Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

10 คำถามกับ ปานศักดิ์ นาแสวง กรณีงานเขียนและฝูงแร้งบนซากศพ

 

 
เขาเป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังโลดแล่นอยู่บนถนนเรื่องสั้นในฐานะที่เป็นนักเขียนคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามอง
 
ปานศักดิ์ นาแสวง เป็นนักเขียนชาวลพบุรี เขาเป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังโลดแล่นอยู่บนถนนเรื่องสั้นในฐานะที่เป็นนักเขียนคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามอง แม้ในทุกวันนี้ต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อพบแพทย์สำหรับอาการโรคหัวใจที่เคยผ่าตัดเมื่อหลายปีก่อน  แต่อีกด้านหนึ่งของหัวใจเขานั้นกลับทุ่มเทให้กับการเขียนหนังสือ
 ทำไมและเพราะอะไรเขาจึงเทใจให้กับงานเขียนวรรณกรรม?
 
 
1.อะไรที่จุดประกายให้คุณอยากเป็นนักเขียน?

ผมเห็นแม่ของผมชอบเขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆ พอผมเข้าโรงเรียนก็ตื่นเต้นกับหนังสือมากมายที่มีอยู่ในห้องสมุด ในเวลานั้นผมได้อ่านหนังสือวรรณกรรม จนผมมาเรียนมัธยมปลายในตัวเมือง แม่จึงได้ซื้อโลกหนังสือ  ช่อการะเกดและฟ้าเมืองทองให้อ่าน ผมจมตัวเองอยู่กับเรื่องเล่า ทำให้เกิดจินตนาการและอยากจะเขียนหนังสือ  มีอยู่ช่วงหนึ่งผมได้มีโอกาสเขียนในหนังสือพิมพ์โรงเรียน ทำให้ผมรู้ว่าตัวหนังสือบนหน้ากระดาษนั้นมีชีวิตของตัวละครมากมาย มีความสุข ความเศร้าและความตายปรากฏอยู่ในหนังสือ แม่ก็ซื้อหาหนังสือมาให้ผมอ่านโดยไม่เคยที่จะปฏิเสธคำขอของผม
 
แต่แม่จะสั่งซื้อผ่านทางไปรษณีย์  จึงไม่แปลกใจเลยว่าเรื่องสั้นของผมจะมีตัวละครที่เป็นแม่อยู่ในเรื่องและพ่อเฒ่ายังเป็นพรานจึงมีเรื่องราวจากป่าซึ่งเล่าผ่านปากแม่เฒ่ามาสู่ตัวผม ความมหัศจรรย์ของสิ่งเร้นลับได้ก่อตัวอยู่ในตัวผมมานานแล้ว เหมือนจะรอวันปะทุออกมา ทำให้ผมจมอยู่กับเรื่องเล่า ส่วนในสายตระกูลของพ่อจะมีเรื่องเล่าในความเป็นนักเลงมากกว่า ผมหรือใครสักคนในตระกูลจะถูกผลักดันจากบางสิ่งบางอย่างให้เขียนออกมาเป็นตัวหนังสือเพื่อบันทึกเรื่องราวต่างๆ เอาไว้ในหน้ากระดาษ เพราะเรื่องเล่าอยู่ในศีรษะจึงต้องรอคอยเวลาของตัวละคร
 
 
2.การอ่านทำให้คุณอยากจะเป็นนักเขียน?  
 
ใช่ครับ…เมื่ออ่านหนังสือมากๆ ก็อยากจะเขียนขึ้นมาบ้าง ก่อนหน้านั้นจะเขียนเป็นบันทึกประจำวัน  และเป็นจดหมายหลายร้อยฉบับที่เขียนถึงภรรยา  (ยิ้ม) เวลานั้นผมไม่รู้ว่าจะเขียนอย่างไร แต่มีผลดีกับผมในวันนี้ เพราะทำให้มีภาษาเฉพาะตัว
 
3.คุณเคยรับราชการมาก่อน มีผลอย่างไรกับการเขียนหนังสือ?
 
เมื่อก่อนผมรับราชการกรมป่าไม้จึงมีเรื่องราวเกี่ยวกับป่า เรื่องของสัตว์ การทำไม้และชีวิตของคนในป่า ผมยังเคยเป็นคนสวนปลูกดอกไม้ ทำให้รู้จักดอกไม้หลากหลายพันธุ์ ไม่ว่าจะทำเรื่องราวใดๆ มีสิ่งหนึ่งที่อยู่ติดตัวผมเสมอคือการอ่านหนังสือ ผมหลงใหลและกระหายที่จะอ่านหนังสือวรรณกรรมและหนังสือที่สะสมก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นจนบางครั้งผมก็ตกใจเหมือนกันที่มีหนังสือมากมายอยู่ในบ้าน
 
4.ทราบมาว่าคุณมีการรวมกลุ่มเพื่อนๆ กันทำกิจกรรมทางวรรณกรรมด้วย?
 
ผมอยู่ในคณะเขียนที่ทำหนังสือชายคาเรื่องสั้น (มายากลในภาวะฉุกเฉิน) ออกมาเป็นลำดับแรกโดยมีพี่มาโนช  พรหมสิงห์ ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการ พี่อนุสรณ์  ติปยานนท์ ติดต่อด้านการพิมพ์ มีภู กระดาษ  ประสานงานกับคณะเขียนที่จะมีชิ้นงานตีพิมพ์ในเล่ม โดยมีการวางกรอบ กฎเกณฑ์ให้ทุกคนมีสิทธิ์วิจารณ์เรื่องสั้นเหล่านั้นได้  ยกเว้นเรื่องของตัวเอง คนที่มาร่วมกันทำงานจะต้องมีความเสียสละเวลา เพราะยังไม่มีค่าตอบแทนให้  คณะเขียนทุกคนอยากจะเห็นการเติบโตของหนังสือชายคาเรื่องสั้น ซึ่งกำลังเดินอยู่บนเส้นทางวรรณกรรมให้ยาวนาน
 
ในวันข้างหน้าก็จะมีการนัดหมายทำกิจกรรมตามสถานศึกษา เพื่อให้นักอ่านหรือคนที่สนใจการเขียนได้พบปะพูดคุยกับนักเขียน อย่างไรก็ตามผมขอฝากช่วยกันอุดหนุนหนังสือชายคาเรื่องสั้นด้วยครับ ผมยังร่วมกลุ่มฟ้าสีครามซึ่งมี  กีรติ สำเนียงที่ได้รวมก่อตั้งเพื่อทำงานกิจกรรมต่างๆ โดยผ่านวรรณกรรม ศิลปะและบทเพลง เชื่อมโยงสู่ชุมชนและเยาวชนในท้องถิ่น มีการจัดอภิปราย เสวนา ในรูปแบบต่างๆ เป็นการเปิดพื้นที่ของการแสดงออกทางความคิดนำมาสู่การเขียนไม่ว่าจะเป็นเรื่องสั้น บทกวี ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากสถานศึกษาเป็นอย่างดี
 
โดยเฉพาะผู้อำนวยการ กลิ่นผกา รอดอัมพร ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนเทศบาล ๔ ระบบสาธิตเทศบาลเมืองลพบุรี ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ได้เปิดโอกาสให้นักเขียนได้เข้ามาทำกิจกรรมกับทางโรงเรียน หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ผมกับชาติวุฒิ บุญยรักษ์ แก้มหอมก็ได้รับความอนุเคราะห์จาก ผู้อำนวยการมาโดยตลอด ส่วนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี มี ผศ.ประทีป เหมือนนิลและคณาจารย์ภาควิชาภาษาไทยได้ให้การสนับสนุนในการจัดกิจกรรม
 
5. แล้วระหว่างความเป็นนักเขียนกับสังคม?
 
ผมเห็นด้วยครับ นักเขียนควรจะเขียนในสิ่งที่นักเขียนรู้ ส่วนตัวผมทำที่อยากจะทำและรักที่จะทำ จึงได้เขียนถึงคนไทเบิ้งซึ่งเป็นคนพื้นบ้านพื้นเมือง พูดสำเนียงเหน่อโคราชและผมมีเชื้อสายไทเบิ้ง ในเรื่องของผมเจือด้วยกลิ่นอายของรากเหง้าทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตไทเบิ้ง งานของผมจึงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีน้ำเสียงของตัวเอง โลกตัวหนังสือของผมจึงมีความรู้สึกของตัวละคร เรื่องเล่าในตำนานพื้นบ้าน เพราะในสังคมมีความหลากหลายของชาติพันธุ์ จึงไม่จำเป็นต้องบังคับ หรือตีกรอบให้คนต้องทำตัวเหมือนกัน ผมจะพูดเสมอว่าป่านั้นมีต้นไม้มากมายหลายพันธุ์ต่างพึ่งพาอาศัยกัน อีกทั้งยังมีสัตว์ซึ่งดำรงชีวิตอยู่ในนั้น คนก็จำเป็นต้องมีความหลากหลายเพื่อทำให้สังคมมีความสุข สงบและสันติ
 
 
6.ถ้าไม่เขียนแล้วคุณอยากทำอะไร?
 
ผมคงเป็นคนอ่านหนังสือครับ เพราะหนังสือกับความมีตัวตนของผมนั้นแยกกันไม่ออก ผมเชื่อมั่นในความมีชีวิต จิตวิญญาณของตัวหนังสือ และอาจเป็นคนปลูกต้นไม้ก็ได้ แต่ผมไม่ใช่นักขายต้นไม้ที่ดี มีแต่ปลูกเพื่อเอาไว้ชื่นชมความสวยงาม โดยเฉพาะต้นลั่นทมไม่ว่าดอกจะสีอะไรเป็นดอกไม้ที่ผมชอบมากที่สุดครับ
 
 
7.แล้วเบื้องหลังรวมเรื่องสั้นเล่มล่าสุดของคุณที่ชื่อ- ฝูงแร้งบนซากศพ ?
 
ที่มาที่ไปนั้นไม่มีอะไรซับซ้อนหรอกครับ พี่จรัญ ยั่งยืน ได้บอกให้ผมลองส่งไปให้สำนักพิมพ์มติชนดูบ้าง  เพราะเห็นว่าผมมีเรื่องสั้นที่ได้ตีพิมพ์ในนิตยสารต่างๆ มากพอที่จะรวมเล่มได้ ผมคงขอพูดถึงเรื่องสั้นบางเรื่อง  อย่างเช่น แม่เฒ่ากับเสียงโซ่เกรียวกราวของชายวิกลจริต เป็นเรื่องสั้นที่ผมรักมากที่สุด เป็นชีวิตจริงของแม่เฒ่ากับตาของผมซึ่งเป็นครู ได้ถูกทำร้ายร่างกายจนวิกลจริต แม่เฒ่าจึงได้ล่ามโซ่ที่ขาของตา เพราะถ้าไม่ล่ามเอาไว้เวลากลางคืนตาชอบหนีไปข้างนอกแล้วถูกทำร้ายร่างกาย ในวันที่ตาเสียชีวิตแม่ใหญ่ได้ไขกุญแจปลดเอาโซ่นั้นออก   เพราะก่อนหน้านี้แม่เฒ่าได้เสียชีวิตไปนานแล้วกว่า 30 ปีที่ถูกล่ามโซ่ แม่กับลูกก็ยังคงห่วงใยและรักกันตลอดมา 
 
สำหรับเรื่อง ฝูงแร้งบนซากศพ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในป่าที่ผมเคยทำงานอยู่  ผมเพียงแต่นำสรรพนามบุรุษที่ 1 สรรพนามบุรุษที่ 2 สรรพนามบุรุษที่ 3 เอามาใส่เป็นชื่อตัวละคร ตีนท่าน้ำ,มาตุภูมิ,ลิงลพบุรี เป็นรากเหง้าของคนไทเบิ้งและลิงที่อยู่คู่ศาลพระกาฬ เพลงเห่ศพและเนื้อหนังกอดรัดกระดูก  เกิดจากการพาลูกสาวไปเที่ยวป่าช้าแขก  ผมเห็นต้นลั่นทมมันสวย เหมือนจมอยู่กับความเศร้า ผมเห็นตัวละครอยู่ในเรื่องเล่าจึงได้เขียนออกมาเป็นเรื่องสั้น  เรื่องสั้นในเล่มนี้ควรค่าอย่างยิ่งที่ผมภูมิใจเพราะว่ามันเป็นตัวตนของผม ผมยอมรับว่าเรื่องสั้นของผมอ่านแล้วเหนื่อย มีความอึดอัดและความหม่นเศร้าไร้ทางออกหรือความหวังใดๆ อย่างน้อยผมก็ได้ยืนยันที่จะเป็นตัวเอง  ยืนยันในความเชื่อจนกว่าชีวิตจะหาไม่
 
8.กรณีวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง- แม่ค้างคาวกับลูกนกกระจิบ ?
 
สำหรับแม่ค้างคาวกับลูกนกกระจิบ ควรจะเรียกว่านิทานสำหรับเด็กมากกว่าครับ เพราะลูกสาวผมชอบฟังนิทาน แรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องนี้คือ ทุกวันนี้ผู้คนเริ่มขาดความเอื้ออาทร ไม่สามารถพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน อยู่กันอย่างโดดเดี่ยว ทำให้ผมหวนคิดถึงวัยเยาว์ที่มีชีวิตโอบล้อมด้วยธรรมชาติ การช่วยเหลือกันจึงนำทั้งหมดนี้มาผูกเป็นเรื่องราวสำหรับเด็กๆ เหมือนกับลูกนกกระจิบซึ่งต้องการแม่มาปกป้อง ดูแล เมื่อแม่นกหายไปนาน ความเป็นแม่ของค้างคาวจึงทนไม่ได้ที่เห็นลูกนกกระจิบหิวจนร้องไห้
 
9.ก่อนจะมาเขียนหนังสือมองวงการหนังสือเป็นอย่างไร?
 
ผมมองว่าวงการหนังสือมีความเป็นพี่เป็นน้องสำหรับนักเขียนด้วยกัน  และผมยังเชื่อมั่นในอำนาจวรรณกรรมอยู่เหมือนเดิม แต่การเป็นนักเขียนในปัจจุบันนั้นมีช่องทางมากมายที่ทำให้คนเข้ามาเป็นนักตากอากาศ แล้วคนเหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไปจะเหลือก็แต่เพียงคนทำงานเขียนจริงๆ ซึ่งยังเชื่อมั่นในอำนาจวรรณกรรม
 
10 .สิ่งที่คุณอยากจะทำมากที่สุดในตอนนี้ นอกเหนือจากเขียนหนังสือ?
 
ผมอยากกลับไปในอดีต  เพื่อที่จะนำหนังสือของผมไปให้แม่ได้อ่าน เพราะว่าแม่ได้เสียชีวิตก่อนที่ผมจะมีหนังสือเป็นเล่มออกมา มีภาพหนึ่งที่ผมจดจำมาตลอด ในงานศพของแม่  แม่ใหญ่ซึ่งเป็นแม่ของแม่ได้อ่านเรื่องสั้น  ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 6 ซึ่งได้ตีพิมพ์ในเนชั่นสุดสัปดาห์ นางอ่านให้ลูกสาวซึ่งนอนอยู่ในโลงศพ เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างผมกับแม่ ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมเพียงแต่จะนำหนังสือไปให้แม่ได้อ่าน
 
เพราะในวันที่แม่ไม่อยู่ เรื่องนี้ได้ตีพิมพ์พอดี เป็นแม่นั่นแหละที่ได้ทำให้ผมมาเป็นคนเขียนหนังสือ
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ โดย : ติณ นิติกวินกุล