ถูกฆ่าตาย อธิลล์หัวใจแหลกสลายกับรักแรกที่พังพินาศลงต่อหน้าต่อตา เธออยู่กับความเศร้าโศกกินเวลายาวนานถึง 20 ปี "ชีวิตตอนนั้น เหมือนมันมาถึงจุดจบ ฉันเกลียดความรู้สึกของการเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ แต่เมื่อคุณมีความรัก มันไม่ง่ายเลยที่จะตัดความรู้สึกของการเป็นเจ้าเข้าเจ้าของคนที่คุณรักออกไปจากใจ และร้อยทั้งร้อยฉันเชื่อว่าไม่มีใครตัดความรู้สึกนี้ออกไปได้" อธิลล์กล่าว 
 
หลังออกจากออกซฟอร์ด อธิลล์ทำงานระยะสั้นๆ ให้กับบีบีซี จากนั้นเธอช่วยเพื่อนที่ชื่ออังเดร ดอยซ์ ก่อตั้งสำนักพิมพ์และพิมพ์งานเขียนของนักเขียนดังๆ อย่าง Simone de Beauvoir, Philip Roth, Jack Kerouac, Noman Mailer, Margaret Atwood, Laurie Lee, Stevie Smith และMarilyn French นักเขียนที่เธอชอบมากที่สุดคือ Molly Keane ถึงกับออกปากว่า "สุดที่รักของฉันเลยแหละคนนี้น่ะ!" ส่วนนักเขียนชายที่เป็นคนน่ารักสุดๆ ในสายตาของเธอคือ John Updike เธอชอบ VS Naipaul เป็นอันดับโหล่สุด และ Jean Rhys เป็นนักเขียนที่เธอชอบสไตล์การเขียนเป็นที่สุด 
 
ต่อมาอธิลล์มีความรักครั้งใหม่กับชายที่แต่งงานแล้ว เขาชื่อแบร์รี่ เรคคอร์ด เป็นนักเขียนบทละครเวทีชาวจาไมกา ตอนที่พบเขาเธออายุ 43 ปี อธิลล์เขียนถึงความสัมพันธ์กับชายของผู้หญิงอีกคนไว้อย่างสุขุมและแนะนำว่าต้องคบหากันอย่างระมัดระวังอย่างที่สุด "ถ้าคุณกำลังทำร้ายอีกคน มันเป็นเรื่องที่แย่ทีเดียว ฉันคิดว่าถ้าคุณอยากจะมีความรักพิเศษเพิ่มมาอีกคน คุณควรจะมีความสุขกับการเก็บเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดด้วย นอกเสียจากว่าการใช้ชีวิตแต่งงานของพวกคุณต่างให้อิสระแก่กันและกัน" 
 
เธอบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรคคอร์ดกับเธอเป็นมิตรภาพที่งดงาม จนในที่สุดเขาเลิกกับภรรยา ซึ่งไม่ได้มีสาเหตุมาจากอธิลล์ เรคคอร์ดมาใช้ชีวิตคู่อยู่กับเธอ ทั้งคู่เริ่มต้นการใช้ชีวิตคู่ด้วยกันหลังจากความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างกันเริ่มจืดจางลง พวกเขาอยู่แฟลตเดียวกันแต่แยกห้องนอน และต่างคนต่างมีคนรักของตัวเอง อธิลล์ชอบแฟนคนหนึ่งของเรคคอร์ด (เรคคอร์ดมีแฟนหลายคน) ที่ชื่อแชลลี่ แครี่ เธอปลื้มแครี่มากกว่าใครๆ "ฉันแนะนำให้แครี่ย้ายมาอยู่กับพวกเรา ฉันรู้สึกว่าฉันมีความสุขที่เธอจะย้ายมาอยู่กับพวกเรา และฉันรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ" 
 
อธิลล์ยอมรับว่าความรักครั้งแรกเป็นทั้งความฉิบหาย และทำให้เธอเดินอยู่บนทางสายกลาง "ความรักและความเจ็บปวด ฉันคิดว่าความรักของฉันล้มเหลว พอเวลาผ่านไป ฉันจึงเลี่ยงที่จะปล่อยให้ตัวเองพันผูกอยู่กับความรู้สึกที่แท้จริง ฉันเบนหางเสือออกไป และปล่อยวาง" 
 
กาลเวลาผ่านไป สิ่งที่เธอตั้งหน้าตั้งตารอคอยและสร้างความตื่นเต้นให้กับอธิลล์ สิ่งนั้นคือการได้เป็นเจ้าของ Costa Book Awards ประเภทชีวประวัติ เธอบอกว่า "ฉันไม่ยี่หระสักนิดว่าคนอื่นจะคิดกับฉันยังไง แต่รางวัลนี้ ฉันอยากได้มันจริงๆ" 
 
 
และนักเขียนวัย 91 ท่านนี้ก็ได้หัวใจเบ่งบานกับงานเขียนที่เธอยังรู้สึกสนุกและตื่นเต้นเมื่อได้เขียนหนังสือ 
 
โดย : นงค์ลักษณ์ เหล่าวอ nonglakspace@gmail.com 
วันที่ 22 มกราคม 2552 
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ