Bookstart อ่านหนังสือตั้งแต่แบเบาะ
ไม่เคยมีใครย้อนคิด ว่าจริงๆ แล้ว “หนังสือเล่มแรก” เข้ามาในชีวิตของเราตั้งแต่ยังไม่รู้หนังสือ จำความได้ คงเป็นพ่อแม่ ตา ยาย หรือใครสักคนพาเรานั่งตัก ชี้ภาพพลางอ่านนิทานอันน่าเพลิดเพลิน
เป็นการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ความคิดอ่าน นิสัยรักหนังสือขึ้นในตัวเด็ก ยิ่งทำเร็ว ทำบ่อยก็ยิ่งเสริมสร้างพัฒนาการ จากหลักคิดดังกล่าว โครงการ Bookstart จึงเกิดขึ้น นำโลกของหนังสือมาสู่เด็กตั้งแต่วัยทารก และส่งเสริมต่อเนื่องจนถึง 6 ขวบ ช่วงเวลาเดียวกับฉีดวัคซีนคุ้มกันร่างกาย
โครงการนี้เริ่มต้นขึ้นที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 2535 จากความร่วมมือของหลายฝ่าย นำมาสู่ยุทธการมอบถุง Bookstart ให้ครอบครัวที่พาลูกอายุ 6-9 เดือนไปตรวจสุขภาพที่อนามัยโดยไม่คิดมูลค่า เพื่อให้ทารกได้รับโอกาสและการสนับสนุนให้พัฒนาความรู้สึกรักหนังสือและการอ่านตลอดไป ในถุงนั้นหลัก ๆ ก็มีหนังสือเด็กที่ได้รับการคัดสรรแล้ว 2 เล่ม และหนังสือแนะนำพ่อแม่ด้วยภาพเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยหนังสือ นักวิจัยติดตามผลของโครงการไปจนเด็กอายุ 7 ขวบ และพบว่าเด็กๆ ที่ได้รับ Bookstart สามารถอ่าน เขียน และคิดคำนวณได้เก่งกว่าเพื่อนๆ เด็กประถมด้วยกันอย่างเด่นชัด
อันที่จริง เกือบไม่ต้องหางานวิจัยใดๆ มายืนยัน ด้วยจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้น–จากครั้งแรกมีสมาชิกเป็นเด็ก 300 คน เดี๋ยวนี้ยอดเพิ่มขึ้นเกือบ 7 แสนคน และมอบหนังสือไปแล้วกว่า 2.6 ล้านเล่ม ก็บ่งบอกคุณภาพอยู่ในตัวเอง
ต่อมาแนวคิดของโครงการ ถูกนำไปขยายผลในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้รับสนใจอย่างกว้างขวาง เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นเห็นความสำคัญเรื่องการอ่านอย่างมาก ทั้งยังมีองค์กรพัฒนาท้องถิ่นร่วมแรง
จากนั้นก็เกิดโครงการขึ้นที่เกาหลี ไต้หวัน โคลัมเบีย จนปัจจุบันนับได้ 20 ประเทศแล้วที่สนใจและส่งเสริมโครงการนี้ รวมถึงเมืองไทยของเราก็จัดทำโครงการหนังสือเล่มแรก Bookstart มาตั้งแต่พ.ศ.2547
การทดสอบสมรรถนะของเด็กในโครงการโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา พบว่าเด็กในโครงการมีการพัฒนาตามวัยดีกว่าเด็กทั่วไปในทุกด้าน การเลี้ยงลูกด้วยหนังสือมิได้หมายจะเร่งโมงยามให้เขาอ่านหนังสือออก สิ่งสำคัญสุด คือให้พ่อแม่ลูกมีความสุขกับหนังสือร่วมกัน
รูปภาพ :www.bookstart.org.uk