Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

Breakfast at Tiffany’s

 

ภาพยนตร์เรื่อง Breakfast at Tiffany's (ชื่อไทยคือ นงเยาว์นิวยอร์ค สะกดด้วย “ค”) เปิดเรื่องด้วยฉากคลาสสิก   ออเดรย์ เฮปเบิร์นในบทฮอลลี โกไลท์ลี ยืนอยู่หน้าร้านทิฟฟานีในกรุงนิวยอร์ก ละเลียดทานขนมปังเป็นอาหารเช้า อยู่คนเดียว   แววตาจับจ้องเข้าข้างในร้านอย่างมีจุดหมาย แต่ไม่มีเหตุผล   หญิงสาวกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่   นั่นคือสิ่งที่ผู้ชมต่างสงสัยใคร่จะรู้[1]

 

                ฉากนี้ไม่มีอยู่ในหนังสือ   ทรูแมน คาโปต เปิดนิยายต้นฉบับด้วยอีกฉากซึ่งตราตรึงใจไม่แพ้กัน   "ผม" ถูกเรียกตัวไปยังร้านเหล้าของเพื่อนเก่า เพราะมีคนได้ข่าวคราวของฮอลลี หลังจากหล่อนหายสาบสูญไปในทวีปอเมริกาใต้เมื่อหลายปีก่อน   ข่าวคราวนี้คือภาพถ่ายใบหนึ่ง ส่งตรงมาจากทวีปแอฟริกา เป็นภาพถ่ายตุ๊กตาสลักไม้ของชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งละม้ายคล้ายคลึงกับหญิงสาวในความทรงจำไม่มีผิดเพี้ยน   ตามมาด้วยเรื่องเล่าสั้นๆ  การผจญภัยของฮอลลีในทวีปแอฟริกา เหตุใดเธอถึงได้กลายมาเป็นเทวีของชนเผ่าพื้นเมือง   ทั้งหมดเกิดขึ้นก่อนผู้อ่านจะได้รู้จักตัวละครตัวนี้ด้วยซ้ำ

 

                ในฉากแนะนำตัวละครทั้งสองแบบ ผู้อ่านและผู้ชมเริ่มต้นรู้จักฮอลลี โกไลท์ลีในฐานะปริศนา และปริศนานั่นแหละคือสิ่งที่เธอเป็นตลอดทั้งเรื่อง

 

                ย้อนกลับไปหลายปี ก่อนฮอลลีจะกลายเป็นเทวีในรูปแกะสลัก หล่อนก้าวเข้ามาในโลกของ "ผม"[2] ด้วยการปีนหน้าต่างเข้ามา   หญิงสาวขอลี้ภัยจากแฟนหนุ่มขี้เมาในห้องพัก   คืนนั้นหล่อนตั้งชื่อใหม่ให้เขาว่า "เฟรด" ตามชื่อของน้องชายสุดที่รัก   ฮอลลีนอนกอดเฟรดเพราะต้องการความอบอุ่น แต่พอชายหนุ่มแสดงเจตนาจะถามไถ่เรื่องราวในอดีต หล่อนปั้นปึ่งปีนกลับไปทางหน้าต่าง

 

                ตลอดทั้งนิยาย คาโปตเล่นละครเงากับผู้อ่าน ด้วยการดึงตัวละครเข้าๆ ออกๆ   บางขณะก็เหมือนเรา (และเฟรด) เห็นภาพฮอลลีอย่างชัดเจน เห็นถึงนิสัยตัวตน เห็นไปถึงอดีต กระทั่งเนื้อหนังมังสาก็ไม่มีปกปิด[3] แต่วินาทีถัดมา หล่อนกลับกลายเป็นภาพเงาจางๆ   ฮอลลีไม่เคยปฏิเสธว่าหล่อนหลงใหลความมั่งคั่ง ชื่อเสียง เงินทอง แต่ในทางกลับกัน เมื่อมีโอกาสไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้มาไว้ในมือ หล่อนโยนทุกอย่างทิ้งเพียงเพราะต้องการทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำมาก่อน   ประโยคแรกๆ ที่หล่อนพูดกับเฟรดเมื่อเจอหน้ากันคือ "ฉันจะไม่ยอมคุ้นชินกับอะไรทั้งนั้น   ใครที่ทำตัวแบบนั้น ก็เหมือนตายทั้งเป็น"

 

                ฮอลลีเก็บแมวมาเลี้ยงตัวหนึ่ง แต่ไม่กล้าตั้งชื่อให้มัน เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเธอ เจ้าแมว และห้องพักในกรุงนิวยอร์กนี้ เป็นของกันและกันแน่แท้หรือไม่   เท่าๆ กับที่ฮอลลีโหยหาพื้นที่ของตัวเอง หญิงสาวกลับปฏิเสธที่จะยืนอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป (นามบัตรของเธอเขียนว่า "ฮอลลี โกไลท์ลี กำลังเดินทาง")   ประหนึ่งจิตวิญญาณอิสระจะเป็นแก่นแท้ของตัวหญิงสาว กระนั้นเธอกลับแนะนำเฟรด (นักเขียนนิยายไส้แห้ง) ว่าเลิกเขียนอะไรตามใจชอบเสียที ซ้ำยังพยายามชักชวนเขาเข้าไปในวงการภาพยนตร์ที่ตัวเธอหนีออกมา

 

                ความรักอิสระของฮอลลีถูกขับให้ชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับตัวละครตัวอื่น เช่น เฟรด ผู้ใฝ่ฝันอยากได้กรงนก แม้เขาจะไม่ได้เลี้ยงนกเลย   ฮอลลีกล่าวถึงอดีตของตัวเองว่า "อย่ารักนกป่าเป็นอันขาด…ถ้าคุณเผลอใจไปรักนกป่า คุณจะลงเอยต้องเอาแต่จ้องมองท้องฟ้า"   กระนั้น ในประโยคถัดมา ฮอลลีพลิกตรรกะของตัวเองด้วยบทพูดอันแสนเฉือดเฉือน "แต่ยืนมองท้องฟ้า ก็ยังดีกว่าต้องขึ้นไปอยู่บนนั้น   ข้างบนนั้นว่างเปล่า เลื่อนลอย เป็นดินแดนที่มีแต่ฟ้าแลบแปลบปลาบ ดินแดนที่ทุกสิ่งมลายหายไป"

 

                ฮอลลีเหมือนกล้องสลับสี ทุกครั้งที่จับเธอขึ้นเขย่าและส่องดู เราจะเห็นภาพที่แตกต่างกันไปเรื่อยๆ   แต่ที่พิสดารยิ่งกว่าคือ ลวดลายเลื่อมสลับแพรวพราวนั้นกลับสะท้อนตัวตนของเราออกมาได้ชะงัดนัก

 

                ทั้งนี้เพราะฮอลลีคือสองภาวะสุดโต่งที่ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิงในตัวมนุษย์ยุคใหม่ ได้แก่ ความรักอิสระและวัตถุนิยม   เราต้องไม่ลืมว่า อิสรภาพไม่ใช่เพียงการออกไปธุดงค์ในป่าอย่างตัวเปล่าเล่าเปลือย   ความก้าวหน้าทางวัตถุเองก็นำไปสู่อิสรภาพด้วย   ยานพาหนะช่วยให้เราเดินทางไปไหนมาไหนรอบโลกในเวลาอันสั้น (ชีวิตของฮอลลีถูกคั่นด้วยการเดินทาง จากเทกซัส ไปแคลิฟอร์เนีย นิวยอร์ก อเมริกาใต้ และสุดท้ายคือแอฟริกา)   ความรู้ที่มาพร้อมกับโลกาภิวัฒน์ปลดปล่อยเราจากอวิชชา   วัตถุช่วยให้เรามีอิสรภาพ แต่ขณะเดียวกัน มันก็คือสมอที่ถ่วงเราไว้   ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ตั้งหน้าตั้งตาไขว่คว้าอิสรภาพ กลับพบว่าตัวเองไม่อาจมีอิสรภาพได้โดยปราศจากวัตถุ

 

                ความขัดแย้งตรงนี้คือสิ่งที่มนุษย์ยุคใหม่แทบทุกคนจะต้องเผชิญ และคือความท้าทายอย่างถึงที่สุด   ในตอนจบของนิยาย[4] ฮอลลี โกไลท์ลีต้องเผชิญกับคำถาม ทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในมือเราเป็นของเราจริงๆ ก่อนที่เราจะพลั้งเผลอปล่อยมันไป

 

                นั่นคือคำถามซึ่งคาโปตฝากทิ้งไว้ให้คนอ่าน พวกเราทุกคน

 

 

[1]        ฮอลลีเฉลยช่วงกลางภาพยนตร์ว่าหล่อนไม่ได้หลงใหลเพชรพลอย หรืออัญมณีหรอก แต่เป็นตัวสถานที่เองต่างหาก "มันช่างแลดูเงียบขรึม งามสง่า   ถ้าได้เข้าไปอยู่ในนั้น คงจะปลอดภัยจากเรื่องร้ายกาจทั้งปวง   ข้างในมีแต่ผู้ชายท่าทางใจดี แต่งตัวหรูหรา แถมยังมีกลิ่นหอมโชยมาจากเครื่องเงินและกระเป๋าหนังจระเข้ด้วย"   นี่เป็นคำตอบที่ชวนให้ฉงน มากกว่าจะเฉลย

 

[2]        ในฉบับภาพยนตร์ "ผม" มีชื่อจริงคือ "พอล วายัก" แต่ในฉบับนิยาย ชื่อเดียวที่เขามีคือ "เฟรด" ชื่อเล่นที่ฮอลลีตั้งให้

 

[3]        สมัยนั้น ฉากนู้ดในนิยายเรื่องนี้เป็นที่กล่าวขวัญถึงพอสมควร แน่นอนว่าในฉบับภาพยนตร์ไม่มีฉากดังกล่าว   กระนั้นก็ตาม ในละครเวทีปี 2009Breakfast at Tiffany's แอนนา ฟรีล ผู้แสดงเป็นฮอลลี โกไลทลีสร้างกระแสฮือฮาด้วยการเปลือยกายขึ้นเวที

 

[4]        ภาพยนตร์จบไม่เหมือนนิยาย   Breakfast at Tiffany's มีชื่อเสีย(ง)ในฐานะ เป็นครั้งแรกๆ ที่ฮอลลีวูดจงใจเปลี่ยนตอนจบของนิยายให้ออกมาสุขสันต์มากขึ้น และตอบสนองผู้ชมในวงกว้างได้มากกว่า — และในสายตาของนักวิจารณ์ "ทำลายต้นฉบับ"

 

 

โดย ภาณุ ตรัยเวช    http://www.onopen.com/loveyouallmass/11-09-06/5835