Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

40 ปี อาศรมวรรณศิลป์ ‘นักเขียนไทยกับปัญหาสังคม’

 

 
แม้ฟ้าฝนจะไม่เป็นใจนัก ในวันที่นักเขียนจากทั่วอีสานและพื้นที่ภาคอื่นบางส่วนในนามกลุ่ม "อาศรมวรรณศิลป์" ได้
 
 
แม้ฟ้าฝนจะไม่เป็นใจนัก ในวันที่นักเขียนจากทั่วอีสานและพื้นที่ภาคอื่นบางส่วนในนามกลุ่ม "อาศรมวรรณศิลป์" ได้
 
เดินทางมาเยือนเมืองน้ำดำกาฬสินธุ์ เมื่อสายวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับกลุ่มนักคิดนักเขียนกลุ่มนี้ เพราะความรัก ความคิดถึงกันและกันที่แต่ละคนห่างหายไปทำภารกิจของตนเอง ไม่บ่อยนักที่พวกเขาจะได้กลับมาพบปะพูดคุย และครั้งนี้ถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง ที่พวกเขาเลือกที่จะมาพบกัน ณ สวนสร้างสันติ์ดอนธรรม บ้านต้อน อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่มี โชฎึก คงสมของ คนใจดีญาติวรรณกรรมของหลายๆ กลุ่มก้อน ให้การต้อนรับ
 
 
บรรยากาศวันนั้นไม่ได้เคร่งเครียดอะไรมากนัก ทุกคนมากันแบบสบายๆ ท่ามกลางข่าวน้ำท่วมหนักหลายพื้นที่ ทำให้คืนวันที่ 19 ตุลาคม 2553 นั้น ยงค์ ยโสธร ผู้ประสานงานกลุ่ม ขับรถไปรับ วัฒน์ วรรลยางกูร ที่ออกจากลพบุรีตอนหัวค่ำ ทำให้ขบวนของเขามาถึงเมืองน้ำดำในช่วงดึกของคืนเดียวกันอย่างทุลักทุเล พร้อมๆ กับเพื่อนอีกบางส่วนเพราะเป็นห่วงการขับรถราของอีกหลายคน ที่อาจจะไม่คุ้นพื้นที่ ประกอบกับน้ำป่าไหลหลากท่วมถนนหนทางตั้งแต่ปากช่องจนถึงเมืองกาฬสินธุ์ แต่ทุกคนก็มารอดปลอดภัย โดยมีนักเขียนหนุ่มทั้งน้อยใหญ่จากเมืองอีสาน ทั้ง สุขุมพจน์ คำสุขุม แห่งเมืองมหาสารคามที่มานอนรออยู่แล้ว และยังมีนักเขียนหนุ่มอย่าง พิเชษฐ์ศักดิ์ โพธิ์พยัคฆ์ และแสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า จากเมืองเดียวกันมาดื่มกินรอเช่นกัน 
 
 
สายๆ วันนั้น ในขณะที่เมืองอื่นๆ ยังมีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง แต่เมืองกาฬสินธุ์มีเพียงสายฝนปรอยๆ ที่ตกลงมาพอเป็นกระสาย ทำให้บรรยากาศเย็นสบายไม่ต้องเข้าไปคุยกันในห้องแอร์ แม้ว่าสวนสร้างสันติ์ดอนธรรมของลุงโชฎึกนั้นจะมีห้องหับและเรือนชานเอาไว้ต้อนรับสมาชิกอย่างล้นเหลือ แต่ทุกคนพร้อมใจกันที่จะนั่งพูดคุยดื่มด่ำบรรยากาศที่ศาลาดื่มกินใต้ต้นลีลาวดีที่ออกดอกสีขาวและชมพูบานสะพรั่งรับแขก
 
ดร.อุดร จันทะวัน ในฐานะผู้ก่อตั้งกลุ่มอาศรมศิลป์และหัวขบวนการพูดคุยวันนี้มาถึงพร้อมภรรยาในเวลาก่อนเพลไม่นาน ตามมาด้วย สุมาลี สุวรรณกร ประธานสโมสรนักเขียนภาคอีสาน ที่ห้อรถมาพร้อมกับลูกสาว ตามติดด้วย สมคิด  หอมเนตร นักวิชาการอิสระ ที่มาพร้อมภรรยาและลูกสาว เช่นกัน รวมถึง เพชร ภูไท หรือ บุญแถว บุตรราช และอภิเชษฐ์ ทองน้อย ที่พ่วง สานิจ มาสขาว จากเมืองยโสธร ตามมาอีกด้วย รวมถึง อ.สมชาย พรหมโคตร จาก ม.ราชภัฏสกลนคร ที่อยากมาร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็น ปิดท้ายขบวนด้วย ศ.ดร.อรรถ นันทจักร จาก ม.มหาสารคาม ที่มาเอาเกือบเที่ยง แต่ก็ทันที่จะฟังความคิด ความเห็นจากเพื่อนมิตรวรรณกรรมทั้งในประเด็น  "มองวรรณกรรมไทยในรอบกึ่งศตวรรษ" และ "การเมืองติดหล่ม สังคมเสื่อมถอย ปัญญาชน นักคิด นักเขียน กวี ศิลปินทั้งหลาย จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขหาทางออกอย่างไร.."
 
สำหรับ กลุ่มอาศรมวรรณศิลป์ กลุ่มนี้ได้ก่อตั้งเมื่อปี 2512 ซึ่งในปีนั้นกลุ่มคนหนุ่มสาวและพระภิกษุ สามเณร ที่สนใจในการเขียนหนังสือจำนวนหนึ่ง ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก และกรุงเทพฯ ได้รวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มนักกลอนในนาม "อาศรมวรรณศิลป์" ขึ้น และได้เขียนกลอน เรื่องสั้น นวนิยายในนามของกลุ่มออกเผยแพร่ตามหน้าหนังสือพิมพ์ และออกอากาศทางสถานีวิทยุ ฯลฯ 
 
 
ถือเป็นปรากฏการณ์ทางวรรณกรรมเล็กๆ ตามสมัยนิยมในยุคนั้น แม้ต่อมากลุ่มจะสลายตัวลง กระจายกันไปตามวิถีของแต่ละคน แต่สมาชิกกลุ่มจำนวนหนึ่งก็ได้ผลิตผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง ตราบปัจจุบัน และยังติดต่อเชื่อมโยงกันอยู่ และการจัดพบปะกันในวันนี้ พวกเขาบอกว่าเพราะสังคมไทยทุกวันนี้กำลังเผชิญวิกฤติรอบด้าน ตั้งแต่การเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา ประหนึ่งว่ายังหาทางออกไม่ได้ 
 
 
วิกฤติที่สำคัญที่สุดคือวิกฤติทางความคิด หรือวิกฤติทางภูมิปัญญา ดังปรากฏว่ามีความขัดแย้งแบ่งสี เกิดความแตกแยกในวงการต่างๆ สะท้อนถึงทัศนะที่แตกต่างกันสุดขั้ว ทำให้กลุ่มอาศรมวรรณศิลป์ซึ่งเติบโตอยู่ในวงการต่างๆ อยากมีส่วนร่วมในการแก้ไขและหาทางออกร่วมกันกับคนไทยทุกคน
 
เปิดประเด็นเรื่อง "มองวรรณกรรมไทยในรอบกึ่งศตวรรษ" ของ วัฒน์ วรรลยางกูร นักเขียนรางวัลศรีบูรพา ที่บอกว่า ในวันนี้บทบาทของนักคิดนักเขียนกลับไปสู่ระบบอุปถัมภ์เหมือนเดิมแล้ว โดยในยุคแรกๆ นักเขียนต้องอาศัยวัดและวังเป็นกำแพงในการผลิตงานด้านวรรณศิลป์ และต้องอาศัยคนกลุ่มนี้คอยดูแลให้ หลังจากนั้นในยุคแสวงหา ยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง นักคิดนักเขียนได้หันมาพึ่งตนเอง ผลิตผลงานออกมาเอง โดยปฏิเสธระบบอุปถัมภ์ต่างๆ
 
แต่ทุกวันนี้บทบาทของนักเขียนที่มีอิทธิพลต่อสังคม ศิลปินทั้งหลายได้หันเข้ากลับไปสู่ระบบอุปถัมภ์เหมือนอย่างในอดีต แต่จะแตกต่างกันที่ระบบอุปถัมภ์ในตอนนี้คือรางวัลหรือไม่ก็ตำแหน่งต่างๆ ที่รัฐจัดหาให้ ที่จะมีเรื่องผลตอบแทนเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งจะเห็นได้จากผลงานวรรณกรรมในอดีต จะอยู่ในลักษณะของการสะท้อนสังคม ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรมเพื่อชีวิต การเรียกร้องประชาธิปไตยที่ถือว่าเป็นวรรณกรรมที่รับใช้สังคมโดยไม่มีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ทุกวันนี้นักเขียนหลายคนเขียนเพื่อรางวัล เขียนเพื่อให้ถูกใจกรรมการ ทำให้ผลงานที่ออกมาไม่ได้สะท้อนปัญหาสังคมมากนัก ไม่ได้รับใช้สังคมเท่าที่ควร
 
 "ถ้ามองสังคมโดยรวมจะพบว่าสิ่งที่สร้างให้สังคมแตกแยกคือความคิด จึงต้องแยกให้ออกระหว่างความรู้สึกที่แท้จริงกับการเกาะกระแสเพื่อประโยชน์" วัฒน์ บอกและวาทะของเขานี่เอง ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนอย่างกว้างขวาง จุดประกายให้เวทีอยากมีการพูดถึงเรื่องนี้ โดยเฉพาะ ศ.ดร.อรรถ  นันทจักร อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ ม.มหาสารคาม ที่บอกว่า การแก้ปัญหาสังคมในปัจจุบันนี้ทุกฝ่ายจำเป็นต้องมีส่วนร่วม ซึ่งไม่แตกต่างจากกลุ่มนักคิดนักเขียนโดยเฉพาะในกลุ่มอาศรมวรรณศิลป์ที่มีการก่อตั้งกลุ่มมานานกว่า 40 ปี สิ่งที่พบคือสังคมไทยไม่สามารถตอบโจทย์ของตนเองได้ วันนี้จึงต้องทำให้คนได้มีความคิดความเชื่อตามฐานความเป็นจริง เพราะการปล่อยให้คนได้คิดและตัดสินใจตามสิทธินั้นเป็นเรื่องล่อแหลมทั้งนี้ในส่วนของกลุ่มนักคิดนักเขียนก็จำเป็นต้องหาแนวทางวิธีการที่หลากหลายเพื่อให้สังคมได้บริโภคโดยไม่มีระบบของการครอบงำและให้คนที่บริโภคได้ตัดสินใจที่จะหาทางออกให้สังคมได้อย่างไรในอนาคต 
 
 
"ทำอย่างไร วันนี้เราอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ได้ เพราะมองจากประสบการณ์ เราจะทำอะไรได้ดี ต้องขึ้นอยู่กับหลายเรื่องดีๆ ต่อไปนี้นักเขียนอีสานควรจะมองข้ามไปถึงการก่อตั้งสหพันธ์นักเขียนอินโดจีน ข้ามแม่น้ำโขงไปสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านอื่นๆ จะเป็นเรื่องดีที่สุด นักเขียนเราถึงวันหนึ่งเราจะต้องยกระดับ กระบวนการ ความรับรู้ หากสังคมพลาด นักเขียนก็ต้องพลาด วันนี้สิ่งที่ห่วงคือนักเขียนไม่มีพื้นที่ทางสังคม ทำให้เราเหี่ยวแห้ง เราต้องมาบริหารจัดการระบบคิดตรงนี้ และวันนี้เราอยากจะปูพื้นที่เอาไว้ให้กับเยาวชนของเรา วันก่อนไปบ้านนาบัว ได้มีโอกาสพบกับสหายตั้ง สิ่งหนึ่งที่สหายตั้งได้พูดกับผมคือ พืชพันธุ์ดอกไม้สีแดงที่หว่านในสังคมไทยได้งอกงามหมดแล้ว และได้ส่งต่อให้คนรุ่นหลังในสังคมแล้วเช่นกัน และต่อไปนี้นักเขียนอย่าติดหล่มทางความคิดก็พอ"
 
 
ศ.ดร.อรรถ กล่าวเอาไว้ ในการแลกเปลี่ยนวาทะกันของวันนั้น และทำให้อีกหลายๆ คนลุกขึ้นมาแสดงความคิดเห็นและร่วมหาทางออกด้วยกันอย่างคึกคัก เช่นกันกับ สุขุมพจน์ คำสุขุม ที่บอกว่า จิตวิญญาณของการเป็นนักคิดนักเขียน ถ้าเห็นใครถูกกระทำแล้วนิ่งเฉย ถือว่าไม่ได้เป็นนักคิดนักเขียน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้นักคิด หนักเขียนหลายคนเห็นด้วย และพวกเขาเหล่านั้นล้วนแสดงความรู้สึกออกมาหลังเหตุการณ์วิกฤติบ้านเมืองที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน 
 
 
วันนั้นกว่าจะเลิกราก็ปาเข้าไปอีกรุ่งเช้าของอีกวัน หลายคนวิพากษ์วิจารณ์และถกแสดงความคิดเห็นอย่างออกรสออกชาติ และมีบทสรุปทิ้งท้าย เพื่อหวังให้ประเทศชาติ และสังคมมีทางออก ไม่เดินไปสู่ถนนที่ตีบตันเกินการแก้ไข และพวกเขาสัญญากันว่าหากบ้านเมืองเกิดวิกฤติปัญหาอีก พวกเขาก็พร้อมจะเดินทางมาพบกัน เพื่อสื่อสารและแสดงความคิดเห็นอีกครั้ง เฉกเช่นวันนี้
 
ด้วยหวังว่าความคิดเห็นเล็กๆ ของพวกเขา จะมีส่วนในการหมุนกงล้อขับเคลื่อนการบริหารจัดการประเทศชาติให้เป็นไปในรูปแบบที่ถูกต้องและเป็นธรรม
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ