Development as Freedom
เคยได้ยินมาว่าคำสาปแช่งของชาวยิวที่รุนแรงที่สุดคือ ขอให้เจ้ามีเงินล้นฟ้า แต่ไม่อาจหยิบจับมาใช้ได้สักสลึงเฟื้อง เจอกิส และออนา คู่สามีภรรยาชาวลิทัวเนียใน The Jungle นวนิยาย สะท้อนสังคมของอับตัน ซินแคล์ ข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งรกรากในชิคาโก ก่อนตระหนักว่าจริงอยู่ที่ค่าแรงในอเมริกาสูงกว่าประเทศบ้านเกิด แต่ขณะเดียวกัน ค่ากินอยู่ ค่าใช้จ่ายก็แพงขึ้นไปอีกหลายเท่าด้วย แสดงให้เห็นว่าการมีรายได้เพิ่มขึ้น ไม่ได้หมายถึงการมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความสุขเลยด้วยซ้ำ อีกตัวอย่างหนึ่งจาก Development as Freedom คือ แม้ว่ารายได้ของคนผิวดำในอเมริกาจะสูงกว่าเพื่อนร่วมเผ่าพันธ์ในทวีปแอฟริกา แต่โดยเฉลี่ยแล้ว คนผิวดำในทวีปแอฟริกา จะอายุยืนกว่าคนผิวดำในอเมริกา
ความแตกต่างระหว่างจำนวนเงิน และ ความสุข คุณภาพชีวิต อายุ หรือถ้าว่ากันตามนิยามของเซ็น “อิสรภาพ” นี้เองคือหัวข้อหลักของ Development as Freedom
ผมเคยได้ยินชื่อเซ็นมาก่อน ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ชาวอินเดียเจ้าของรางวัลโนเบล และผู้มีอิทธิพลต่อนักเศรษฐศาสตร์นอกกระแสอย่างมูฮัมหมัด ยูนุส ผู้ก่อตั้งธนาคารกรามีน อันเป็นธนาคารแห่งแรกสำหรับคนยากคนจนในประเทศด้อย และกำลังพัฒนา ส่วนหนังสือ Development as Freedom ผ่านเข้าสายตาผมครั้งแรกจากบทความของคุณธร ปิติดล อมาตยา เซ็น กับเศรษฐกิจพอเพียง และก่อนหน้านั้นก็มีบทความของคุณพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ประชาธิปไตยคือหัวใจของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แถมยังได้ข่าวแว่วมาด้วยว่าพี่สฤณีกำลังแปลหนังสือเล่มนี้เป็นภาษาไทย ถ้าไม่รีบหยิบยกหนังสือเล่มนี้มากล่าวถึง ก็ต้องถือว่าพลาดโอกาสดีๆ ที่จะทำตัวล้ำสมัยไปกับเขา
สังเกตว่าทั้งสองบทความข้างต้นนั้นกล่าวถึงเศรษฐกิจพอเพียง โดยเฉพาะบทความของคุณธร ที่วิเคราะห์ว่าตอนเซ็นแวะมาประเทศไทย ได้สัมมนา พูดจากับผู้หลักผู้ใหญ่ แล้วหนังสือพิมพ์ก็เอามาสรุปเองว่า “อมาตยา เซ็นเห็นด้วยกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นจริง หรือเป็นเท็จอย่างไร อยากแนะนำให้ผู้สนใจไปหาอ่านบทความของคุณธรเอาเอง ส่วนบทความนี้ จะพูดถึง Development as Freedom จากอีกแนวทางหนึ่ง เพื่อตั้งคำถามว่า “อมาตยา เซ็นเห็นด้วยกับแนวทางเศรษฐกิจทุนนิยมหรือไม่”
Development as Freedom เป็นหนังสือที่ตั้งชื่อได้ใจความมากๆ ถ้าให้สรุปทฤษฎีของเซ็นสั้นๆ สามคำก็จะได้ว่า “อิสรภาพคือการพัฒนา” สมดังชื่อหนังสือ เซ็นต้องการให้คนเรามองดัชนีการพัฒนาให้ไกลเกินกว่าแค่รายได้ หรือกำลังผลิต มาตรที่เซ็นใช้คือ “Capability” หรือ “ความสามารถ” ซึ่งคือพลังในการเลือกของปัจเจกที่จะทำนู่นทำนี่ ที่จะให้บุตรหลานมี หรือไม่มีการศึกษา ที่จะเข้ารับ หรือไม่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ที่จะประกอบอาชีพ รับประทานอาหาร และมีงานอดิเรกใดๆ ก็ตาม ทั้งหมดนี้คืออิสรภาพ
จริงๆ แล้วอิสรภาพไม่ใช่เรื่องใหม่ในวิชาเศรษฐศาสตร์ แต่ไหนแต่ไรมา นักเศรษฐศาสตร์เชื่อกันว่าประชาธิปไตย และเสรีนิยม ซึ่งสนับสนุนอิสรภาพเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการนำมาซึ่งความมั่งคั่ง ตัวอย่างอันทรงพลังจาก Development as Freedom คือ ปรากฎการณ์ความอดอยากแร้นแค้น (Famine) ซึ่ง มีมาตั้งแต่สมัยคนหว่านเมล็ดพืชด้วยมือ จนถึงยุคอินเตอร์เน็ต แต่ความอดอยากแร้นแค้นนั้นไม่เคยเกิดในประเทศที่ปกครองด้วยระบบ ประชาธิปไตย เพราะสังคมประชาธิปไตยเอื้อให้ข้อมูลไหลกลับไปกลับมาระหว่างหน่วยล่าง และหน่วยบน ผู้นำจะรับรู้ความยากลำบากของประชาชน และหาทางแก้ไขได้ทันท่วงที ตรงกันข้าม ความล้มเหลวของนโยบาย “ก้าวกระโดดไปข้างหน้า” ของเหมาเจ๋อตุง ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ผู้นำจีนถูกเครือข่ายโฆษณาชวนเชื่อปิดหูปิดตาตัวเอง จึงไม่เกิดการไหลของข้อมูลเหมือนในระบบประชาธิปไตย
แต่แค่บอกว่าอิสรภาพคือเครื่องมือ ชิ้นสำคัญในการพัฒนานั้น ไม่เพียงพอสำหรับเซ็น อิสรภาพไม่ใช่เครื่องมือ แต่โดยตัวมันเองนั่นแหละ คือการพัฒนา
ขออนุญาตถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าวแล้วพูดถึงความยุติธรรม เนื่องจากหัวข้อนี้เข้ากันได้ดีกับ A Theory of Justice ที่เพิ่งพูดถึงไปเมื่อคราวก่อน ทฤษฎีความยุติธรรมเก่าแก่สุดยึดหลักประโยชน์นิยม (utilitarianism) โดยเจ้าพ่อของทฤษฎีตัวนี้ เจเรมี เบนแธม เชื่อว่าความยุติธรรมคืออะไรก็ตามแต่อันนำมาซึ่งผลประโยชน์โดยรวมมากสุดในสังคม แน่นอนความคิดนี้เต็มไปด้วยช่องโหว่ เพราะมันไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อนแค่ไหน ตราบใดที่อย่างน้อยมีคนคนหนึ่ง หรือคนกลุ่มหนึ่งได้รับผลประโยชน์ทดแทนความเดือนร้อนของคนกลุ่มอื่น ใน A Theory of Justice ราว์ลส์พัฒนาทฤษฎีขึ้นมาอีกตัว โดยบอกว่าความยุติธรรมจะต้องรับประกัน “Primary Goods” หรือปัจจัยพื้นฐานให้แก่ทุกสมาชิก ซึ่งปัจจัยตัวนี้เป็นได้ตั้งแต่รูปธรรมอย่างยารักษาโรค อาหาร ไปจนถึงนามธรรมอย่างสิทธิ และเสรีภาพ
ความยุติธรรมของเซ็นไปไกลว่าราว์ลส์อีกก้าวหนึ่ง เซ็นบอกว่าแค่ให้ผู้ป่วยทุกคนได้รับการรักษาโรคอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องมีอิสระที่ จะเข้ารับ หรือปฏิเสธการรักษาด้วย โดยผิวเผินแล้วความคิดตรงนี้อาจฟังดูพิกล เนื่องจากถ้าผู้ป่วยมีโอกาสได้รับการรักษาฟรีๆ ใครบ้างจะไม่อยากใช้ จะเข้าใจความคิดตรงนี้ได้ เมื่อพิจารณาความแตกต่างระหว่างประเทศในยุโรป และอเมริกา ยุโรปมีโครงการสาธารณสุขที่ดีกว่าของอเมริกา มีค่าหมอค่ายาให้คนเจ็บคนป่วย คนเกษียณอายุ และคนพิการ แต่ในทางตรงกันข้าม ปัญหาการตกงานในยุโรปก็รุนแรงกว่าของอเมริกาหลายเท่าตัวด้วย รัฐบาลยุโรปยึดหลักของราว์ลส์ที่รับประกันปัจจัยพื้นฐานให้แก่สมาชิกในสังคม ขณะที่รัฐบาลอเมริกาเน้นการสร้างงาน สร้างรายได้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยเลือก และมีอิสระที่จะเข้ารับการรักษาด้วยตัวเอง
อีกตัวอย่างซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของอิสรภาพในการพัฒนา คือเรื่องของการควบคุมจำนวนประชากร เป็นที่รู้กันว่า “มีลูกมาก จะยากนาน” แต่จะเผยแพร่ความคิดนี้ได้อย่างไร ในประเทศเกษตรกรรม ซึ่งมีค่านิยมให้สร้างครอบครัวขนาดใหญ่ เซ็นเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างจีน และรัฐเกรละในประเทศอินเดีย การคุมกำเนิดในประเทศจีนอาศัยการบังคับขู่เข็ญ กรณีสุดโต่งขนาดส่งตำรวจไปเผาบ้านที่มีลูกมากเกินกำหนดก็มีให้เห็น ขณะที่รัฐเกรละใช้วิธีให้การศึกษาประชาชน โดยเฉพาะผู้หญิง เพราะการสร้างโอกาส และอิสรภาพให้ผู้หญิงออกไปทำงานนอกบ้าน จะช่วยลดบทบาท และอัตลักษณ์ความเป็นแม่บ้านของพวกหล่อนลง ผลลัพธ์คืออัตราการลดจำนวนประชากรที่ยั่งยืนกว่าการบังคับขู่เข็ญในประเทศจีน
กลับมาคำถามเรื่องทุนนิยม ใน Development as Freedom นักคิดนักปรัชญาที่เซ็นหยิบยกมาอ้างเอ่ยบ่อยสุดหาใช่พระพุทธเจ้า ขงจื้อ อริสโตเติล หรือมาร์กซ์ไม่ แต่เป็นอดัม สมิธ ผู้เขียน The Wealth of Nations อันเป็นมหาสูตรแห่งลัทธิทุนนิยม สมิธเป็นนักคิดที่โดนเข้าใจผิดมากสุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ ทุนนิยมไม่ได้สอนให้คนเราเห็นแก่ตัว แต่สอนให้ฉลาด และรู้จักใช้เหตุและผล เพื่อหาประโยชน์ โดยคำว่า "ประโยชน์" ในที่นี้รวมไปถึงความรู้สึกสบายใจ และเป็นสุขที่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น หรือปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดด้วย การมองผู้ศรัทธาในระบอบทุนนิยมว่ารู้จักแต่กอบโกย เป็นการมองอย่างคับแคบ เซ็น กล่าวติดตลกโดยอ้าง และแปลงบทประพันธ์ของเชคสเปียร์ว่า "บางคนเกิดมาพร้อมกับความคับแคบ บางคนไขว่คว้าความคับแคบ สมิธคือผู้ถูกความคับแคบหล่นใส่กบาลโดยไม่รู้ตัว"
ทุนนิยมไม่ได้ไร้ข้อกังขาไปเสียทั้งหมด ปัญหาของมันก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่คือ เรื่องของการกระจายรายได้ และการรับมือกับทรัพย์สินส่วนรวม เช่นสิ่งแวดล้อม และการสาธารณสุข ซึ่งปัญหาเหล่านี้ก็ต้องแก้กันไปเป็นข้อๆ ไม่ใช่เอะอะมะเทิ่งปฏิเสธมันไปทั้งระบบ "นักคิดผู้ ปฏิเสธทุนนิยม มักเสนอกลไกชนิดอื่นซึ่งแตกต่างกับทุนนิยมอย่างสุดขั้ว โดยไม่เคยตรวจสอบเลยว่ากลไกดังกล่าวจะไม่นำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ที่ใหญ่กว่าหรือเปล่า" ตรงนี้สะท้อนวาจาอมตะของเชอร์ชิล ที่บอกว่า "ประชาธิปไตยคือระบบการปกครองที่ห่วยที่สุด ถ้าไม่นับระบบอื่นที่เคยลองกันมาแล้ว"
ช่วงท้ายของ Development as Freedom เซ็น นำเสนอความคิดซึ่งก้าวกระโดดมาก โดยเขาเปรียบเทียบสถานการณ์ในรัสเซีย และญี่ปุ่น กรณีรัสเซียนั้นเป็นความล้มเหลว และรอยแผลบาดลึกสุดในระบบทุนนิยม (สามารถหาอ่านเรื่องความล้มเหลวนี้ได้จาก Globalization and its Discontents โดย สติกลิทซ์ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลอีกคน) ตรง ข้ามกับนักคิดส่วนใหญ่ เซ็นไม่ได้โทษระบบ แต่โทษค่านิยม ตรรกะสังคม และโครงสร้างขององค์กรในรัสเซียที่ไม่เอื้อหนุนให้ทุนนิยมเจริญงอกงาม เช่นการที่ตลาดมืด และมาเฟียส่งอิทธิพลครอบคลุมสังคมมาตั้งแต่ยุคคอมมิวนิสต์ กรณี ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตัวอย่างการเจริญเติบโตสูงสุดของทุนนิยม ได้มีนักคิดออกมาวิเคราะห์กันแล้วว่า ความสำเร็จนั้นมาจากพื้นฐานทางสังคมที่เอื้ออำนวยให้เกิดบรรยากาศการแข่งขัน และเกื้อกูล รวมไปถึงสนับสนุนให้ประชาชนมีการศึกษาอีกด้วย
ดังนั้น แทนที่ปัญญาชนสยามจะวิพากษ์วิจารณ์ทุนนิยมว่าดีพอสำหรับสังคมไทยหรือเปล่า น่าจะหันมาถามกันบ้างว่าสังคมไทยดีพอสำหรับทุนนิยมแล้วหรือยัง
นั่นคือคำถามที่เซ็นฝากทิ้งไว้ให้คนอ่าน พวกเราทุกคน
โดย ภาณุ ตรัยเวช
http://www.onopen.com/loveyouallmass/09-08-04/4936
text-ij � t pO� � � -transform: none; white-space: normal; widows: 2; word-spacing: 0px; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px; background-color: rgb(255, 255, 255); ">ช่วงท้ายของ Development as Freedom เซ็น นำเสนอความคิดซึ่งก้าวกระโดดมาก โดยเขาเปรียบเทียบสถานการณ์ในรัสเซีย และญี่ปุ่น กรณีรัสเซียนั้นเป็นความล้มเหลว และรอยแผลบาดลึกสุดในระบบทุนนิยม(สามารถหาอ่านเรื่องความล้มเหลวนี้ได้จาก Globalization and its Discontents โดย สติกลิทซ์ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลอีกคน) ตรง ข้ามกับนักคิดส่วนใหญ่ เซ็นไม่ได้โทษระบบ แต่โทษค่านิยม ตรรกะสังคม และโครงสร้างขององค์กรในรัสเซียที่ไม่เอื้อหนุนให้ทุนนิยมเจริญงอกงาม เช่นการที่ตลาดมืด และมาเฟียส่งอิทธิพลครอบคลุมสังคมมาตั้งแต่ยุคคอมมิวนิสต์ กรณี ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตัวอย่างการเจริญเติบโตสูงสุดของทุนนิยม ได้มีนักคิดออกมาวิเคราะห์กันแล้วว่า ความสำเร็จนั้นมาจากพื้นฐานทางสังคมที่เอื้ออำนวยให้เกิดบรรยากาศการแข่งขัน และเกื้อกูล รวมไปถึงสนับสนุนให้ประชาชนมีการศึกษาอีกด้วย
ดังนั้น แทนที่ปัญญาชนสยามจะวิพากษ์วิจารณ์ทุนนิยมว่าดีพอสำหรับสังคมไทยหรือเปล่า น่าจะหันมาถามกันบ้างว่าสังคมไทยดีพอสำหรับทุนนิยมแล้วหรือยัง
นั่นคือคำถามที่เซ็นฝากทิ้งไว้ให้คนอ่าน พวกเราทุกคน