A Happy Death
ราสโคนิคอฟตัวเอกของนิยายเรื่อง Crime and Punishment เป็นฆาตกร ส่วนนิยายเล่มแรกของอัลแบร์กามูส์ A Happy Death ก็เป็นเรื่องของตัวเอกที่เป็นฆาตกรอีกเช่นกัน หนังสือสองเล่มนี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร กามูส์คือหนึ่งในนักเขียนอัตถิภาวนิยมซึ่งสืบทอดปรัชญานี้มาจากดอสโตเยฟสกี้และนิทเช่ ทำไมนิยายอัตถิภาวนิยมถึงต้องมีตัวเอกเป็นฆาตกรด้วย (The Stranger ผลงานชิ้นเอกของกามูส์ซึ่งเป็นหนังสือพี่น้องกับ A Happy Death ก็มีตัวเอกฆ่าคนตายอีกเช่นกัน) เพราะอัตถิภาวนิยมคือปรัชญาของปัจเจกซึ่งต้องการฉีกตัวเองจากแบบแผนปฏิบัติไม่ว่าแบบแผนปฏิบัตินั้นจะอยู่ในรูปแบบของวิถีประชาหรือศีลธรรม และคงไม่มีการกระทำใดอีกแล้วที่ทลายกำแพงศีลธรรมได้อย่างชัดเจนเท่ากับการลิดรอนชีวิตผู้อื่น
ผมอยากชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างนิยามสองเล่มนี้ Crime and Punishment ถูกเขียนในปี1866 สมัยที่Thus Spoke Zarathustra ของนิทเช่เพิ่งถูกตีพิมพ์ อัตถิภาวนิยมยังเป็นปรัชญาทารก ราสโคนิคอฟของดอสโตเยฟสกี้ก่อคดีฆาตกรรมเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีของตัวเองและสุดท้ายรับผลกรรมจากการกระทำดังกล่าว(นักวิจารณ์หลายคน“ติ” ตอนจบของCrime and Punishment ว่าดอสโตเยฟสกี้ทำลายความเป็นปัจเจกของราสโคนิคอฟโดยให้เขากระโดดกลับเข้าไปหาอ้อมกอดของสังคม) กามูส์เขียนA Happy Death ในปี1936 เมื่อชาวยุโรปคุ้นเคยกับงานเขียนของนิทเช่และดอสโตเยฟสกี้เป็นอย่างดี เมื่ออัตถิภาวนิยมกลายเป็นส่วนหนึ่งของปรัชญากระแสหลัก เมอซัวต์ตัวเอกของA Happy Death ฆ่าคนตายเพื่อชิงทรัพย์และผลลัพท์แห่งการกระทำของเขาคือความสุขซึ่งเจ้าตัวปรารถนา
นิยายเล่มนี้แบ่งเป็นสองส่วนNatural Death และConscious Death ส่วนแรกเล่าชีวิตอันไร้สุขของแพทริกเมอซัวต์เสมียนรับจ้างทำงานตัวเป็นเกลียวมีรายได้พออยู่พอกินไม่แร้นแค้นยากจนแต่ก็ไม่มีความสุข อาจมีบ้างที่เมอซัวต์หึงหวงริษยาหรือปลาบปลื้มภาคภูมิในเหล่าแม่สาวซึ่งเขาควงไปไหนต่อไหนแต่"เขามิได้ถูกสร้างมาเพื่อให้รักใครเป็น" เมอซัวต์"ดั้งด้นตามหาความสุขซึ่งลึกๆเขาทราบดีว่าไม่มีวันตกถึงมือ" แต่ทุกสิ่งเปลี่ยนไปเมื่อมาธาร์ผู้หญิงคนล่าสุดของเขาแนะนำให้เมอซัวต์รู้จักกับซาเกรียสชายพิการผู้เป็นคนรักเก่าของเธอ ซาเกรียสสอนชายหนุ่มให้รู้ว่าคนเราจะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อมีเวลาและจะมีเวลาได้ก็ต่อเมื่อมีเงิน วันรุ่งขึ้นเมอซัวต์ไปหาซาเกรียสจ่อปืนยิงศีรษะชายพิการและขโมยเงินทองในตู้เซฟ
Conscious Death ว่าด้วยการค้นหาความสุข ขณะความสุขของราสโคนิคอฟคือได้ปลดเปลื้องความผิดซึ่งแบกไว้ในใจแทบไม่มีสักครั้งที่เมอซัวต์หวนระลึกบาปของตน ในโลกของเมอซัวต์(และกามูส์) ราวกับว่าการสังหารคนพิการเพื่อแย่งชิงทรัพย์ไม่นับว่าเป็นสิ่งผิดเสียด้วยซ้ำ เมอซัวต์ไม่ใช่คนน่าคบหาหรือพระเอกแสนดี(กระทั่งมาวซัวต์ในThe Stranger ยังถูกมองอย่างน่าเห็นใจได้ว่าเขาตกเป็นเหยื่อวิถีประชาและกระบวนการยุติธรรม) แต่คนอ่านกลับเกลียดชายหนุ่มไม่ลง อาจเพราะสิ่งที่เขาไขว่คว้าเจ้าตัวความสุขนั้นคือสิ่งเดียวกับที่อยู่ในใจเราทุกคนก็ได้
ทำไมมนุษย์ถึงรู้จักความสุขได้ยากเย็นนักเพราะในโลกนี้เต็มไปด้วยหลายสิ่งซึ่งใกล้เคียงกันอย่างน่าเศร้าและน่าสับสน ระหว่างความรักและความปรารถนา ระหว่างความสุขและความอิ่มเอม เมอซัวต์บอกกับเพื่อนว่า"มันผิดพลาดตั้งแต่เธอคิดจะเลือกแล้วละตั้งแต่เธอคิดจะทำตามใจตัวเองตั้งแต่เธอเชื่อว่ามีเงื่อนไขนำไปสู่ความสุข สิ่งเดียวที่สำคัญสิ่งเดียวเลยเท่านั้นคือความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะมีความสุข(will to happiness)" ประโยคนี้สะท้อนคำพูดของนิทเช่ สิ่งสำคัญไม่ใช่"อำนาจ" แต่เป็น"ปราถนาแห่งอำนาจ" (Der Wille zur Macht) เช่นเดียวกันที่Eric Fromm เคยพูดไว้ในThe Art of Loving ว่าสิ่งสำคัญไม่ใช่"ความรัก" แต่เป็น"ปรารถนาในความรัก"
ผมชอบการสร้างฉากของนิยายเล่มนี้แม้เต็มไปด้วยรายละเอียดแต่ไม่รู้สึกว่ากามูส์จงใจปรุงแต่งภาษาสวยๆเพียงเพื่อขับกล่อมผู้อ่าน สิ่งแวดล้อมคือกุญแจสำคัญในปรัชญาความสุขตามแบบฉบับกามูส์ หลังก่อคดีและหลบหนีไปอยู่ปรากเมอซัวต์ตระหนักว่าเขาไม่อาจใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขในเมืองแปลกถิ่นท่ามกลางใบหน้าและตึกรามบ้านช่องซึ่งเขาไม่คุ้นเคย เขาถูกหลอกหลอนด้วยกลิ่นแตงกวาดองจนตัดสินใจย้ายกลับไปอยู่ในเมืองที่เขาก่อคดีฆาตกรรม
ความสุขคือการรายล้อมตัวเองด้วยสิ่งซึ่งเราคุ้นเคยแต่ไม่แน่ว่าสิ่งซึ่งเราคุ้นเคยนั้นต้องรวมเพื่อนมนุษย์เข้าไปด้วย นักอัตถิภาวนิยมรู้ดีว่าการแขวนตัวเองไว้กับผู้คนรอบข้างย่อมนำมาซึ่งความทุกข์ ชีวิตของเมอซัวต์จึงตีกลับไปกลับมาระหว่างสันโดษและโหยหาเพื่อนผู้รู้ใจ เมอซัวต์สิ้นลมหายใจในอ้อมอกผู้หญิงซึ่งเขายอมแต่งงานด้วยเพียงเพราะรู้ว่านั่นคือความปรารถนาของหล่อน เมื่อถึงจุดหนึ่งในชีวิตเมอซัวต์เลิกยึดติดกับคำว่ารักไปแล้ว ความตายของเขาใช่"ความตายอันเปี่ยมสุข" ไหม
นั่นคือคำถามซึ่งกามูส์ฝากทิ้งไว้ให้คนอ่านพวกเราทุกคน
[1] http://en.wikipedia.org/wiki/Erich_Fromm จากThe Art of Loving (1956)
โดย ภาณุ ตรัยเวช http://www.onopen.com/loveyouallmass/08-12-09/4478