Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

2544 – ทำร้านหนังสือกันไหม?

 

 
1.
 
ปลายธันวาคม พ.ศ. 2544
 
ขณะนั้นชายหนุ่มอายุ 26 ส่วนหญิงสาวก็อายุ 26
 
ฝ่ายชายนั้นตั้งชื่อให้ตัวเองว่า ‘หนุ่ม’ ส่วนฝ่ายหญิงก็เรียกตัวเองว่า ‘โย’ ทั้งคู่กำลังทานมื้อค่ำกันในร้านอาหารแห่งหนึ่ง
 
ร้านอาหารแห่งนั้นเป็นบ้านไม้สองชั้นหนึ่งหลัง ทาสีฟ้ากับสีขาวอย่างง่ายๆ มีโต๊ะกับเก้าอี้ซึ่งง่ายพอกันวางอยู่มากมาย ทั้งยังมีภาพถ่ายในกรอบไม้หลายรูปแขวนอยู่กับฝาผนัง หากมาก่อนหัวค่ำ ตอนคนยังไม่มากยังอาจได้ยินเสียงใครบางคนจิ้มพิมพ์ดีดดังมาจากชั้นสอง
 
ชั้นสองนั้นว่ากันว่าเป็นที่พำนักของชายหนุ่มผมยาวคนหนึ่ง พ.ศ.นั้นเขาเป็นคนหนุ่มที่พยายามเอาจริงเอาจังกับการเขียนหนังสือมาก – ไม่รู้ว่าใคร?
 
‘Room With A View’ คือชื่อของร้านแห่งนี้
 
ชื่อของมันเพราะดี เป็นมาอย่างไรนั้นไม่ได้ถาม แต่คาดเดาเอาว่าเจ้าของคงเคยดูหนังแล้วประทับใจ หรือไม่ก็คงเคยอ่านหนังสือที่ชื่อเดียวกัน เพราะเท่าที่เห็นสายลมซอย 2 ละแวกอนุสาวรีย์ชัยที่ร้านเข้าไปอยู่นั้นหาได้มีวิวแม้แต่น้อย ซ้ายและขวาถัดจากกำแพงคือบ้านคน ตรงข้ามอีกฟากของถนนก็เป็นแบบนั้น มันเป็นร้านที่ตั้งอยู่ในย่านที่อยู่อาศัย ซึ่งแม้จะอยู่ไม่ไกลแต่หลายครั้งคนที่ไม่เคยไปก็หาไม่เจอ ที่หาเจอก็เพราะเพื่อนฝูงแนะนำ เท่าที่ทราบ…ศิษย์เก่าวารสารธรรมศาสตร์กลุ่มหนึ่งเป็นคนช่วยกันปลุกปั้นมันขึ้นมา บางคนอาสาเฝ้าร้าน คนที่ทำงานประจำเลิกงานก็มาช่วยเสิร์ฟ บรรยากาศจึงสบายและเป็นไปในแบบที่ค่อนข้างคุ้นหน้า และเหมือนมันจะเป็นอีกที่หนึ่งที่คนในแวดวงหนังสือชอบมาสังสรรค์เฮฮา ไปแล้วก็พบว่า ‘View’ ของร้านอยู่ตรงนี้นี่เอง ตรงที่มี ‘View’อยู่ในร้าน ไม่ใช่นอกร้าน…น่าเสียดาย! ที่ต้องเลิกกิจการเพราะเกิดเหตุการณ์แก๊สระเบิดใน 2-3 ปีต่อมา
 
กล่าวสำหรับ ‘หนุ่ม’ กับ ‘โย’ พวกเขาหาได้ชื่นชอบการทานข้าวนอกบ้านสักเท่าใดนัก เพียงแต่เงื่อนไขบางอย่างใน พ.ศ.นั้นทำให้พวกเขาต้องทำแบบนี้ และในวันนั้นพวกเขาก็เลือกที่จะมายังร้านแห่งนี้
 
‘Smith’ นั้นเป็นชายหนุ่มที่รูปร่างดูจะใหญ่โตกว่าผู้ชายทั่วไป ชื่อจริงของเขาเป็นอีกอย่าง นักเขียนคนหนึ่งมักเรียกเขาว่า ‘มิตร’ เพราะประทับใจในความหมาย แต่ในที่นี้จะเรียกว่า ‘Smith’ แทน เพราะรู้สึกชอบที่ชื่อของเขาเขียนได้หลายแบบ มากมาย
 
Smith เดินเข้ามาตอนที่หนุ่มกับโยนั่งทานข้าวอยู่ เขาเป็นรุ่นพี่ร่วมสถาบันที่หนุ่มสาวทั้งคู่ไม่ได้เจอมาพักใหญ่ ทันทีที่เห็นหน้าใครคนหนึ่งจึงร้องทักออกไป
 
‘เอ้าพี่!…ไปไหนมา ?’ เสียงถาม
 
Smith ไม่ว่าอะไร เขายกมือขึ้นรับไหว้ แล้วบอกว่าขอเข้าห้องน้ำแป๊บ!… เดี๋ยวมา
 
ซึ่ง Smith ก็มานั่งร่วมโต๊ะใน 2-3 วินาทีหลังจากนั้น
 
พวกเขาสอบถามทุกข์สุข และพูดคุยกันสัพเพเหระ ฯลฯ หนุ่มกับโยชวน Smith ทานข้าว แต่ Smith กลับขอกินกับเล่นดีกว่า พวกเขาคุยกันเรื่อยเปื่อยตามประสา แล้ววินาทีหนึ่ง Smith ก็กล่าวขึ้นว่า
 
‘ที่ถนนพระอาทิตย์มีที่ว่างให้ทำร้านหนังสือจะเอาไหม?’
 
‘ได้ยินเหมือนกัน’ หนุ่มบอก
 
‘แต่เห็นเขาแซวกันตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่าตรงนั้นจะกลายเป็นร้านดอกไม้อะไรไม่ใช่หรือ?’ หนุ่มแสดงความเห็นเนื่องจากยังไม่ได้รู้สึกสนใจอะไร
 
‘ไม่แล้ว! ถ้าจะทำร้านหนังสือก็ได้ จะเอาไหมหล่ะ?’ Smith ยืนยัน
 
‘จะเอาไหม เป็นไปได้นะ?’ Smith ย้ำอีกครั้ง
 
 
 
 
2.
 
แล้วธันวาคมของปีนั้นก็ไม่เหมือนปีก่อนๆ
 
หากเป็นปีก่อนๆ พวกเขาทั้งคู่คงกำลังคิดกันว่าก่อนที่ศักราชใหม่จะเดินทางมาถึง ในช่วงวันหยุดปลายปีมีที่ไหนในประเทศอีกบ้างที่ไม่เคยไป? หนุ่มนั้นคงมุ่นอยู่กับการคิดหาวิธีเพื่อจะไปที่นั่น ส่วนโยก็คงกำลังนึกถึงเหตุผลเพื่อจะอธิบายกับคนรอบตัวว่าทำไมเธอต้องไปโน่นไปนี่ทุกครั้งที่วันหยุดยาวเดินทางมาถึงอยู่เช่นกัน
 
นั่นคือสิ่งที่มักเกิดขึ้นในปีอื่นๆ
 
แต่ปลายปี 2544 หลังจากมื้อค่ำในร้าน Room With A View สองสามวันต่อมาพวกเขาทำอีกอย่าง
 
พวกเขามายังถนนพระอาทิตย์
 
ถนนพระอาทิตย์ที่ถ้าวัดกันแล้วมันยาวแค่หนึ่ง หรืออย่างเก่งก็ไม่ถึงสองกิโลเมตร
 
แต่ใครก็ไม่รู้ ประกาศไว้เมื่อนานมาแล้ว(ซึ่งเมื่อไหร่ก็ไม่รู้)ว่า ‘ถนนสายนี้แม้จะสั้น แต่ความฝันนั้นยาว’ (ฟังแล้วก็นึกถึงคำพูดของบางคนที่กล่าวไว้ทำนองเดียวกันว่า ‘ตัวเองแม้ความจำจะสั้น แต่ความฝันนั้นยาว’) หนำซ้ำปลายปีมันยังมีของแถมตรงลมหนาว เหตุเพราะลมหนาวส่วนหนึ่งเดินทางจากเหนือมาใต้โดยลงมากับสายน้ำ ซึ่งนั่นไม่ช่วยอะไรเลย นอกจากทำให้มันดูชวนฝันขึ้นไปอีก
 
หนุ่มกับโยนั้นใช่ว่าพวกเขาจะไม่คุ้นเคยกับถนนพระอาทิตย์เอาเสียเลย
 
ทั้งคู่รู้จักมันตั้งแต่สมัยเรียนหนังสืออยู่แถวนั้นแล้ว แม้เริ่มต้นทำงานก็ยังหาเรื่องผ่านไปมาหรือแวะหาข้าวกินอยู่เสมอ อันที่จริงนี่เป็นย่านที่พวกเขารู้สึกสนิทมากกว่าย่านอื่นใดในกรุงเทพเสียด้วยซ้ำ แม้อาจไม่เคยสัมผัสมันทุกลมหายใจ แต่พวกเขาก็พอจะเข้าใจหน้าตาหรือคาดเดานิสัยมันได้ อย่างน้อยๆก็ระดับหนึ่ง
 
วันนั้นพวกเขามายังถนนพระอาทิตย์ด้วยความรู้สึกที่ต่างจากเดิม
 
ทั้งคู่มองร้านรวงสองข้างทางอย่างถามหารายละเอียดมากยิ่งขึ้น พวกเขามองดูผู้คนอย่างพยายามเข้าใจความจริงมากยิ่งขึ้น
 
ทั้งคู่เดินผ่านประตูสีสันฉูดฉาดที่ยังไม่ถึงเวลาเปิดของผับ(หรือเรียกว่าร้านอาหารสมัยใหม่ดี?)หลายร้าน เดินผ่านสำนักงานของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ผ่าน ‘ต้นโพธิ์” ร้านอาหารรุ่นเก่าที่ต่อมาพวกเขาก็กลายเป็นลูกค้าอยู่เสมอ ผ่าน ‘ครัวนพรัตน์’ ร้านอาหารไทยอีกแห่งที่สี่ปีจากนั้นโชคชะตากำหนดให้พวกเขาไม่มีโอกาสเข้าไปนั่งให้ถูกบริการเลย ผ่าน ‘โรตี-มะตะบะ’ ร้านอาหารอิสลามที่แว่วมาว่าคนเฝ้าหน้าเตาเงินเดือนไม่ต่ำกว่าสามหมื่นห้า(แต่หน้าตากลับซีดเหลืองลงทุกวันๆ) ผ่านร้านดอกไม้ ซึ่งวันนั้นก็มีร้านดอกไม้อยู่แล้วเพียงแต่พวกเขาลืมนึกไปว่าแล้ว จะมีคนอยากเปิดร้านดอกไม้ไปอีกทำไม? ผ่าน ‘ร้านก๋วยเตี๋ยวแม่’ ร้านก๋วยเตี๋ยวรสชาติดีและบรรยากาศดี(เหมือนมีแม่มาทำให้กิน)ที่ต่อมาถูกเล่นงานด้วยกำลังภายในจากเจ้าของที่จนต้องย้ายหนีจากถนนพระอาทิตย์ แล้วไปได้ดีกว่าเก่าอยู่ศาลายาอย่างสาแก่ใจ (หมายเหตุ: ต่อมาเจ้าของที่ซึ่งทำทองมาก่อนมาทำเอง อยู่ได้ไม่ถึงปีก็ล้มเลิกด้วยเหตุผลง่ายๆที่ว่า ‘มันไม่เคย’) ครั้นเดินเลยร้านก๋วยเตี๋ยวพวกเขาก็ข้ามไปอีกฟากของถนนตรงหัวโค้ง หาที่นั่งตรงตีนป้อมพระสุเมรุแล้วมองย้อนกลับมาตรงห้องที่อยู่ติดๆกัน
 
พวกเขานั่งลงแล้วก็นึกถึงคำถามนั้น
 
‘จะเอาไหม เป็นไปได้นะ?’
 
 
 
 
3.
 
เป็นไปได้ หรือไม่ได้? ส่วนหนึ่งทั้งคู่เข้าใจอยู่ว่าสาระสำคัญมันขึ้นอยู่กับพวกเขาสองคนด้วย
 
หลังจากพูดคุยกับ Smith ในร้านอาหารวันนั้น โยก็กลับบ้านของเธอที่บางแค ส่วนหนุ่มก็กลับสู่ห้องพักแถวบางพลัดของเขาเหมือนเช่นเคย
 
สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนเคยก็คือกลับไปแล้วทั้งคู่ก็เริ่มคิด
 
ซึ่งเมื่อเริ่มคิดพวกเขาเลยต้องยอมรับว่าเริ่มสนใจ และเพราะเริ่มสนใจพวกเขาจึงอยากมาดูให้เห็นกับตาอีกครั้ง
 
แน่นอน! ทั้งคู่รู้ว่าห้องที่ปิดประตูอยู่นั้นเคยเป็นร้านหนังสือมาก่อน
 
จากคำบอกเล่าบนโต๊ะอาหาร เจ้าของเดิมซึ่งเคยทำร้านหนังสือนั้นตัดสินใจไม่ทำร้านหนังสือต่อแน่นอนแล้วและวินาทีนั้นก็มีหลายคนพยายามอยู่ที่จะขอเช่าต่อ บ้างจะทำร้านอาหาร บ้างจะทำเกสต์เฮ้าส์ บ้างก็จะทำโรงแรมห้องเดียว (One Room Hotel) ฯลฯ ส่วนค่าเช่าเท่าไหร่ยังไม่แน่? แต่เท่าที่แว่วมาต่ำสุดไม่น่าจะน้อยกว่าเดือนละสามหมื่นห้า ซึ่ง พ.ศ. นั้น(และอย่างน้อยก็อีกพ.ศ.ต่อมา)หนุ่มกับโยไม่เข้าใจหรอกว่ามันมากหรือน้อยแค่ไหน นั่นก็เพราะวันนั้นพวกเขาไม่รู้เลยว่าแถวนั้นเขาเช่ากันเดือนละเท่าไหร่ ครั้นจะเอ๋ยถามก็เหมือนบนถนนเส้นนี้ไม่ค่อยมีใครอยากพูดความจริง(ถึงเรื่องนี้)กันเลยสักคน
 
ตอนที่นั่งอยู่ริมถนน ทั้งคู่เลยรู้เพียงว่าหากคิดจะเป็นเจ้าของกิจการโดยเช่าห้องที่ปิดประตูอยู่นั้น…อย่างต่ำก็ต้องจ่ายเดือนละสามหมื่นห้า
 
สามหมื่นห้า! ห้องนี้ค่าเช่าเดือนละสามหมื่นห้า… พวกเขารู้แค่นั้น!
 
และก็แทบจะเรียกได้ว่าพวกเขารู้แค่นั้นจริงๆ เพราะสามหมื่นห้าแล้วข้างในเป็นอย่างไร?พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสเห็นอีกต่างหาก
 
แต่การรู้แค่นั้นกลับทำให้พวกเขาไม่คิดมาก! (หรือเป็นเพราะพวกเขากำลังบ้าบิ่นตามแบบฉบับของหนุ่มสาวผู้เพิ่งเลยวัยเบญจเพสมาหมาดๆก็ไม่รู้?)
 
แน่นอน! ทั้งคู่รู้อยู่หรอกว่าตัวเลขสามหมื่นห้านั้นไม่น้อยเลย
 
เพราะเล็กๆน้อยๆมันก็เบียดแซงเงินเดือนจากงานประจำ(ของหนุ่ม)ในตอนนั้น เพียงแต่วันนั้นเมื่อหันไปมองดูปัจจัย พวกเขาก็พบว่าตัวเองพอจะมีเงิน
 
ซึ่งตอนแรกก็ไม่เชื่อว่าจะมี! แต่หันไปอีกทีก็เห็นว่ามันเป็นเงิน …และก็เป็นเงินจริงๆ!
 
‘เงินเก็บ!’
 
เงินที่พวกเขาแต่ละคนสั่งสมมาจากการทำงานประจำในรอบสองสามปีสำหรับหนุ่ม และสี่ห้าปีสำหรับโย(และอีกวิธีหนึ่งซึ่งจะบอกในตอนหลัง?) ไม่มาก… แต่ก็มากพอที่จะทำให้พวกเขาคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ !
 
เมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนที่มานั่งอยู่ริมถนนเพื่อคิดตัดสินใจ เบื้องต้นทั้งคู่จึงไตร่ตรองมาบ้างแล้วว่าการไปขอเช่าที่ทำร้านหนังสือต่อนั้นไม่น่าจะยาก! นั่นเพราะอย่างน้อยเงินเก็บของพวกเขาก็น่าจะทำให้สามารถจ่ายค่าเช่าไปได้ระยะหนึ่งแน่ๆ หรือถ้ามันแย่ค่อยเอาเงินเดือนมาจุนเจือทีหลังก็ยังได้ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ให้เช่าก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
 
แต่ที่พวกเขายังคิดไม่จบคือชีวิตหลังจากนั้นต่างหาก
 
ก็อย่างที่บอกการไปขอเช่านั้นไม่น่าจะยาก… แต่ได้มาแล้วจะจัดการมันอย่างไร? และชีวิตหลังจากนั้นจะเป็นแบบไหน? นี่ต่างหากที่เป็นสาระ
 
และเป็นสาระที่ทั้งคู่รู้ดีว่าพวกเขาสองคนต้องคุยกัน !
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.onopen.com/