Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

30 ปี ชีวิตและงาน ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ คนหนังสือพิมพ์รุ่นที่กำลังจะสูญพันธุ์ !?

 

 
          ช่วงยุคปี พ.ศ.๒๕๒๐-๒๕๒๗ เอ่ยชื่อของชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ คนหนุ่มสาวต่างคุ้นเคยกันดี ในฐานะนักหนังสือพิมพ์และบรรณาธิการ “อาทิตย์” นิตยสารวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจการเมือง ที่จัดว่าทรงอิทธิพลทางความคิดต่อผู้คนในสังคมยุคนั้นมากที่สุดฉบับหนึ่ง
 
          ทศวรรษถัดมา วงวรรณกรรมไทยจารึกชื่อของเขาในฐานะนักคิด นักเขียน ผู้มีผลงานโดดเด่นจนเป็นที่ยอมรับว่า เขาคือหนึ่งในนักเขียนไทยไม่กี่คน ที่สามารถเขียนงานได้รวดเร็วและหลากสไตล์ โดยเฉพาะผลงาน “เรื่องสั้น” ที่เคยได้รับการยกย่องให้เป็นมือหนึ่งแห่งยุคนั้น
 
          พ.ศ. ๒๕๔๗ สามทศวรรษแห่งอาชีพนักหนังสือพิมพ์ นักคิด นักเขียนของเขา ชัชรินทร์ยังคงทำงานคิดและเขียนอยู่เรื่อยๆ ไม่หวือหวา แต่ทว่าไม่มีผลงานใดของเขาจะไม่สะท้อนสะเทือนสภาพความเป็นไปของสังคมขณะนั้น
 
          ๓๐ ปี แห่งชีวิตและงานของชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ จึงเป็น ๓๐ ปีที่น่าสนใจไม่น้อย ในห้วงยามที่ปัจจุบันนี้ คำว่า “จริยธรรม” โดยเฉพาะในวิชาชีพสื่อมวลชนนั้นกำลังเป็นที่กังขาของคนในสังคม
 
          “ผมพร้อมจะเป็นไดโนเสาร์ที่ตายในยุคของการสูญพันธุ์ ดีกว่าจะเป็นไดโนเสาร์ที่รอดชีวิตเพราะวิวัฒนาการกลายมาเป็นเหี้ย…” วิวาทะสะเทือนวงการสื่อของชัชรินทร์เมื่อหลายปีก่อน ยังคงเป็นที่จดจำของหลายคนจนบัดนี้ ด้วยประทับใจในความกล้าที่จะ “ชน” กับความอยุติธรรมทุกรูปแบบของผู้ชายคนนี้
 
          สาเหตุของวาทะนี้เกิดจากการตอบโต้คนในแวดวงสื่อด้วยกัน ที่เปรียบเปรยแนวคิดในการทำงานของชัชรินทร์ที่เชื่อใน “มโนธรรม” ว่าเป็นแนวคิดที่ตกยุคและล้าสมัย ไม่ต่างอะไรจากสัตว์โลกล้านปี แต่ถึงบัดนี้ตะกอนในตัวชัชรินทร์ที่ถูกกวนจนขุ่น ค่อยๆ สงบนิ่งจนอาจจะเรียกว่า “ตกผลึก” แล้วก็ว่าได้ เพราะชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ที่เห็นในวันนี้ ดู “นิ่ง” แต่เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่เขาสะสมจากการทำงานนับกว่า ๓๐ ปี
 
          “ตอนนี้เราเป็นคนวงนอกแล้ว เป็นเพียงคนสังเกตการณ์เท่านั้น…” ชัชรินทร์เอ่ยปากถึงสถานภาพของตนเอง ที่ผันจากอาชีพนักหนังสือพิมพ์มาเป็นคอลัมนิสต์ นักคิด นักเขียนอิสระอยู่ในปัจจุบัน
 
          ชัชรินทร์เกิดที่เพชรบุรี แต่ไปเติบโตที่ตรัง เขาฉายแววการเป็นนักเขียนตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยม ด้วยผลงานเรื่องสั้นที่ถูกตีพิมพ์ในนิตยสาร “ชาวกรุง” ต่อมาเขามีโอกาสได้ติดตามเพื่อนบ้านรุ่นพี่ที่เป็นนักข่าว อยู่หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ออกไปทำข่าว ไม่นานชัชรินทร์ก็ได้ทำงานข่าวและเขียนสารคดีลงใน “สยามรัฐ” ตั้งแต่ยังไม่จบชั้น ม.ศ.๕ และเป็นนักข่าวอาชีพที่มีโอกาสได้เข้าไปสัมภาษณ์บุคคลระดับรัฐมนตรี ด้วยวัยเพียง ๑๗ ปีเท่านั้น
          แต่ชีวิตนักข่าวของชัชรินทร์ต้องมาถึงจุดหักเห เมื่อเขาต้องติดคุกถึง ๒ ครั้ง ครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๕๑๗ เมื่อเขาเขียนบทความที่ชื่อ “ตุลาการ องค์กรอิสระที่ไร้เดียงสา” ทำให้เขาถูกจำคุก ๑ เดือนในข้อหาหมิ่นศาล และต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๒๗ ที่เขาต้องติดคุกในฐานะนักโทษทางการเมือง
 
          ช่วงที่ต้องโทษอยู่นั้น ชัชรินทร์มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับนักโทษการเมืองหลายคน แนวคิดต่อๆ มาในการทำงานคิดงานเขียนของเขา จึงน่าจะได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ชีวิตในช่วงนี้ไม่มากก็น้อย
 
          จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อชัชรินทร์เล่าว่าบทสนทนาของนักโทษการเมืองในคุก มักจะมีประเด็นความเป็นไปของชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ
 
          “คือเรื่องบ้านเมืองกับเรา หรือกับชีวิตการทำข่าว มันก็อยู่กับเรามาโดยตลอด แม้กระทั่งนั่งกินนั่งคุยกับใคร มันก็คุยกันแต่เรื่องนี้ ทุกวันนี้ก็ยังคุยอยู่ บ้านเมืองเป็นยังไง ทิศทางสังคมเป็นยังไง ทิศทางโลกเป็นยังไง นี้มันเป็นเหมือนกับบทสนทนาของสมาชิกกลุ่มนี้ คุยกันจนแทบไม่ได้คุยเรื่องอื่น”
 
          ชัชรินทร์ผ่านงานหนังสือพิมพ์มาหลากหลาย ทั้งอภิวัฒน์รายสัปดาห์ ประชาชนรายเดือน ประชาชาติรายวัน ตะวันออกปริทัศน์ อาทิตย์รายวัน มาตุภูมิรายวัน ฯลฯ เขาเป็นบรรณาธิการนิตยสารการเมืองที่อายุน้อยที่สุดด้วยวัยเพียง ๒๐ ปี และเป็นผู้ก่อตั้งนิตยสาร “อาทิตย์รายสัปดาห์” ซึ่งเป็นนิตยสารการเมืองที่อายุยาวนานถึง ๒๑ ปี
 
          แต่ถึงวันนี้และในอนาคต ชัชรินทร์กลับเลือกจะไม่ทำนิตยสารอย่าง “อาทิตย์” อีก ด้วยเหตุผลว่า
 
          “คนรุ่นเรากำลังจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ไม่เหมาะที่จะต้องออก เพราะคนรุ่นเรามันไม่เหลืออยู่แล้ว” ไม่เพียงแต่หมายถึงคนอ่านเท่านั้น แต่เขายังหมายถึงกลุ่มคนที่จะมาร่วมทำหนังสือด้วย
 
          ถึงแม้ชัชรินทร์จะเคยให้สัมภาษณ์ว่า ไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของนักข่าวรุ่นใหม่ แต่เขาก็ยอมรับว่านักหนังสือพิมพ์ในยุคก่อนนั้น แตกต่างจากนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ในยุคปัจจุบันที่ขาดภาพรวมในการนำเสนอข่าว ขาดการเชื่อมโยง และขาดทักษะการใช้ภาษา เช่นนักหนังสือพิมพ์สมัยก่อนที่เขียนได้ทั้งกวีและเรื่องสั้น ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ในการนำเสนอข่าวได้
 
          “คือถ้าเรามีความเข้าใจระบบการเมืองทั้งระบบ เมื่อเวลาเราเขียนเรื่องพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง เราจะเขียนได้แม่นกว่าไม่เข้าใจ เดี๋ยวนี้มันโดนย่อยแยกไปหมด สายข่าวการเมือง สายเศรษฐกิจ หุ้น การตลาด น่าเสียดาย เพราะที่จริงสาขาแต่ละอันมันอยู่ภายใต้ระบบการเมืองเศรษฐกิจชนิดหนึ่งที่มันครอบงำอยู่ ถ้าเราเข้าใจตัวระบบนี้เราจะแม่นกว่าในการวิเคราะห์แต่ละจุด หรือเชื่อมโยงมาได้”
 
          อย่างไรก็ดี ชัชรินทร์ไม่รู้สึกเห็นด้วยเท่าไรกับการเปรียบเทียบคนยุคก่อนกับยุคนี้ว่า คนรุ่นใหม่แย่ ไม่เหมือนคนรุ่นเก่า เพราะต่างก็มีสภาพเงื่อนไขต่างกัน
 
          “โทษเด็กนักข่าวรุ่นใหม่ไม่ได้ เพราะทุกคนก็โตมากับสภาพเดียวกัน มันต้องระบบทั้งหมดเลย มีทั้งระบบครอบครัว ระบบการศึกษา และระบบโลก จะไปโทษเด็กไม่ถูก แต่ในขณะเดียวกันมันก็น่าจะปลุกเร้าให้เด็กกล้าที่จะสู้กับระบบ ที่เราเขียนว่าเขา ก็คือต้องการจะกระตุ้นเขา เราไม่คิดจะด่าเขา กระตุ้นเขาว่ามันต้องสู้หน่อยสิ อย่างของเรายุคก่อนเราก็พยายามสู้ เราก็พยายามจะยั่วให้เขาสู้กับระบบ เพราะการสู้กับระบบเราว่ามันได้ เขาจะดี คือระบบมันทำให้เราเป็นอย่างนี้ ระบบสังคมไทย ระบบโลกมันทำให้เราแยกย่อยออกจากกัน ให้สัมพันธ์กันในเชิงที่ขาดจิตใจ รุนแรงเสมอๆ เด็กแต่ละคนก็จะงงกับการเกิดมา ว่าเราเป็นใครเบลอๆ มึนๆ ระบบโลกยุคก่อนไม่เล่นงานมนุษย์เท่ากับยุคนี้ ระบบของสื่อมวลชนยุคก่อนก็ต้องการทางด้านจิตใจ ไม่ใช่วัตถุเท่ากับยุคนี้ ก็อย่างที่บอก ไม่ควรโทษเด็ก แต่เด็กน่าสู้ เด็กน่าจะมีลูกบ้า เราอยากเห็น ซึ่งตอนนี้ก็พอมีบ้าง…”
 
          หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นเพราะการที่เขาไม่เคยผ่านการศึกษาในระบบมหาวิทยาลัยนี่เอง จึงทำให้ชัชรินทร์มีแนวคิดหรือมุมมองในการทำงาน ต่างไปจากบัณฑิตทางด้านนิเทศศาสตร์หรือทั่วไป ดังนั้นเมื่อให้เขามองระบบการศึกษาทางด้านสื่อสารมวลชนในมหาวิทยาลัยทุกวันนี้ ชัชรินทร์จึงมีมุมมองที่น่าสนใจไม่น้อย
 
          “เพียงทฤษฎีมันจะทำให้คนไปสู้กับสภาพสังคมได้ยังไง ทฤษฎีมันก็ดี แต่ชั้นเรียนชั้นหนึ่งมันจะเนรมิตคนให้เข้มแข็ง แข็งแกร่งแล้วหลุดออกไปจากระบบได้ยังไง มันยาก แม้กระทั่งตัวเขาเองก็โดนระบบครอบ มหาวิทยาลัยก็โดนระบบครอบ เราก็คิดว่าเขาก็คงทำดีที่สุดแล้ว อาชีพนักข่าวไม่มีความจำเป็นมากนักในเรื่องของทฤษฎี แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘จิตใจ’ ซึ่งมันไม่มีโรงเรียนสอน ต้องสอนตัวเอง”
 
          ส่วนความเป็นกลางของนักข่าวที่พร่ำสอนกันนั้น ชัชรินทร์เชื่อมั่นว่า ณ จุดๆ หนึ่ง ศีลธรรม มโนธรรมในจิตใจจะเป็นตัวเลือกข้างให้นักข่าวเอง จึงไม่ต้องถามถึงความเป็นกลาง
 
          “ในโลกนี้มันไม่มีความเป็นกลาง มันมีความดี ความชั่ว มีความเป็นธรรม ความหมายของเราก็คือว่า เวลาเราเติบโตมานี่ส่วนใหญ่เราจะรู้สึกเห็นใจผู้ที่อ่อนแอกว่า นั่นล่ะตัวนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แล้วการที่เราเอาคำว่าความเป็นกลางมาทำให้ไม่รู้สึกเห็นใจผู้ที่เสียเปรียบ เรารู้สึกว่าไม่ค่อยถูก บางทีเขาใช้คำว่า “โปรเฟสชันนอล” เขาทำตัวเหมือนกับนักฟุตบอล ที่โดนซื้อตัวไปอยู่สโมสรนั้นสโมสรนี้ แต่งานข่าวไม่ใช่งานฟุตบอล มันจะต้องใช้ความคิด มันจะต้องใช้ปัญญามากทีเดียว มันจะต้องใช้ความรู้เยอะด้วย การค้นคว้าด้วย นักฟุตบอลนี่พอเขาจบแล้วก็จบเลย พอกล้ามเนื้อเขาทำอะไรไม่ได้เขาก็จบ แต่นักข่าวนี่มีกระบวนการทางความคิดสืบเนื่องต่อไปหลายยุคหลายสมัย เพราะฉะนั้นมันไม่เหมือนกัน ยิ่งถ้าเราทำข่าวนานๆ แล้วยิ่งเราเกิดความรู้สึกยิ่งดี ยิ่งรักคนอื่น นั่นล่ะพี่ว่าถูก ถือว่าประสบความสำเร็จในความเป็นมนุษย์ แต่ถ้าเมื่อไรเราหาข่าวไปแล้วเราชาชิน เราเป็นเครื่องจักรข่าว เราก็เป็นแบบนี้…” ชัชรินทร์ว่าพลางเคาะเครื่องอัดเทปที่กำลังหมุนไปเรื่อยๆ
 
          เมื่อถามถึงประสบการณ์ในการทำข่าวในชีวิตการทำงานกว่า ๓๐ ปีที่เขาประทับใจที่สุด ชัชรินทร์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า
 
          “ข่าวนี่มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่ว่าไปเจอปั๊บแล้วมันจะประทับใจ มันจะมีลักษณะของการตกผลึก บางทีก็จะไปเจอข่าวที่มันคล้ายๆ กัน แล้วก็จะซ้ำๆ ความประทับใจชีวิตของการเป็นนักข่าว มันจะเป็นความประทับใจในเชิงที่มันตกผลึก มากกว่าที่จะไปเจอเหตุการณ์แล้วมันสนุก เหมือนกับทหารที่ไปรบ มันจะสนุกตอนแรกๆ แล้วตอนหลังมันก็จะเกิดความรู้สึกบางอย่าง…มีความขัดแย้งกับตัวเองเวลาทำงาน ทหารทีแรกเข้าไปสนามรบก็รู้สึกคึกคะนอง แต่พอนานไปก็รู้สึกเกลียดสงคราม แต่นานไปมันก็จะเกิดความรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่”
 
          ในช่วงต้นของการเป็นนักข่าวของเขานั้น หนังสือพิมพ์ต้องต่อสู้กับอำนาจเผด็จการมาก แต่ทุกวันนี้ชัช รินทร์มองว่าเรากำลังต่อสู้อยู่กับอำนาจที่มองไม่เห็น
 
          “เราต่อสู้กับตัวเราเอง คือโซ่ตรวนที่มันผูกหนังสือพิมพ์ยุคนี้มันไม่ใช่กฎหมาย มันไม่ใช่ ปร.๔๒ หรือแม้กระทั่งอำนาจรัฐก็ตาม แต่มันอยู่ที่ความอ่อนแอในจิตใจของนักหนังสือพิมพ์เอง ที่มีความรู้สึก “ยอม”กับสิ่งเร้า คือโซ่ตรวนที่มันผูกมันเป็นโซ่ทองคำ เป็นเงินทอง เป็นเหมือนโซ่เงินโซ่ทอง หรือพูดง่ายๆ ก็คือทุนนิยมนั่นล่ะ เป็นตัวที่จะมาผูกเรา ด้วยความรู้สึกที่เราอยากจะมั่นคงในชีวิต อยากจะมีรถ มีบ้าน เลี้ยงดูลูก แล้วก็รวย ตัวนี้ก็เป็นตัวที่เราจะผูกพัน เราก็ต้องต่อสู้กับตัวเองสู้กับจิตใจ เพราะว่ามันเป็นโซ่ตรวนทางจิตใจ ความเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่จริงแล้วในแบบฉบับ คือต้องมีเสรีภาพ โดยเฉพาะเสรีภาพทางจิตใจ ถ้าเราเกิดไม่มีมันก็เสร็จไป บางทีไม่มีคนมาเล่นงานนักข่าว แต่นักข่าวเล่นงานตัวเอง เขาอยากจะประสบความสำเร็จทางด้านวัตถุ มากกว่าจะประสบความสำเร็จทางด้านจิตใจ หรือความรู้”
 
          “มันมีอะไรเยอะแยะในวงการข่าวปัจจุบันที่น่าเหนื่อยใจ ในฐานะที่เป็นคนเฝ้ามอง เรามันไม่มีอาชีพนี้แล้ว แต่มีความรู้สึกว่ามันดาวน์ลง แต่ไม่ใช่เฉพาะวงการข่าวเท่านั้นนะ มันเป็นทุกวงการ เป็นไปตามสภาพสังคม รู้สึกว่าสะท้อนใจไม่น้อย แต่ว่าในยุคที่สังคมไทยยังเปิดนี่ นักข่าวสามารถทำอะไรได้เยอะมหาศาล น่าเสียดาย…”
 
          “ปัจจุบันก็ค่อนข้างเปิด แต่ว่ารุ่นเก่าทุนนิยมมันอาจจะไม่เข้ามาเต็มที่ เสรีภาพ วิญญาณ ความรู้สึกในจิตใจมันสูงในสังคม แต่ว่าในยุคนี้เราต้องยอมรับว่าเป็นยุคอาชีพล่ะ ที่ทุนนิยมมันได้เป็นตัวล่ามโซ่ ตัวครอบงำต่างๆ เยอะ แต่ก็ยังมีความหวังว่าสักวันหนึ่งเมื่อมันไปถึงจุดที่เรียกว่าความตึงเครียดของยุคสมัยขึ้นมา มันก็จะเกิดสิ่งที่ดีๆ ทั้งนักข่าวที่ดี ครูที่ดี ทหารที่ดี ตามมา เราก็ได้แต่รอวันนั้น”

ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน