30 ปีซีไรต์…ทบทวนเพื่อก้าวต่อไป

คุณชมัยภร แสงกระจ่าง : เราขอแนะนำตัวนะคะ ดิฉัน นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย รศ.ดร.ตรีศิลป์ บุญขจร นายกสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย และขออนุญาตเชิญคุณอดุล จันทรศักดิ์ ซึ่งโดยตำแหน่งหน้าที่ท่านเป็นนักกฎหมาย เป็นผู้พิพากษา เลยเชิญท่านมานั่งตรงกลางเพื่อเป็นผู้ควบคุมการพูดคุยกันในวันนี้ค่ะ
รศ.ดร.ตรีศิลป์ บุญขจร : ท่านอดุลนี่ไม่ได้เป็นเฉพาะผู้พิพากษานะคะแต่ยังเป็นกวีรุ่นเดียวกับท่านเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ด้วย ขอต้อนรับทุกท่านและขอต้อนรับเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่มาจากภาคใต้แดนไกลทุกท่านเลยนะคะ เราจะได้มาคุยกันฉันพี่น้องเพื่อสร้างสรรค์วงการวรรณกรรมให้ดีต่อไป
คุณชมัยภร แสงกระจ่าง : เราจะเริ่มที่ประเด็นของกรรมการนะคะ คณะกรรมการจะแบ่งเป็น 2 คณะนะคะ คือ คณะกรรมการคัดเลือกจำนวน 7 คน เป็นผู้แทน 2 สมาคม สมาคมละ 2 คน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิอีก 3 คนและเวลาเลือกจะให้ 2 สมาคมไปเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิร่วมกัน ส่วนคณะกรรมการตัดสินมีจำนวน 7 คน ที่เป็นหลักอยู่แล้วคือ นายกสมาคมทั้ง 2 คน และกวีผู้ทรงเกียรติ 1 คนและมีผู้ทรงคุณวุฒิทางวรรณกรรมอีก 3 คน ส่วนประธานคัดเลือกนั้นเข้ามาโดยตำแหน่ง ที่ทางประชาคมวรรณกรรมและท่านอื่น ๆ มีความเห็นในเรื่องนี้อย่างไร เราก็จะมาเริ่มพูดกันด้วยเรื่องนี้ก่อน
รศ.ดร.ตรีศิลป์ บุญขจร : คือเราจะดูองค์ประกอบของกรรมการ คือ กรรมการคัดเลือกและกรรมการตัดสิน และมีกรรมการอีกชุดหนึ่งคือ กรรมการดำเนินงาน
คุณธัชธาดา : สวัสดีครับ ผมทัดธาดาจากพรหมคีรีครับ ผมขอหารือที่ประชุมว่าเราน่าจะพูดอภิปรายถึงเรื่องของประเภทก่อน ผมรู้สึกว่าซีไรต์ของเราจะไปอิงอยู่กับโนเบลไพรซ์ ผมว่าถ้าเคลียร์ตรงนี้เสร็จ มันจะได้ชี้ชัดว่าคณะกรรมการจะตัดสินอะไร ขอบคุณครับ
รศ.ดร.ตรีศิลป์ บุญขจร : ที่จริงแล้ว ระเบียบมันเริ่มที่เรื่องคณะที่กรรมการ แต่เมื่ออาจารย์ทัดธาดาเสนอมา ไม่ทราบว่าเห็นด้วยมั้ยคะ ถ้าเห็นด้วยก็จะเริ่มที่เรื่องประเภทนะคะ ดูที่ระเบียบการพิจารณาเพื่อรับรางวัลซีไรต์ปี 2528 จะเห็นว่า ประเภทของวรรณกรรมจะมี 4 ประเภท ไม่ใช่ 3 ประเภทตั้งแต่เมื่อปี 28 คือมีเรื่องของบทละครอยู่ด้วย จากการผลักดันมาหลายสมัย ประมาณ 4-5 ปี พยายามผลักดันให้บทละครมาเป็น category หนึ่งของการนำเสนอ และอาจมีการนำเสนอประเภทอื่น เช่นเรื่องของสารคดี ก็เรียนเสนอท่านประธานว่าจะพิจารณาประเด็นนี้หรือไม่
คุณอดุล จันทรศักดิ์ : ผมคิดว่าเมื่ออาจารย์ทัดเริ่มในเรื่องของประเภท อาจารย์ก็เปิดเกมส์ได้เลยครับ
คุณธัชธาดา : ในความเห็นของผมนะครับ ผมว่าถึงที่สุดแล้วประเทศไทยเราที่ผ่านมา เท่าที่สาธารณชนรับทราบ ผมมีความรู้สึกว่า รางวัลซีไรต์มีการอิงอยู่กับรางวัลโนเบล แต่พอมาทราบรายละเอียดซึ่งเราเป็นคนนอก ในฐานะประชาชนไทยคนหนึ่ง เราก็ไม่ทราบว่ามีรายละเอียดอะไร แต่พอมาทราบว่ารางวัลมีมาตั้งแต่ปี 2528 มาแล้ว แต่คนทั่วไปจะไม่ทราบ ทีนี้ผมบอกตรง ๆ ว่า ในความรู้สึกของผม ผมว่าหลักโดยทั่วไปแล้ว ที่ผ่านมาเราอิงอยู่กับรางวัลโนเบล แต่ว่าในขณะเดียวกันมันก็ปัญหาอยู่ในปัจจุบันนี้ในเรื่องของวรรณกรรมนั้น มันไม่ได้เป็นเรื่องตายตัวแบบที่ต้องมีโครงเรื่อง กรอบเรื่องแบบที่เป็นเรื่องสั้นสมัยก่อน ปัจจุบันมันเป็นลักษณะของโพสท์โมเดิร์นมากขึ้น วรรณกรรมมันเคลื่อนเปลี่ยนไปตามลักษณะทางสังคม เส้นแบ่งระหว่างเรื่องสั้น กวีนิพนธ์ สารคดี หรือบทละครเกือบจะไม่มีเลย ในส่วนตรงนี้ ผมเข้าใจความรู้สึกว่า มันต้องมีรายละเอียดต่อลงไป ถ้าเกิดว่ารางวัลซีไรต์ต้องการปีละ 1 ซึ่งผมเข้าใจว่ามันคงมีปีละ 1 เท่านั้น ซึ่งมันจะส่งผลเชื่อมโยงกับเรื่องระเบียบ เรื่องคณะกรรมการ เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่ว่า พี่น้องในวงการวรรณกรรมของเรานั้นจะทำให้คนที่เป็นอยู่ในวงการสร้างสรรค์สารคดีและบทละคร ถูกแปรให้เป็นคนชายขอบหรือเปล่า ในความรู้สึกของผม ผมเห็นด้วยที่จะมีทั้ง 3 อย่าง แต่ว่าในทางปฏิบัตินั้นน่าจะต้องมีการเคี่ยวเข้มกันในแต่ละปี
คุณจิระนันท์ พิตรปรีชา : เข้าใจในแง่ของการจัดประเภท แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า ในประเทศเรามีความนิยมของการเขียนต่างกัน ไม่ค่อยเห็นงานสารคดีหรือบทละคร ดังนั้น กลุ่มใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีตัวเลือกให้เลือกเยอะ นี่พูดถึงแง่ของการตัดสินนะคะ ไม่ได้พูดถึงอุดมคติทางวรรณกรรม
รศ.ดร.ตรีศิลป์ บุญขจร : สมาคมภาษาและหนังสือเคยจัดเสวนา มากันร้อยกว่าคนในวงการละคร ตอนนี้เรากำลังพูดกันว่าประเภทของงานจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ เราอยากมีประเภทใหม่เพิ่มขึ้นมาหรือไม่ นอกจากสามชาติ คือ เรื่องสั้น นวนิยายและกวีนิพนธ์แล้ว บทละครและสารคดีมีจำนวนมากพอที่น่าสนับสนุนให้เป็นประเภทหนึ่งได้มั้ย
คุณเวียง วชิระ : ถึงแม้ว่าวรรณกรรมซีไรต์จะแบ่งเป็นกี่ประเภท ผมคิดว่าไม่ควรกีดกันประเภทของวรรณกรรมใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในประเทศของเรา ในขณะเดียวกันเราต้องพิจารณาด้วยว่า ถ้าเราจะใช้ระบบหมุนเวียนแบบนี้ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า อีก 3 ปีจะไม่มีประเภทใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมา ผมคิดว่าจะดีกว่ามั้ยถ้าเราเลิกคำว่า “ประเภท” แล้วมาอิงอยู่กับคำว่า “วรรณกรรมสร้างสรรค์” ความหมายของผมคือ เราไม่ต้องไปพูดกันว่าเป็นเรื่องสั้น เป็นบทกวี หรือว่าเป็นบทละคร เพราะฉะนั้นในแง่ของการตีพิมพ์เป็นเล่ม อาจเป็นไปได้ว่ารวมเรื่องสั้นอาจมีบทกวีอยู่ในนั้นก็ได้ ซึ่งมันจะส่งผลต่อการเขียนที่ว่า จะไม่ถูกกรอบหรือประเภทของงานวรรณกรรมมากำกับ ทีนี้เราต้องมาหารือกันให้ดีว่าวรรณกรรมคืออะไร วรรณกรรมคืองานศิลปะที่ถูกถ่ายทอดมาเป็นตัวหนังสือ ซึ่งมันจะเชื่อมโยงไปถึงว่า ตัวเลือกของงานมันจะมากขึ้นโดยปริยาย และในแง่ของการแสวงหาความเป็นเลิศสูงสุดของงานในปีนั้น ๆ มันจะง่ายขึ้น ที่ผมอยากจะหารือคือ เรามาคิดกันว่าสิ่งที่ผมเสนอไปมันดีมั้ย หรือคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้หรือไม่เกิดผลดีในการพิจารณา เราควรมาช่วยกันคิดครับ ถ้าเกิดว่าอีก 3 ปีข้างหน้ามีวรรณกรรมประเภทใหม่เกิดขึ้นมาโดยที่เราไม่สามารถคิดคำขึ้นมาเรียกมันได้ แล้วมันดี เราสามารถเอามันเข้ามาประกวดได้ แต่ถ้าเรายังอยู่ในกรอบเดิมว่าต้องมีแค่นั้น เราจะแก้ปัญหาตรงนี้อย่างไร
คุณภานุ ไตรเวทย์ : ไม่ได้เห็นด้วยหรือโต้แย้งกับใครนะครับ มันมีการประกวดอย่างนึงซึ่งอาจารย์ตรีศิลป์ก็เป็นกรรมการอยู่ด้วย ซึ่งในสาขาวรรณกรรมจะเป็นการรวมไปเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสั้น นวนิยาย กวี ซึ่งอาจจะเป็นการทำในลักษณะที่คุณเวียงพูดถึง ซึ่งเท่าที่ตัวเองเคยผ่านการประกวดตรงนี้มาบ้าง ก็จะมีคนชอบในลักษณะนี้และก็ไม่ชอบ คิดว่าถ้ามองในแง่ดี กรรมการบางท่านอาจจะผ่านงานตรงนี้มาบ้าง ที่พูดคือเพียงแค่จะบอกว่ามีรางวัลบางรางวัลที่ใช้กติกาเช่นนี้ เอาวรรณกรรมมารวมกัน 3 อย่างเลยครับ
อาจารย์อิระวดี : ถ้าจะรวมบทละครไปด้วยคือ 4 ประเภทถ้าจะแบ่งตามประเภทของการเขียน ในอนาคตวรรณกรรมมันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วถ้าเราแบ่งประเภทตามกันไปเรื่อย ๆ มันก็จะเป็นปัญหากัน คือเราต้องตามประเภทย่อยกันไปไม่สิ้นสุด การแสดงออกของงานย่อย ๆ ก็คงไม่พ้น 4 ประเภทใหญ่นี้
คุณเวียง วชิระ : ถ้าเราพูดถึงประเด็นเรื่องประเภทในตอนนี้ คงรวมเรื่องบทละครเข้าไปด้วย และมีนักเขียนสารคดีต้องการที่จะให้บรรจุงานสารคดีเข้าไปในรางวัลซีไรต์ด้วย ผมดูจากสภาพการผลิตงานเขียนของบ้านเรา เราต้องไม่ลืมนะครับว่า ยังมีอีกหลายกลุ่มที่ยังไม่ได้ยื่นเรื่องเข้าประกวดรางวัลซีไรต์ ซึ่งถ้าเขาต้องการเราคงไม่มีสิทธิปฏิเสธ
รศ.ดร.ตรีศิลป์ บุญขจร : ในการประชุมครั้งสุดท้ายที่วังสวนผักกาด เราได้ผลักดันเรื่องสารคดีไปครั้งหนึ่งแล้ว เหมือนกับบทละคร แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับ แล้วข้อห่วงของคุณเวียงก็ไม่เป็นไร เพราะข้อกำหนดต่าง ๆ เราเป็นคนตั้งเอง เราก็สามารถแก้ไขได้ถ้าจำเป็น
คุณกานติ ณ ศรัทธา : ผมคิดว่า ประเภทที่มันมีอยู่ 5 ประเภทตอนนี้ เราไม่ควรกังวลว่ามันจะมี 6 7 หรือไม่ แต่เราควรจะดูกันว่า ใน 5 ประเภทนี้ เราควรจะแยกเป็นปีหรือเปล่า หรือว่าจะเอามารวมกันอย่างที่คุณเวียงเสนอ หรือว่าเราจะเอา 5 ประเภทนี้มาเรียงกัน ไล่ไปทีละประเภทเรียงกัน ถ้าคิดว่าเอามารวมกันทั้งหมดแล้วมันจะตัดสินยาก ผมว่ามันคงไม่ยาก วิธีการมันมี แต่ความเหมาะสมที่เราจะนำวรรณกรรมทุกประเภทมารวมกัน มันเหมาะสมหรือเปล่า หรือว่าถ้าแยกเป็นปี ๆ ผมว่ามันทำลายวัฒนธรรมการอ่าน เพราะถ้าปีนี้เขาไม่พิมพ์นวนิยายซีไรต์ เราที่ชอบอ่านก็คงไม่อ่านหนังสืออย่างอื่น มันเสียระบบการอ่าน ถ้าเรานำมารวมกัน ระบบการอ่านมันยังคงอยู่ แต่มันจะมีปัญหายุ่งยากในการตัดสินหรือไม่ เราน่าจะพิจารณาตรงนี้นะครับ
คุณธัชธาดา :ข้อดีของการที่เราไม่แยกประเภท ปัญหาที่เกิดขึ้นปีนี้จะไม่เกิด เพราะทุกคนจะไม่รู้ว่า คณะกรรมการปีนี้จะตัดสินให้อะไรได้รางวัล และแม้ว่าตัวหลักจริง ๆ จะเป็นวรรณกรรม 3 สาขาคือ เรื่องสั้น นวนิยาย และกวี ถ้าเกิดว่าคณะกรรมการพิจารณาแล้ว 3 สาขานี้มันด้อย สารคดี บทละครหรืออื่น ๆ ที่จะแทงทะลุขึ้นมาได้ก็เป็นการสร้างสรรค์ของมนุษย์ ผมว่าประเด็นหลักคือว่า องค์กรต้องชัดก่อนว่าเราจะเออออกับอะไร เพราะถ้าอภิปรายกันอย่างนี้มันคงไม่จบ ในประเด็นของผม ผมคิดว่าถ้าเราไม่มีปัญหาเรื่องการแบ่งประเภท ผมเชื่อว่ามันจะโยงไปถึงเรื่องคณะกรรมการด้วย
คุณจิระนันท์ พิตรปรีชา : ประเด็นที่เราได้มาร่วมเสวนากันในวันนี้ มันเริ่มมาจากแรงสั่งสมมานาน คืออยากฟังจากต้นความคิดที่ทำให้เกิดมีการเสวนาในวันนี้ด้วย
คุณอดุล จันทรศักดิ์ : ผมคิดว่านี่คือประเด็นในเรื่องของการจัดประเภทและมันเกิดประเด็นย่อยตามมาว่า เราจะรวมทั้งหมดหรือว่าแยกย่อยไป มันทำได้กับวิธีคิด เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่เราพูดกันได้แต่คงยังไม่มีข้อสรุป องค์กรยังไม่ได้มีส่วนเข้ามาตัดสินใจ เริ่มตรงประชาคมว่าเลยมั้ยครับ ประเด็นจะได้ต่อเนื่อง
คุณวรภ วรพา : ประเด็นต่าง ๆ ที่เรานำเสนอนั้น เราได้มาจากหลายกลุ่มจากหลายทาง โทรศัพท์บ้าง จดหมายบ้างซึ่งบางคนไม่ได้ลงชื่อว่าอยู่ในกลุ่มของคนประชาคมวรรณกรรม เพราะฉะนั้นอยากจะขอร้องว่า พวกผมที่มาในวันนี้มาในนามของกลุ่มส่วนตัว ไม่ได้มาในนามของประชาคมวรรณกรรม และคิดว่าประชาคมวรรณกรรมนั้นคงจะยุติบทบาท เพราะฉะนั้นถ้าพูดคุยกันในวันนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ในส่วนตัวผมยังมองไม่ชัดว่าเวลาตัดสินจริง ๆ แล้ว ถ้าเรานำมารวมกันมันจะมีความยากลำบากมั้ย จริง ๆ ผมอยากจะรับฟังจากคณะกรรมการว่าเวลาพิจารณานั้นเป็นอย่างไร และหากว่าเอามารวมกันนั้น คณะกรรมการจะรู้สึกอย่างไร ส่วนตัวผมเองผมชอบที่จะให้มีการหมุนเวียน 5 ประเภทเช่นเดิม เนื่องจากคิดว่าแต่ละประเภทนั้นมีเนื้อหา วิธีการที่แตกต่างกันออกไป การพิจารณาคงจะมีความรอบคอบรัดกุมมากขึ้น ส่วนการหมุนวน 5 ปีนั้น ผมรอได้ ถ้าหากว่าที่ประชุมเห็นว่าให้เพิ่มสารคดีและบทละครเข้ามานั้น ผมก็คิดว่ามันก็รับได้
อาจารย์นลินี ศรีตะสุวรรณ : จริง ๆ แล้วคนผลิตบทละครของเรามีค่อนข้างจะน้อยมาก ในความหมายของบทละคร มันน่าจะเป็นบทที่เขียนแล้วและนำไปแสดงแล้ว ซึ่งถ้าเรากลับไปดูของสากล บทที่มีอยู่คือบทที่เขาแสดงมาแล้ว เมื่อบทมันผ่านการแสดงและผ่านการตีพิมพ์มาแล้ว ใครที่จะเอาไปเล่น ก็เพียงหาผู้กำกับ เพียงเท่านี้คุณก็เล่นได้แล้ว ถ้าต่อไปนี้ถ้าจะพิมพ์บทละคร ก็น่าจะถามวาเคยแสดงมาหรือยัง อย่างน้อยก็คงมีเรคคอร์ดไว้ว่าแสดงครั้งแรกเมื่อไหร่ ในฐานะที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ มันยังคงเป็นของผู้เขียนบทอยู่ ในขณะนี้บทละครที่ตีพิมพ์อยู่ในประเทศไทยนั้น ยังคงเป็นบทที่ดัดแปลงมาจากนวนิยาย การที่จะไปบังคับว่า 5 ปีจะต้องได้นั้น มันเป็นการบังคับกันเกินไปหรือเปล่าให้มันได้ผลงานดี ตรงนี้แค่ถูก mention มา คนเขียนบทละครก็ดีใจแล้วว่ามีการหยิบยกพูดถึงว่าน่ามีการได้รางวัลกันบ้าง แต่การที่คิดว่าทุก ๆ 5 ปีต้องมีใครได้รางวัล มันเป็นการยากเกินไป สำหรับบทละครที่ original เยอะ ๆ มักจะเป็นบทภาพยนตร์ที่ไม่ค่อยมีการนำมาตีพิมพ์ แต่ถ้าหากว่ามีการให้กำลังใจกันตรงนี้ นักเขียนต่าง ๆ อาจจะนำบทภาพยนตร์ดี ๆ มา ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับผู้สนใจอีกด้วย มีคนมาถามว่าบทละครเขียนกันอย่างไร ซึ่งตอบลำบาก มีตัวอย่างบทละครดี ๆ มั้ย ซึ่งตอบว่ายากอีกเหมือนกัน งานที่เขียนตอนนี้จะเป็นงานจ้าง มีคนมาจ้างให้เขียนตามคำสั่งเพื่อนำไปแสดง แล้วจะมีเรื่องของผลตอบแทนเข้ามา
คุณจิระนันท์ พิตรปรีชา : ขอบคุณมากค่ะที่เปิดประเด็นนี้ขึ้นมา เรื่องของบทละครที่บอกว่า 5 ปีจะต้องมีให้ได้สักหนึ่งเรื่องนี่มันน่ากลัวมากนะคะ สมมติว่าปีนึงมีส่งเข้ามา 10 เล่ม เราก็ต้องคัดเลือกให้ได้ถึงแม้มันจะห่วยแค่ไหนก็ตามเหรอคะ อีกอย่างเราใช้คำว่าวรรณกรรม บทละครและบทภาพยนต์นี่ถามว่ามันใช่วรรณกรรมไหม มันก็กึ่ง ๆ นะ เพราะมันต้องผ่านการแสดงมาแล้วถึงจะปรากฏรูปแบบศิลปะเต็มขั้น ในบทภาพยนต์ส่วนมากมันยังไม่มีความยาวอะไร สีหน้าแววตา อากัปกิริยา วันเวลา ฉากความงามของสถานที่ สิ่งเหล่านี้ไม่มีเลย มีแต่บทพูดล้วน ๆ แต่ที่เราดูแล้วรู้สึกคล้อยตามหรือร้องห่มร้องไห้ นั่นคือได้ผ่านกระบวนการแสดง เมื่อพูดถึงรางวัลซีไรต์นั้นก้ไม่ใช่รางวัลที่ใหญ่โตยิ่งใหญ่ระดับโลกอะไร ถ้าเราเพิ่มตรงนี้เข้ามามันจะเป็นการขยายตัวที่เกินตัวเราไปหรือเปล่า
คุณธัชธาดา : ผมว่าเพื่อไม่ให้เสียเวลา อย่างหนึ่งที่เราต้องทำในการประชุมคือการรับหลักการต้องมีก่อน แล้วจะไปตกลงอย่างไรค่อยว่ากัน เมื่อทั้งสองสมาคมรับหลักการแล้วค่อยไปหารือกัน ไม่อย่างนั้นให้ออกมาพูดแบบนี้นี่ผมเสียวเลย ไม่ใช่ว่าพูดออกไปแล้วบอกว่าเรายังตกลงกันไม่ได้ ผมจึงขอความกรุณาให้มีการจดบันทึกในที่ประชุมแล้วแล้วนำไปหารือกันอีกทีทั้งสองสมาคม แล้วอีกอย่างหนึ่งผมเห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องไปรับผิดชอบความรู้สึกของนักเขียนของศิลปินว่าเขาจะเขียนได้หรือไม่ได้
คุณอดุล จันทรศักดิ์ : ผมว่ามันไม่ถึงขั้นรับหลักการ เพราะการประชุมกันในวันนี้เป็นการรวมตัวกันเพื่อจะพูดคุยถึงวิธีการคิด ในสิ่งที่เราจะปรับระบบของซีไรต์ ในวาระที่ครบ 30 ปี สิ่งที่ปรากฏอยู่ในการประชุมนี้คือข้อเสนอ คงไม่ถึงขั้นต้องรับหลักการหรือลงมติอะไรกัน ที่ผมพูดอย่างนั้นก็คือว่า นากยกสมาคมของทั้งสองสมาคมนั่งอยู่ตรงนี้ ข้อเสนอที่เกิดขึ้นในห้องประชุมนี้ก็จะต้องนำไปสู่ ออร์แกไนท์ ขององค์กรหลักทั้งสองเพื่อนำไปอภิปรายและพิจารณาต่อไป คือไม่ใช่พูดแล้วจะจบลงวันนี้ เพราะฉะนั้นก็คงไม่ถึงขั้นต้องรับหลักการอะไร ส่วนในเรื่องบทละครนี้เราตกลงว่าจะรับข้อเสนอเอาไว้
เนวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ : ผมรู้สึกเห็นด้วยกับทุกข้อเสนอ เรื่องการที่เราจะเพิ่มบทละครนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และเป็สิ่ที่บ้านเราต้องพัฒนาอย่างเร่งด่วนด้วย เพราะเดี๋ยวนี้นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เข้ามาก็คือภาพยนตร์ เป็นสิ่งที่เมืองใหญ่ ๆ ต้องมีและเป็นเรื่องเร่งด่วนเสียกว่าเรื่องซีไรต์อีก แต่ผมก็เห็นว่ามันไม่ควรจะเข้ามาปนกับแนวทางของซีไรต์ที่เป็นเรื่องสั้น บทกวี นวนิยาย อาจจะเป็นรางวัลที่แยกออกมาเป็นมินิซีไรต์
ผมก็ยังยืนยันว่าซีไรต์ควรจะเป็นเรื่องสั้น กวี นิยาย แต่ไม่ควรจะเป็นปีต่อปีผมว่าควรจะรวม เพราะว่ามันจะมีผลต่อเรื่องสำนักพิมพ์ เพราะเดี๋ยวนี้สำนักพิมพ์จ้องจะพิมพ์แต่งานที่ประกวดเท่านั้น อยากให้ช่วยกันทำให้วงการนักเขียนนักอ่านมีคุณภาพขึ้น อีกประการหนึ่ง ผมว่ามันเป็นนิมิตรหมายที่ดีที่เรากระตือรือร้นกันมากกับรางวัลซีไรต์ แต่มันก็สะท้อนให้เห็นว่าวรรณกรรมบ้านเราขาดแคลนกันมาก เพราะมันเป็นการต้อนให้วงการวรรณกรรมเข้าสู่เขาวงกต ก็เหมือนว่ามีแต่การประกวดเท่านั้นที่จะยกระดับคุณภพของงานขึ้นมา ซึ่งผมไม่เห็นด้วยว่าการประกวดจะเป็นการวัดระดับสุดท้ายแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สนับสนุนการประกวด ยิ่งมีมากมันก็ยิ่งดีแต่มันน่าจะมีกิจกรรมอื่น ๆ ด้วยเช่น การวิจารณ์วรรณกรรม ซึ่งผมรู้สึกว่ามันน้อยเกินไป
ชมัยพร : สรุปนะคะว่าพี่เนาว์อยากให้นำวรรณกรรมสร้างสรรค์ เรื่องสั้น นวนิยาย บทกวีมารวมกัน คือถ้าเรารับข้อเสนอของพี่เนาว์ข้อนี้มันจะมีผลต่อการพิจารณาประเด็นต่อไปนะคะ คือของพี่เนานี่จะแยกพิเศษคือทำมินิซีไรต์ให้บทละครและสารคดี แยกไปเลยต่างหากเป็นรางวัลภายใน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการสร้างผลงานที่ดีของสองประเภทนี้ ข้อสอง ซีไรต์ยังคงเหมือนเดิมแต่พี่เนาว์อยากให้นำทั้งสามประเภทมารวมกันในแต่ละปี เพื่อให้ระบบการพิมพ์ไม่เป็นแบบเดิม คือมันจะเป็นปกติและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
อดุลย์ : ประเด็นที่ 2 ที่เราจะพูดคุยกันก็จะเป็นเรื่องของคณะกรรมการ ซึ่งเป็นเรื่องที่คงจะต้องพูดกันเพื่อคลี่คลายความข้องใจ ซึ่งเป็นข้อเสนอของทางประชาคม
คุณวรภ วรพา :สิ่งที่เราเสนอเพื่อให้นำไปปรับแก้ให้เหมาะสม ไม่ใช่ว่าจะต้องทำแบบที่เราเสนอ ในส่วนของกรรมการรอบคัดเลือกเราเสนอว่าว่าควรจะมี 7 คนเหมือนเดิมอย่างที่เคยมีมา แต่รายละเอียดเราแยกออกว่า กลุ่มแรกผู้แทนจากสมาคมหนังสือนั้นอยากจะให้ลดเหลือ 1 ท่าน สองผู้แทนสมาคมนักเขียนอยากจะให้ลดเหลือ 1 คน นักวิจารณ์วรรณกรรม 1 คน และนักวิชาการด้านวรรณกรรมอีก 1 คน และให้กรรมการทั้งรอบคัดเลือกและรอบตัดสินไม่ซ้ำคนกัน อีกทั้งกรรมการทั้ง 2 คณะยังดำรงตำแหน่งได้คราวละไม่เกิน 2 ปี และเว้นช่วงไม่ต่ำกว่า 2 ปี นอกจากนี้ยังขอให้คัดเลือกหนังสือเข้ารอบเต็มโควต้า 10 เล่ม ไม่ใช่ 7-10 เล่ม ดังที่เคยเป็นมา เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้นักเขียนและกวี รวมถึงขอให้การประชุมทุกครั้งมีการบันทึกภาพและเสียง เพื่อพร้อมเปิดเผยต่อสาธารณะ
กานติ : ขอยืนยันว่าประชาคมฯยังคงอยู่ ส่วนการลาออกของวรภนั้น…แม้วรภจะลาออกจากการเป็นครูใหญ่ แต่ก็ยังคงเป็นภารโรงอยู่ ก่อนที่จะเสนอในประเด็นที่รับมอบหมายมาว่า ก่อนการประกาศรับผลงานเข้าพิจารณา ทั้ง 2 สมาคมควรเสนอรายชื่อให้ที่ประชุมพิจารณา โดยอาจจะจัดการประชุมประจำปีขึ้นมา หรือใช้การประชุมนักวันนักเขียนก็ได้บุคคลในแวดวงวรรณกรรมควรจะรวบรวมและเสนอชื่อผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่างๆ ไว้ให้ทาง 2 สมาคมพิจารณา และควรประกาศรายชื่อล่วงหน้า เพราะการไม่ประกาศเป็นเหมือนการล็อบบี้ในความมืด และรางวัลอื่นก็ควรให้คนวรรณกรรมมีส่วนคัดเลือกด้วย
เวียง วชิระ : อยากเสนออีกเรื่องหนึ่ง คือเราน่าจะยกเลิกระบบการประกวด เพราะถ้ายังคงระบบเดิมไว้ ยากนะที่จะได้หนังสือที่เรียกว่าดีที่สุดสำหรับปีนั้นๆ ตราบใดที่นักเขียนยังไม่ส่ง เป็นไปได้ไหมที่จะมีการรวบรวมข้อมูลผลงานในแต่ละปี ไม่ว่าจะตีพิมพ์หรือไม่ก็ตาม อาจจะให้ทำเป็นรูปเล่มแล้วมีระบบบาร์โค้ดเรียบร้อยก็ได้ เพื่อที่ว่าถ้าหนังสือไม่อยู่ในระบบตลาดก็มีสิทธิได้รับพิจารณา
ธัช ธาดา : คิดว่ากรรมการรอบคัดเลือกมีน้อยไป ไม่สมดุลกับจำนวนหนังสือ ตามตรรกะแล้วก็เท่ากับว่าที่บอกว่ากรรมการ 7 คน อ่านหนังสือครบทุกเล่มนั้นเป็นเท็จ และกรรมการแค่ 7 คน อาจจะมีการบล็อคโหวตได้ เพราะต่อให้เขียนดีแค่ไหน แต่ถ้ากรรมการ 4 ท่าน บล็อคโหวต อีก 3 ท่าน จะเถียงได้ยังไง เป็นไปได้ไหมที่จะเพิ่มกรรมการให้ไม่น้อยกว่า 11 ท่าน หรือแต่งตั้งอนุกรรมการเพื่อช่วยอ่านในรอบแรก และควรมองนักวิชาการด้านอื่นบ้าง เพื่อให้ได้ประเด็นที่หลากหลาย ส่วนเรื่องเปิดเผยกรรมการนั้น ส่วนตัวแล้ว ก็เห็นว่าไม่จำเป็นต้องเปิดเผยทุกครั้งก็ได้ อยากให้เจ้าของรางวัลและ 2 สมาคมหนักแน่น ไม่ใช่ว่าเสียงจิ้งหรีดร้องทักขึ้นมา 1 ครั้ง แล้วต้องสะดุ้งทุกครั้ง แค่ครั้งนี้ถือเป็นการทบทวนปัญหา
อ.อิราวดี : ฟังแล้วรู้สึกว่าคือกรรมการนี่เต็มไปด้วยความฉ้อฉล แต่ถามเถอะมันคือผลประโยชน์อะไรนักหนาเหรอที่กรรมการจะได้ จนต้องทำสิ่งนั้น ดิฉันเห็นด้วยกับคุณจิระนันท์ที่ว่านี่มันอะไร ทำไมคุณต้องให้ความสำคัญกับซีไรต์มากมาย มันก็เป็นแค่รางวัลหนึ่งเท่านั้นเอง แล้วการอภิปรายก็ไม่ใช่ใครจะมีอำนาจเหนือใคร แล้วการที่มาบอกว่ากรรมการเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ดิฉันเสียใจมากๆ เพราะเท่าที่ทำงานหลายปี ทุกคนเสียสละ เสียใจแทนตัวเองและแทนกรรมการคนอื่นด้วยว่าไม่ควรที่จะมาเจออคติอย่างนี้เลย ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเบื้องหลังส่วนตัวที่ไม่พอใจอะไรกันรึเปล่า แต่รู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่น่าเศร้าที่สุดของวงการวรรณกรรมไทย
พินิจ : ฝากขอโทษ อ.อิราวดี ที่คำพูดทำให้เสียใจบรรยากาศวันนี้ทำให้รู้แล้วว่าซีไรต์เป็นพระเจ้าจริงๆ เพราะงั้นไม่ต้องกลัวว่าจะเสื่อมถอยหรอก หลายคนยกย่องเป็นพระเจ้า ผมขนลุกเลย
จิระนันท์ : ถ้า 3 ประเภทมารวมกันก็ควรหาผู้สันทัดกรณีใน 3 สาขานี้ด้วย โดยเฉพาะกวีนิพนธ์ และเมื่อหนังสือมากขึ้นทางออกอีกอย่างหนึ่งแยกสาขาให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาแล้วดันเล่มเด่นขึ้นมา และยังมีเรื่องที่อยากแก้ข้อเข้าใจผิดคือ 1.เรื่องล็อบบี้ ยืนยันเลยว่าไม่มีอย่างที่ว่า การตัดสินใจให้เล่มไหนเข้ารอบเป็นเรื่องรสนิยมส่วนตัวมากกว่า 2.เมื่อสืบเนื่องจากตรรกะนี้ ก็เท่ากับว่าเป็นปัญหาเรื่องรสนิยมก็ปรับแก้ได้ โดยไม่ต้องจับกรรมการซักฟอกขึงพืดขนาดนั้น ถ้าต้องแสดงออกทั้งภาพและเสียงนี่ กรรมการคงอยากลาออกกันหมด ถ้าคนไหนมีความเห็นว่างานชิ้นนี้ห่วย ให้ตกรอบก็คงไม่กล้าพูด แค่กระจายให้วงกว้างมีส่วนร่วมก็ช่วยได้เยอะแล้ว และ 3.ข้อที่ว่ากรรมการอ่านไม่ครบทุกเล่ม งานวรรณกรรมนั้น บางทีเปิดอ่านหน้าแรกก็รู้แล้วว่าไม่รอด มันเป็นเรื่องของศิลปะ ไม่ใช่งานวิชาการ
อดุลย์ : จะรับข้อเสนอแนะทั้งหมด เพื่อไปพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
พินิจ : สิ่งที่ประชาคมกล่าวหา ผมยอมรับได้ แต่ต้องมีข้อมูลเชิงประจักษ์ แต่เมื่อมาดูทั้งหมดแล้วปรากฏว่าบิดเบือนหลายประเด็น ที่เขาบอกว่าบิดเบือนนั้น ล้วนมีหลักฐานทั้งสิ้น 1.กรรมการผูกขาดอำนาจ ผมเพิ่งเป็น 2 สมัย คัดเลือกนิยายและบทกวีเท่านั้น 2.กรรมการไม่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง และว่าผมไม่มีผลงานใดๆ นอกจากคอลัมน์ซุบซิบวรรณกรรมในหนังสือพิมพ์รายวัน จริงๆ แล้วผมเขียนให้ที่อื่นด้วยอีก 2 แห่ง และผมยังเขียนบทกวี เคยเป็น บ.ก.คัดสรร 3.การเล่นพรรคเล่นพวก ที่ผมเป็นกลุ่มหน้ารามทำให้มีผลงานของกลุ่มสมาชิกหน้ารามเข้ารอบถึง 50% แต่ผมนับแล้วทั้งเล่มทั้งคนไม่ถึงนะ มีกวีหน้าราม 2 ท่าน ที่เข้ารอบคือศิริวร แก้วกาญจน์ และอังคาร จันทาทิพย์ 2 คน 3 เล่ม และที่สำคัญประเด็นนี้ผมอยากถามกลับว่า พี่ 2 คนคือพี่วรภและพี่กานติ ไม่ใช่พวกผมหรอ ผมกับพี่กานติคบกันมา 20 ปี เอื้อเฟื้อมาโดยตลอด ถ้าผมเล่นพรรคเล่นพวกจริง ทำไมวิสุทธิ์ ขาวเนียม, พิทักษ์ ใจบุญ กวีหน้ารามเหมือนกันถึงไม่เข้ารอบ ถ้างานของพี่กานติดีจริง ถ้าผมไม่เอาเข้าบาปติดหัวตายเลยครับ เวลาสัมภาษณ์ก็เน้นแต่ข้อกล่าวหา ข้อเรียกร้องเป็นเพียงน้ำจิ้ม ผมไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจให้พี่คิดอย่างนั้นได้
กานติ : นี่ไม่ใช่ความคิดของผมเพียงคนเดียว แต่เป็นของประชาคมวรรณกรรม และยอมรับว่าแม้ส่วนหนึ่งจะเกิดจากข้อเท็จจริง แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นทัศนคติที่ถกเถียงกันได้
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก http://www.praphansarn.com