20 ปีค่ายวรรณกรรมสัญจร ปีกความฝันของนกมือ

20 ปีเป็นกี่เมล็ดที่เพาะหว่าน กี่ถิ่นฐานที่เที่ยวท่อง ที่เหล่าพี่น้องคนวรรณกรรมได้หลอมรวมเป็นพลังสร้างสรรค์เรื่อยมา
เดินทางมาถึงสองทศวรรษ ข้ามผ่านเวลา ถิ่นแคว้นต่างๆ ทั่วอีสาน ปีแล้วปีเล่าที่ขบวนรถหกล้อจากมหาวิทยาลัยมหาสารคามบรรทุกนิสิตนักศึกษาผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียนการเขียนการอ่าน ไปสู่ค่ายวรรณกรรมสัญจร ชมรมวรรณศิลป์ ม.สารคาม นำโดยครูแห่งนักเขียน ไพฑูรย์ ธัญญา หรือ ผศ.ดร.ธัญญา สังขพันธานนท์ ผู้ก่อตั้งขึ้นมาด้วยความรักในโลกอักษร "การเดินทางหาความฝันฤๅมีวันสิ้นสุด" คำขวัญประจำค่ายครั้งที่ 20 ตอกย้ำวันเวลาที่ค่ายแห่งนี้ได้สร้างสรรค์มิตรน้ำหมึกรุ่นใหม่สู่สังคมมากมาย
และแม้ปีนี้ระหว่างเดินทางจะมีฝนโปรยปรายแต่ขบวนรถหกล้อสองแถวที่บรรทุกชาวค่ายมาเต็มคัน ก็ไม่ระย่อต่อสายฝน เดินเครื่องมุ่งฝ่าตรงไปยังอุทยานแห่งชาติภูพาน สกลนคร ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์การต่อสู้ที่สำคัญของไทย เหล่า "นกมือ" น้อยใหญ่ได้ย้อนมาเยือนอีกครั้ง
-1-
เป็นประจำทุกปีที่วิทยากรนักเขียน ศิลปินระดับแนวหน้าเมืองไทยจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาให้ความรู้ ณ ค่ายนกมือแห่งนี้ และเช่นกัน ปีนี้มากันคับคั่งไม่ว่าจะเป็น ชมัยภร แสงกระจ่าง, พิบูลศักดิ์ ละครพล, ธีรภาพ โลหิตกุล, เจน สงสมพันธุ์, ศักดิ์สิริ มีสมสืบ, ไพวรินทร์ ขาวงาม,วีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง, นรีภพ สวัสดิรักษ์, พินิจ นิลรัตน์ และวาสนา ชูรัตน์ รวมทั้งรุ่นพี่จากค่ายวรรณกรรมปีก่อนก็กลับมารวมตัวกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง สมาชิกชาวค่ายอีกกว่า 250 ชีวิต ซึ่งนอกจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ยังมีพันธมิตรจากมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ร่วมสมทบ
สายวันที่ 21 มกราคม 2555 สมาชิกค่ายเข้าแถวลงทะเบียนโดยแยกเป็นกลุ่มตามถนัด 5 กลุ่ม คือ เรื่องสั้น บทกวี สารคดี วรรณกรรมเพลง และการเขียนเพื่อสื่อสารมวลชน ต่อด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายสันทนาการออกมานำเล่นเกมสร้างความคุ้นเคยและสานความสัมพันธ์ให้กับชาวค่าย เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากทุกคนทั่วหน้าไม่มีแบ่งแยกสถาบัน
เมื่อ 13 ปีที่แล้วค่ายวรรณกรรมสัญจรเคยมาที่อุทยานแห่งชาติภูพานแห่งนี้ ในวรรณกรรมสัญจรครั้งที่ 7 และอีก 7 ปีต่อมาวรรณกรรมสัญจรครั้งที่ 14 ก็กลับมาที่ภูพานอีกครั้ง นี่จึงนับเป็นครั้งที่ 3 ที่เหล่านกมือมาเขียนอ่าน ไม่ห่างจากที่พักนัก คือ ผานางเมินจุดชมวิวที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในอุทยาน ป่าเบญจพรรณเบื้องล่างสีเขียวสลับน้ำตาลเบื้องหน้าเงียบสงบ
ยามบ่ายคล้อยนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครได้มาบรรยายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์นักต่อสู้แห่งภูพานคือ ขุนพลภูพาน เตียง ศิริขันธ์ และวีรบุรุษประชาธิปไตย ครูครอง จันดาวงศ์ ครั้งหนึ่ง ณ ภูพานแห่งนี้เคยเป็นที่ฝึกรบของขบวนการนักต่อสู้ "เสรีไทย" ที่ช่วยให้คนไทยรอดพ้นภัยจากการตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งสองเป็นนักการเมืองที่ประชาชนนิยมชมชอบการทำงานเพื่อประชาชนอย่างจริงจัง แต่สุดท้ายวีรบุรุษทั้งสองก็ต้องถูกประหารด้วยความไม่เป็นธรรมจากอำนาจรัฐบาลเผด็จการในสมัยนั้น
พลบค่ำ…ชาวค่ายทุกคนมาชุมนุมกันที่ศาลา ทั้งที่ควรจะเป็นลานกลางแจ้งรอบกองไฟ แต่จำต้องเปลี่ยนสถานที่นัดหมายด้วยฝนฟ้ามีทีท่าจะตกลงมา แต่อย่างไรก็ตามกิจกรรมก็ยังดำเนินไปและชาวค่ายทุกคนพร้อมเพรียงกัน หลังจากกล่าวเปิดค่ายโดย ไพฑูรย์ ธัญญา แล้ว "วรรณกรรมสัญจรอภิปราย" ได้เริ่มขึ้นในหัวข้อ "ประสบการณ์และจินตนาการคือต้นธารของงานเขียน" โดยมีวิทยากรค่ายร่วมอภิปราย พินิจ นิลรัตน์ ให้เกียรติแนะนำประวัติและผลงานวิทยากรแต่ละท่านโดยสังเขปพร้อมดำเนินรายการ
แววตาที่จดจ้องมายังวิทยากรแต่ละท่านอย่างสนใจ บ้างจดคำพูด ความรู้สำคัญที่วิทยากรถ่ายทอดอย่างขะมักเขม้น เหล่านี้เป็นเสน่ห์ของค่ายวรรณกรรมสัญจรอย่างแท้จริง นักเขียนเจ้าของผลงานที่หลายคนเคยอ่าน หลายคนพูดถึงและชื่นชมในสุนทรียรสที่ซึมซับได้จากประสบการณ์ทางการอ่าน วันนี้พวกเขาตัวจริงนั่งต่อหน้า รอยยิ้มแห่งความชื่นชมจึงปรากฏกับเหล่านกมือ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เคยอ่านผลงานของ "เจ้าชายโรแมนติก" พิบูลศักดิ์ ละครพล หรือ บางคนที่เคยได้อ่านกวีเปี่ยมเสน่ห์ "มือนั้นสีขาว" ของ ศักดิ์สิริ มีสมสืบ แม้แต่แฟนหนังสือ "สารคดี" ที่เคยประทับใจในภาพถ่ายสวยๆ และเรื่องราวดีๆ ที่ ธีรภาพ โลหิตกุล ได้เคยถ่ายทอดเอาไว้
รับความรู้และประสบการณ์จากเหล่าวิทยากรแล้ว ทุกคนยังมีโอกาสได้รับฟังเสียงเพลงเพราะๆ สดๆ จาก พิบูลศักดิ์ ละครพล และ ศักดิ์สิริ มีสมสืบ หลังจากนั้นก็แยกไปฟังวิทยากรตามกลุ่มที่ได้เลือกไว้ก่อนเข้านอนเพื่อเตรียมตัวออกเดินป่าในวันรุ่งขึ้น
-2-
หลังจากตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปเดินป่าตามเส้นทางชมธรรมชาติของอุทยานภูพานเพื่อหาแรงบันดาลใจ กิจกรรมที่วรรณกรรมสัญจรจะขาดไม่ได้เลยคือแยกย้ายกันไปตามร่มไม้ หามุมสงบเขียนงาน ภาพที่สวยงามเช่นนี้เวียนมาให้เห็นอีกครั้ง กระดาษปากกาที่นกมือเตรียมมาถูกขีดเขียนแต่งเติมความฝันและส่งไปยังวิทยากรได้อ่าน บ้างหลบไปอยู่ใต้ร่มไม้เงียบๆ ห่างไกล บ้างนั่งริมสระน้ำท่ามกลางยอดหญ้า บ้างจับกลุ่มกันบ่นว่าคิดไม่ออกเขียนไม่ได้…
ธรงวิทย์ ทองเสี่ยน อาจารย์จากราชภัฏศรีสะเกษ เป็นอีกคนหนึ่งที่พาลูกศิษย์มาร่วมค่ายครั้งนี้เล่าว่าตนเองมาค่ายวรรณกรรมเป็นครั้งที่ 5 รู้สึกดีใจกับอาจารย์ นิสิตนักศึกษาทุกคน ส่วนตนเองพาลูกศิษย์มาค่ายด้วยเพราะอยากถ่ายทอดความคิด จินตนาการซึ่งตนเองเคยได้จากค่ายนี้ นักศึกษาได้อะไรเยอะ และต่อไปก็ตั้งใจจะพามาทุกปีและมีความคิดที่จะจัดแบบนี้ที่ศรีสะเกษด้วย
"วรรณกรรมสัญจรเริ่มแรกเป็นกลุ่มเล็กเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ที่เติบโตขึ้นมาด้วยความมุ่งมั่น ด้วยความศรัทธาต่อวิถีชีวิต ดอกผลในวันนั้นได้ส่งผลหลายอย่าง อาจารย์ธัญญา ท่านเป็นมากกว่าครู มอบประสบการณ์นอกห้องเรียนที่หาไม่ได้ที่ไหน"
จนย่ำค่ำ ทุกคนก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ท้องฟ้าเปิดอำนวยดาวเริ่มปรากฏ ชาวค่ายทยอยมาที่ลานรอบกองไฟ และเมื่อพร้อมเพรียงแล้ว ไพฑูรย์ ธัญญา เป็นประธานกล่าวจุดไฟ
"ขอให้ชาวค่ายวรรณกรรมสัญจร รวมทั้งวิทยากรทุกท่าน ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ ได้เกิดพลังทางปัญญา พลังทางความคิด และโชติช่วงชัชวาลเหมือนกับเปลวไฟที่จะเกิดขึ้น ณ บัดนี้"
กองไฟถูกจุดขึ้นเสียงปรบมือและโห่ร้องดังก้องทั่วค่าย ก่อนจะเข้าสู่การวิจารณ์งานเขียนเรียกน้ำย่อยด้วยปาฐกถาพิเศษโดย เจน สงสมพันธุ์ นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย เล่าถึงค่ายวรรณกรรมสัญจรที่เกิดจากการที่อาจารย์ไพฑูรย์ ได้รวบรวมผองเพื่อนคุยกับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยมหาสารคามหรือ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒมหาสารคาม ในเวลานั้น เพื่อบรรเทาความคิดถึงวรรณกรรมที่กำลังซบเซา ในยุคที่วรรณกรรมด้านสังคมกำลังหดหายไปโดยปีแรกมีวิทยากรคือ ไพวรินทร์ ขาวงาม, ชมัยภร แสงกระจ่าง, กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ชาวค่ายวรรณกรรมรุ่นแรกได้เจอกันเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
"ตั้งแต่ปี 2531 เป็นต้นมา ยุ่งอยู่กับการอยู่ในเมืองหลวง ต้องวิ่งแลกเชคเพื่อจะให้ทันกับชีวิตคนทำงานในแต่ละเดือน วุ่นวายจนไม่สามารถจะถอนตัวเองขึ้นในเวลาสิบกว่าปีนั้น จนกระทั่งเหมือนห่างเหินจากกิจกรรมวรรณกรรมไปทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเราเป็นคนจุดประกายเรื่องการรวมตัวของคนวรรณกรรมทั้งในและนอกมหาวิทยาลัยจนกระทั่งเกิดเป็นกลุ่มวรรณกรรมลำน้ำมูล เกิดเป็นสโมสรนักเขียนภาคอีสานในเวลานี้ เกิดกลุ่มหนุ่มสาวของนักเขียนภาคตะวันออก ภาคเหนือและส่วนต่างๆ อีกหลายส่วน"
"วันนี้เมื่อจะคุยกับคนหนุ่มสาว ผมคิดว่าเรื่องราวที่จะเป็นความหวัง หรือมองพวกท่านเป็นความหวัง เพราะว่าเป็นกิจกรรมของนักศึกษาที่ยังคงเหลืออยู่ท่ามกลางวันเวลาที่การเรียนรู้ของเราได้ลากนักศึกษาปัญญาชนไปสู่การเรียนเพื่อให้เอาตัวรอดมากขึ้น ลองดูสิครับว่ากิจกรรมที่เป็นอยู่ในเวลานี้ กิจกรรมที่จะทำให้จินตนาการถึงอนาคตใหม่ๆ มันได้หายไป แต่ของมหาสารคามกลับทวีความนิยมหรือว่ามีคนเข้าร่วมมากขึ้น โดยเฉพาะปีนี้ 20 ปี"
เจนเล่าถึงเรื่องสั้นเมื่อ 40 ปีที่แล้วในขณะที่รัสเซียกำลังแตกแยก เรื่องสั้นชุดสุดท้ายของ ธีโอดอ ดอสโตเยฟกี ภูผาวรรณกรรมแห่งรัสเซีย เรื่อง "ความฝันของคนบ้า" เขียนเมื่อ ค.ศ. 1977 ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในอีก 4 ปีต่อมา ตัวละครเอกคือคนบ้าคนหนึ่ง ที่ภูมิใจในการก้าวพ้นความโง่มาสู่ความบ้า คิดวนเวียนเรื่องฆ่าตัวตาย ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจในคืนหนึ่ง แต่ทันใดมีเด็กหญิงคนหนึ่งมาฉุดแขนให้ไปช่วยแม่ของเธอที่กำลังจะตาย เมื่อรู้สึกว่าโดนขัดขวางจึงถีบเด็กผู้หญิงคนนั้นไป พอฆ่าตัวตายไม่สำเร็จเขาจึงได้คิดเรื่องอื่นจนหลับไปและฝันถึงโลกอุดมคติที่สวยงาม
สิ่งที่เจนเล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะอยากฝากให้วัยรุ่นนำไปขบคิด ว่าเรามีความรู้มากกว่าบรรพบุรุษของเราแต่ไม่ได้หมายความว่าเรามีความเข้าใจมากกว่า
"คนในรุ่นพวกเรานี่แหละเป็นความหวังของประเทศ เป็นความหวังของสังคม ผมมีความหวังกับพวกเราทั้งหลาย และอยากเติมความหวังเติมความฝันอันนี้ว่า สังคมรอพวกเรา รอความสุขที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าจากคนหนุ่มสาวแบบพวกเราทั้งหมดนี้แหละครับ"
มาถึงเวลาวิจารณ์งานเขียนที่นกมือรอคอย ว่าของใครจะได้รับคำชม งานของใครจะถูกนำมาวิจารณ์ ไปจนถึงขั้นที่งานของใครจะถูก "ประจาน" ซึ่งทั้งวิทยากรและชาวค่ายก็พร้อมรับฟังและนำไปปรับปรุงแก้ไข ด้วยความตั้งใจจริงที่จะพัฒนางานเขียนบนเส้นทางวรรณกรรม
เริ่มด้วยกลุ่มบทกวีมี ศักดิ์สิริ มีสมสืบ และ ไพวรินทร์ ขาวงาม เป็นวิทยากรประจำกลุ่ม ศักดิ์สิริ ย้ำหลักการอีกครั้ง
"เขียนอย่างไรก็ได้ขอให้ภาษานั้นสื่อความรู้สึกได้ แต่บางคนไม่ถนัดเขียนกลอนก็มาเขียนกลอน บางคนวรรคสุดท้ายก็ไปลงเสียงเอกอย่างนี้ ก็ทำให้กลอนไม่ไพเราะ อยากจะพูดภาพรวมแล้วก็จะเจาะทีละคน จะสับแหลกทีละคน ใครจะโดนก็…"
เพียงเท่านี้ชาวค่ายก็ร้องโอดโอยด้วยความพรั่นพรึงแกมหรรษา บรรยากาศหลังจากนั้นเต็มไปด้วยความครื้นเครงและเรียกเสียงหัวเราะเมื่อบทกวีที่คัดเลือกมาถูกนำมาอ่าน และใครที่ถูกคัดเลือก ออกไปรับหนังสือ ไพวรินทร์ รับช่วงวิจารณ์ต่อ ยังฝากเรื่องการใช้ภาษาพูดในการเขียนว่าควรหลีกเลี่ยง
กลุ่มต่อมาคือกลุ่มเรื่องสั้น เจด็จ กำจรเดช ฉายเดี่ยวในการอ่านคัดเลือกและวิจารณ์ และแนะนำว่าการเขียนบอกกับเล่าแตกต่างกัน
"เอาแค่ว่ามีการเล่าเรื่อง เรื่องเล่าก็คือต้องเล่า ไม่ใช่บอก ไม่ว่าคุณมีความรู้สึกอะไร มีเรื่องที่จะบอก ก็ต้องใช้ตัวละครเล่า ใช้พฤติกรรมเล่าให้เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช้การบอก เพราะถ้าใช้การบอกก็จะเป็นเรียงความ เช่นบางเรื่องดีนะครับ ใช้มุมมองของรองเท้า ใช้รองเท้าเป็นตัวเล่าเรื่องซึ่งดูน่าสนใจ แต่ว่ายังไม่เป็นเรื่องสั้นเพราะไม่มีประเด็นที่ขัดแย้ง"
กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มการเขียนเพื่อสื่อสารมวลชน นรีภพ สวัสดิรักษ์ และ พินิจ นิลรัตน์ รับหน้าที่วิทยากรวิจารณ์งานแต่ละชิ้นและมอบรางวัล นรีภพ แนะนำการเขียนบทความที่น่าสนใจว่าสิ่งสำคัญคือขึ้นต้นกับลงท้าย "สิ่งสำคัญคือต้องตบท้ายให้เจ็บ ให้คนได้จำเลยว่าบทความนี้ฉันจำได้ ถ้าเปรียบเทียบกับตบหน้าคือฝ่ามือสีแดงยังอยู่บนหน้า เพราะฉะนั้นเราจะจดจำบทความนี้ได้ ว่าสุดยอด"
เวลาล่วงไปเกือบห้าทุ่ม นกมือบางส่วนเริ่มเหนื่อยล้าจากกิจกรรมทั้งวัน ไพฑูรย์ ธัญญา จึงกล่าวให้กำลังใจเพื่อให้ชาวค่ายฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง
"มันมีคำพูดที่รุ่นพี่เขาพูดกันอยู่เสมอนะ เคยเอามาบอกเขาแล้วก็จำเขามาอีกทีหนึ่งว่าใครมาค่ายวรรณกรรมสัญจรนี้ ใครท้อถอย หมดถ่านกลับบ้านนอน ใครยังมีไฟฟอนจงฟาดฟัน"
ไม่ให้เสียเวลา ธีรภาพ โลหิตกุล และ วีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง ออกมามอบรางวัลงานเขียนในกลุ่มสารคดีต่อ เปิดช่วงด้วยเสียงเมาท์ออร์แกนเพลง Cherry Pink and Apple Blossom White จากธีรภาพ สร้างความครึกครื้นให้ชาวค่าย ต่อด้วยกลุ่มวรรณกรรมเพลง โดย พิบูลศักดิ์ ละครพล ที่ค่อนข้างพอใจในผลงานของกลุ่มที่ส่งเข้ามา และผลงานที่ได้รับการคัดเลือกเจ้าของผลงานได้ออกไปร้องเพลงหน้าเวที พิบูลศักดิ์ ฝากถึงนักแต่งเพลงรุ่นเยาว์ด้วยว่าควรใช้ความเปรียบ ใช้ธรรมชาติเข้ามาช่วยจะทำให้เพลงไพเราะยิ่งขึ้นและควรระวังคำตายในเพลงว่าอย่าใช้มากเพราะจะทำให้เพลงน่าฟังน้อยลงไป
ราตรียืดยาวดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย วิทยากรและศิลปินรับเชิญรุ่นพี่ร่วมกันบรรเลงเพลงอย่างสนุกสนาน เหล่านกมือร่วมกันเต้นรำรอบกองไฟอย่างรื่นเริง บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ก่อนแยกย้ายกันพักผ่อน
เพียงหลังจากนั้นไม่นานฝนก็ลงเม็ด
-3-
เช้าของวันสุดท้าย เป็นกิจกรรมพิเศษ เสวนา 20 ปีวรรณกรรมสัญจร "20 ปี ผ่านไป เราได้อะไรจากค่ายวรรณกรรมสัญจร" โดยศิษย์เก่าที่เคยเข้าร่วมวรรณกรรมสัญจรตั้งแต่ยุคแรก มาเล่าเปลี่ยนประสบการณ์ ทั้งการจัดค่าย การเดินทาง เรื่องสนุกๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างค่ายในแต่ละปี และความรู้สึกของรุ่นพี่ที่ผูกพันกับค่าย จนบางคนเล่าไปน้ำตารื้นไปด้วยความซาบซึ้งต่อค่ายวรรณกรรมสองทศวรรษนี้
แล้วชาวค่ายก็มีโอกาสได้ต้อนรับศิลปินแห่งชาติ สุรชัย จันทิมาธร หรือ หงา คาราวาน ในการแสดงดนตรีและบรรยายพิเศษเรื่อง "จากนักเขียนสู่นักดนตรีประสบการณ์มากมี ของ หงา คาราวาน" โดยมี เจน สงสมพันธุ์ รับหน้าที่ดำเนินรายการ ประสบการณ์ที่สั่งสมมาของ 'สหายพันตา' ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างน่าประทับใจ และปิดท้ายด้วยการบรรเลงเพลงซึ่งมีเนื้อหาเข้ากับวรรณกรรมทั้ง 3 เพลง คือ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ , จิตร ภูมิศักดิ์ และ ปณิธาน ที่ตอกย้ำคำถามกับเราทุกคนว่าเราจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร
หลังมื้อเที่ยง ตัวแทนนิสิตจากสถาบันต่างๆ ที่เข้าร่วมออกมากล่าวความรู้สึก ศุภชัย ชูรัตน์ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม กล่าวว่าไม่ใช่เพราะโลกกลมหรือพรหมลิขิตที่ทำให้ชาวค่ายผู้มีใจรักในงานวรรณกรรมได้มาขีดเขียนอักษรบนอุทยานแห่งชาติครั้งนี้ ที่สำคัญอยากจะขอขอบคุณบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้และการสร้างงานวรรณกรรม ขอขอบคุณโครงการวรรณกรรมสัญจร ขอบพระคุณครูอาจารย์วิทยากรผู้นำแสงศรัทธาในการสร้างสรรค์งาน
"ถ้าผมก้าวเท้าออกจากอุทยานแห่งนี้ ผมขอมองกลับมาแล้วพูดกับหัวใจตัวเองเบาๆ ว่า ผมมาประทับรอยเท้าไว้ที่อุทยานแห่งนี้ แต่อุทยานแห่งนี้จะประทับความทรงจำไว้กับผมและเพื่อนนักเดินทางตลอดไป"
ส่วน วันเพ็ญ จันดรา นักศึกษาปี 1 จาก ม.ราชภัฏศรีสะเกษ เปิดเผยว่ามาค่ายแบบนี้เป็นครั้งแรกกับเพื่อน 10 คน ทุกคนก็มาเป็นครั้งแรก ประทับใจในแนวคิดของนักเขียนจากที่ได้สัมผัส ชอบที่นักเขียนมองโลกในอีกแง่มุมหนึ่ง ทำให้เรามีแนวดำเนินชีวิตที่แตกต่างออกไป และประทับใจในการใช้ชีวิต การแต่งตัวของนักเขียนที่ดูเรียบง่าย แสดงถึงความเป็นตัวตนของเขาจึงประทับใจมาก
อีกหนึ่งคนที่เคยกล่าวไว้ว่าจะมาวรรณกรรมสัญจรทุกปี พินิจ นิลรัตน์ หรือ วรรณฤกษ์ เล่าให้ฟังว่ามีความผูกพันตั้งแต่มาครั้งแรก ครั้งที่ 11 เป็นต้นมาจนถึงครั้งที่ 20 ไม่เคยขาดเลย นี่เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความผูกพัน ทั้งอาจารย์ธัญญา ผู้ซึ่งเป็นคนจุดประกาย ก่อกองไฟขึ้นมา และเหมือนกับว่าปีหนึ่งมาเจอเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ หนึ่งครั้ง บางปีเขาไม่ได้เชิญก็มาเอง ในจำนวน 10 ครั้งติดต่อมานี้ ที่ได้รับเชิญมาอย่างเป็นทางการ 7 ครั้ง แล้วที่ไม่ได้เชิญก็มาเป็นวิทยาเกิน มันเป็นความรู้สึกเหมือนพี่เหมือนน้องมากกว่า ตนเองเป็นคณะทำงานของโครงการจัดค่ายหลายๆ ค่าย รู้สึกไม่ผูกพันเหมือนที่นี่ คืออบอุ่น เป็นกันเอง ไม่ว่าวิทยากร ทั้งผู้เข้าค่าย แล้วก็เจ้าภาพ เป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย ปีไหนขาดไปก็คงจะเหมือนขาดอะไรบางอย่าง
"ครั้งที่ 11 ที่เขาใหญ่ ก่อนหน้านั้นพี่ไพฑูรย์ (ไพฑูรย์ ธัญญา) เชิญ 2-3 ปีติดต่อกันแต่ไม่ได้มาเลย ตั้งแต่นาแห้วที่ จ.เลย ปีนั้นบังเอิญมีนักศึกษาเอกไทยจากมหาวิทยาลัยมหาสารคามไปฝึกงานด้วยที่สยามรัฐสองคน ก็เลยส่งน้องสองคนมาทำข่าวแล้วก็กลับไปเขียน แต่ปีที่ 11 เขาไม่ได้เชิญหรอก ติดรถเขามา จำได้เลยว่าเปิดประตูยังไม่ทันลงจากรถ พี่ฑูรย์ บอก "มาเลย มาเลย มาช่วยกัน คุณมาก็ดีแล้วมาช่วยเป็นวิทยากรด้วย" ปีนั้นก็เข้าไปช่วยในกลุ่มสื่อสารมวลชน เคยพูดว่าจะมาค่ายวรรณกรรมสัญจรทุกปี ถ้าเชิญก็มา ไม่เชิญก็มาถ้ารู้ข่าว บางปีติดงานอื่นก็พยายามเลี่ยงงานอื่นมา"
"อาจารย์ธัญญาเป็นมากกว่าอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เป็นนักเขียนที่มีพลัง โดยศักยภาพการเขียนของอาจารย์ก็เป็นที่ยอมรับอยู่แล้วในผลงาน เป็นนักวิชาการและนักเขียนในคนคนเดียวกัน ทั้งมีใจมุ่งมั่นที่จะสร้างให้เด็กหันมาสนใจการอ่านการเขียน ตรงนี้เป็นพลังที่พูดแล้วขนลุก ความตั้งใจของอาจารย์สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆ ไต่เต้าเข้ามาสู่วงการเขียน วงการสื่อสารมวลชน ศิษย์จากค่ายวรรณกรรมสัญจรได้ไปทำงานในวงการสื่อสารมวลชน วงการนักเขียน เป็นบรรณาธิการ เป็นผู้สื่อข่าว อะไรต่างๆ"
"หลายคนที่จบไปเป็นอาจารย์ก็มีศักยภาพแล้วกลับมาก็พาลูกศิษย์มาค่าย เป็นการต่อยอดของค่าย ผมถือว่าเป็นการปลูกเมล็ดพันธุ์วรรณกรรมแล้วต่อยอดออกไปเรื่อย ถ้าเกิดเราผลิตอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันจะแทรกซึมไปทุกวงการ จากสังคมปัจจุบันที่ไปไกลเลยเถิด ฉาบฉวย มันสามารถที่จะดึงมาสู่สังคมคุณภาพได้ นี่อาจเป็นจุดเล็กๆ ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป พลังจากค่ายวรรณกรรมสัญจรซึ่งผ่านมาถึง 20 ปี ผมว่าไม่ใช่ธรรมดา"
สุดท้าย ไพฑูรย์ ธัญญา ผู้ก่อตั้งค่ายวรรณกรรมสัญจรและขับเคลื่อนผลักดันมาตลอด 20 ปี กล่าวขอบคุณคณะทำงาน ผู้สนับสนุน และทุกคนที่มีส่วนร่วม ก่อนจะทำพิธีรับมอบหน้าที่ชมรมวรรณศิลป์ให้นักศึกษารุ่นต่อไปรับช่วงต่อ เขาได้ทิ้งท้ายไว้ว่า
"… ผมคงไม่ต้องพูดว่าวรรณกรรมสัญจรให้อะไรกับเราบ้างเพราะทุกคนที่มาที่นี่ก็คงได้อะไรกลับไปบ้างไม่มากก็น้อย ที่สำคัญก็คือทุกคนก็คงมีความฝัน มีจินตนาการ มีปณิธานของตัวเอง ขอให้ทุกคนไปถึงปลายทางความฝันความตั้งใจ ถ้าหากค่ายวรรณกรรมสัญจรได้ปลุกอะไรในตัวตน ในจิตวิญญาณของพวกเราบ้างก็ขอให้เป็นประวัติศาสตร์ในความทรงจำของแต่ละคนที่จะได้รำลึกว่าครั้งหนึ่งเราเคยได้มาร่วมกันที่นี่ … "
มือทุกมือจับประสาน เพลง "ปีกนกแห่งศรัทธา" ถูกร้องขับขาน ปีต่อไปภาพแบบนี้อาจเกิดขึ้นอีกครั้ง และอยู่ในความทรงจำของเหล่านกมือตลอดไป เพลงมาถึงท่อนสุดท้าย งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ถ่ายภาพที่ระลึก กระเป๋าเป้ถูกโยนขึ้นบนหลังคาสองแถว
แต่การเดินทางหาความฝันหรือมีวันสิ้นสุด
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.bangkokbiznews.com