Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

Amy Sackville : ฉันบังเอิญเป็นนักเขียน

 

 
นักเขียนเจ้าของผลงานนวนิยายเรื่อง The Still Point ซึ่งเป็นผลงานเล่มแรกของ เอมี แซควิลล์ (Amy Sackville)
 
 
นักเขียนเจ้าของผลงานนวนิยายเรื่อง  The Still  Point  ซึ่งเป็นผลงานเล่มแรกของ  เอมี  แซควิลล์  (Amy Sackville)  เจ้าของ  John Llewellyn Rhys Prize 2010  
 
 
“ฉันเขียนหนังสือแบบเดี๋ยวเขียน เดี๋ยวไม่เขียน ทำงานไม่ปะติดปะต่อ ไม่ต่อเนื่อง  ฉันไม่เคยทำตัวเป็นนักเขียนแบบเป็นเรื่องเป็นราว  ฉันรู้ว่าการเป็นนักเขียนต้องใช้ความพยายาม”  นักเขียนเจ้าของรางวัลหมาดๆ กล่าวถึงวัตรการทำงานเขียนของตนเอง  หลังจากได้รับเงินรางวัล  5,000  ปอนด์  กับผลงานนวนิยายเล่มแรกที่เขียนออกมา  เธอแสดงความรู้สึกออกมาต่อรางวัลและการทำงาน  ซึ่งไม่ใช่ความรู้สึกในแบบของผู้มีชัย  และยังแปลกใจที่ตนเองได้รับรางวัลโดยไม่คาดคิดมาก่อน
 
“ฉันคิดว่าถ้าเกิดฉันทำงานในแวดวงวรรณกรรม ในฐานะบรรณาธิการในสำนักพิมพ์สักแห่ง  ฉันคงไม่ได้รางวัลนี้หรอกค่ะ  เพราะฉันคงสนุกกับการทำงานนั้น  แต่ฉันก็ไม่ได้ทำงานนั้น”
 
 
เอมีเกิดเมื่อปี  1981  ที่เมืองเดอร์แฮม  และครอบครัวย้ายไปอยู่ตามที่ต่างๆ ในอังกฤษไปเรื่อย  ทำให้สำเนียงอังกฤษของเธอค่อนไปทางภาคอีสานของดินแดนผู้ดี  เธอศึกษาด้านภาษาอังกฤษและการละครที่ลีดส์  และมาศึกษาต่อด้านภาษาอังกฤษต่อที่ออกซฟอร์ด  เคยทำงานเป็นผู้ช่วยส่วนตัวเป็นเวลาสองปี  จากนั้นเป็นบรรณาธิการให้กับสำนักพิมพ์ซึ่งทำพิมพ์หนังสือภาพ  การทำงานที่นี่นายจ้างพยายามให้เธอทำอย่างอื่นไปด้วย  และสิ่งที่ต้องทำนั้นได้กลายมาเป็นการเขียนนวนิยาย  
 
 
ความรักหนังสือและรักภาษา เป็นแรงบันดาลใจให้อยากเขียนหนังสือ  การได้เป็นส่วนหนึ่งในคณะทำหนังสือที่สำนักพิมพ์แห่งนั้น ทำให้ได้เรียนรู้ว่าหนังสือสักเล่มต้องการอะไรบ้าง  เธอตัดสินใจพยายามเขียนหนังสือของตนเอง  และเพื่อให้การเขียนมีประสิทธิภาพ  จึงตัดสินใจไปเรียนการเขียนที่โกลด์สมิธในลอนดอน  “ฉันคิดว่าเป็นการเริ่มต้นที่ไร้ความหวัง  ฉันพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า ยังไม่ดีขึ้น  พยายามทำหลากหลายวิถี  แต่ก็ไม่ได้ดั่งใจตนเอง”  
 
 
การอยากเป็นนักเขียนและเขียนออกมาให้ดี  คือสิ่งที่อยากทำให้บรรลุผลสำเร็จ  และการเข้าสู่เวทีงานเขียนได้เริ่มขึ้นเมื่อปี  2008  แต่ผลงานที่ส่งเข้าประกวดไม่ประสบความสำเร็จ  เอมีเป็นนักเขียนที่ขยันและชอบการแข่งขัน  หลังจากล้มเหลวในครั้งนั้น  เธอจึงเริ่มเขียนงานแบบสั้นๆ  ไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งกลายมาเป็นนวนิยายเล่มที่ได้รับรางวัล  โดยมีตัวละครสำคัญสองตัวเป็นคนเล่าเรื่อง    
 
 
กว่าจะมาลงเอยด้วยการเอาจริงเอาจังกับงานเขียน  เอมีลงทุนทิ้งงานประจำ  เพื่อมาเขียนหนังสือให้เป็นเรื่องเป็นราว  เธอมุทะลุราวกับบ้าไปแล้ว  “ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้  ถ้าฉันไม่ทุ่มเท  สองปีที่ลงแรงไปเรียน  ไปศึกษามาก็สูญเปล่า ฉันไม่ยอมขาดทุนกับเวลาที่จ่ายไปแน่นอน”  ในที่สุด  เธอก็สร้างตัวละครขึ้นมาได้  เขียนนวนิยายเล่มนี้ออกมาจนสำเร็จและได้รับรางวัล
 
 
The Still Point  เป็นเรื่องของเจ้าสาววัยเยาว์  ผู้มีจิตใจมุ่งมั่นแรงกล้า  เธอถูกทอดทิ้งหลังจากที่สามีหายตัวไประหว่างพยายามขึ้นไปยังขั้วโลกเหนือในช่วงที่กำลังก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่  20  เป็นเวลากว่า 60 ปีที่ผู้หญิงคนนี้เก็บความทรงจำและเสียสละรอคอยการกลับมาของสามี  เพียงเพื่อในที่สุดแล้ว  เธอได้พบแต่ซากศพของเขาที่แข็งอยู่ในมหาสมุทรอาร์คติก  นวนิยายเรื่องนี้เป็นการเล่าเรื่องของผู้หญิงสองรุ่น  ระหว่างยายชื่อเอมิลีและเหลนสาวชื่อจูเลีย  เหลนได้อ่านสมุดบันทึกของยายที่สูญเสียสามี  ที่เดินทางไปยังขั้วโลกเหนือ  และทำให้ค้นพบเรื่องราวมากมายจากการเดินทางของตา  รวมถึงความลับของครอบครัวที่ทำให้เหลนได้คิดทบทวนชีวิตของตนไปด้วย
 
 
แรกทีเดียวเอมีไม่เคยอยากเขียนนวนิยายประวัติศาสตร์  แต่เมื่อได้เขียนไปแล้ว  ก็ไม่ได้เป็นกังวลว่าเรื่องต้องตรงตามประวัติศาสตร์เป๊ะทุกอย่าง  สิ่งสำคัญสำหรับผู้เขียน  คือการพาผู้อ่านติดตามเรื่องราวไปตลอดเรื่องและทำให้ผู้อ่านเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น  นวนิยายเรื่องนี้ทำให้เห็น  ว่าผู้หญิงทั้งสองคนในเรื่องเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำอย่างไรบ้าง  ไม่ว่าตัวเอกทั้งสองคนจะมีทางเลือกหรือไม่มีก็ตาม แต่ชีวิตของพวกเธอก็ได้เกิดขึ้นแล้วในงานเขียนเรื่องนี้  
 
 
กรรมการที่ตัดสินรางวัลต่างชื่นชมกลวิธีการเขียน การร้อยเรื่อง การประพันธ์ของเธอ  ว่าเต็มไปด้วยจินตนาการ  เล่าเรื่องที่คาดไม่ถึงออกมาอย่างได้อรรถรส  และการใช้ภาษาที่ทำให้พวกเราต้องถอนหายใจ  คู่ควรแก่รางวัลนี้อย่างยิ่ง  เธอประสบความสำเร็จกับงานเขียนชิ้นนี้  ดำเนินเรื่องไปในทิศทางที่ได้วางเอาไว้  มีมุมมองที่ไร้ขีดจำกัด  สิ่งนี้จึงพิสูจน์ให้เห็น  ว่าเธอคว้ารางวัลในระดับนานาชาติมาแล้วหลายรางวัล  อาทิ  Canada’s Giller Prize  และ  America’s National Book Awards Fiction Prize  สำหรับเวที  John Llewellyn Rhys Prize 2010  เอมีคว่ำคู่แข่งในรอบสุดท้ายอย่าง  Kei Miller จากเรื่อง  A Light Song of Light,  Nadifa Mohamed  จากเรื่อง  Black Mamba Boy,  Daniel  Swift  จากเรื่อง  Bomber Country,  Susan Fletcher  จากเรื่อง  Corrag  และ  Cordelia  Fine  จากเรื่อง Delusions  of  Gender 
 
 
การทำงานเขียนของเอมี  ไม่ได้ยึดติดกับทฤษฎีใดเป็นกฎตายตัว  เธอศึกษาวรรณกรรมด้วยตนเอง และเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยเปิด  จึงทำให้มีเวลาที่จะได้เขียนนวนิยายเล่มที่สองได้อย่างเต็มที่  ในตอนเริ่มชีวิตของการเป็นนักเขียน  เอมียืดอกบอกกับใครต่อใคร  ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจเป็นนักเขียน  เหมือนตกกระไดพลอยโจน  
 
 
สำหรับตอนนี้เมื่อถูกถาม  ว่ารู้สึกเป็นนักเขียนนวนิยายหรือยัง?  เธอนิ่งสักครู่และยิ้ม  พร้อมกับตอบว่า  “อืมมม ก็น่าจะเป็นแล้วนะคะ”
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ