Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

10 ปีหนังสือดีเพื่อเยาวชน’ พันธกิจเพื่ออนาคตของชาติ

 

 
ผ่านวันเวลามา 10 ปีแล้ว ที่มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็กร่วมปลูกฝัง พร้อมทั้งกระตุ้นให้เด็กและเยาวชนไทยรักการอ่าน
 
 
ดังนั้น'มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก' จึงเปิดตัวโครงการนี้ในงานเทศกาลหนังสือเด็กและเยาวชน ครั้งที่ 9 เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2554 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเป็นเวทีฉลองวันเกิดหนึ่งทศวรรษ โดยมีแขกเหรื่อมาร่วมแสดงความยินดีอย่างอุ่นหนาฝาคั่งตามคาด และมีแขกคนสำคัญหรืออีกนัยหนึ่งคือเจ้าภาพร่วม คือบรรดาสำนักพิมพ์ชั้นนำของเมืองไทยถึง 7 แห่ง ได้แก่ นานมีบุ๊คส์, เนชั่น เอ็กมอนท์ เอ็ดดูเทนเมนท์, บันลือบุ๊คส์, แพรวเยาวชน, เพิร์ล พับลิชชิ่ง, สกายบุ๊กส์ และสถาพรบุ๊คส์
 ในโอกาสนี้เองมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็กและสำนักพิมพ์ทั้ง 7 แห่งได้จับมือกันร่วมเปิดตัวโครงการ '10 ปี หนังสือดีเพื่อเยาวชน' เพื่อคัดสรรวรรณกรรมเยาวชนสู่สุดยอดวรรณกรรมต้นแบบด้วยแนวคิด 'หนังสือสร้างคน' สำหรับเยาวชนอายุ 10-18 ปี เพื่อเผยแพร่สู่สังคมไทยให้เกิดค่านิยมอันดีงามตั้งแต่การปลูกฝังให้เยาวชนรักการอ่าน จนกระทั่งสร้างคนดีด้วยการอ่านหนังสือ
 คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ประธานมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก กล่าวในงานเสวนาพิเศษ 'รวมพลังสำนักพิมพ์ไทย วรรณกรรมดีเพื่อ 10 ปี มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก' ว่า
 "มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็กก่อตั้งขึ้นมาด้วยความมุ่งหวังที่จะกระตุ้นและปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนในช่วงอายุ 0-25 ปี มีนิสัยรักการอ่าน โดยมีภารกิจหลักในการสรรสร้างกิจกรรมที่หลากหลายภายใต้แนวคิด 'นำหนังสือสู่เด็ก นำเด็กสู่หนังสือ' โดยมูลนิธิฯ ยังเป็นสมาชิกของ The International Board on Books for Young People ซึ่งมีสมาชิกจาก 73 ประเทศทั่วโลก โดยเครือข่ายองค์กรหนังสือเพื่อเด็กต่างมีความเชื่อมั่นร่วมกันว่าเด็กและเยาวชนทุกคนมีสิทธิอันชอบธรรมในการอ่าน จึงถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องผลิต เสาะหา และแนะนำหนังสือดีๆ ให้แก่เด็กและเยาวชน นอกจากหนังสือเรียนที่มีคุณภาพแล้ว เด็กทุกคนควรมีโอกาสอ่านหนังสือการ์ตูน หนังสือภาพ หนังสืออ้างอิง ตลอดจนวรรณกรรมที่อาจสร้างแรงบันดาลใจและอาจเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาได้"
 สำหรับหนังสือทั้ง 7 เล่ม ในโครงการ ที่ถูกหมายมั่นปั้นมือว่าจะนำพาเด็กและเยาวชนก้าวสู่สังคมอุดมปัญญานั้นไม่ได้มาจากคนอื่นคนไกล ทว่าทั้งมวลล้วนเป็นผลผลิตจากบรรดาสำนักพิมพ์เจ้าภาพร่วมทั้ง 7 แห่งนั่นเอง  ได้แก่ 'เมืองอสุรกาย' / สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์, 'แปดขา สามคน บนโลกสองใบ' / สำนักพิมพ์แพรวเยาวชน, 'เด็กหญิงรถถัง' / สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์, 'Mirror Scape ทะลุมิติมายา' / สำนักพิมพ์เนชั่น เอ็กมอนท์ เอ็ดดูเทนเมนท์ จำกัด, 'เด็กวุ่นวายกับเจ้าชายเจ้าปัญญา' / สำนักพิมพ์บันลือบุ๊คส์, 'โรงเรียนมหาเวท' / สำนักพิมพ์สกายบุ๊กส์ และ 'ลิลลี่กับค่าไถ่ของโจรสลัด' / สำนักพิมพ์เพิร์ล พับลิชชิ่ง
 สุวดี จงสถิตย์วัฒนา กรรมการผู้จัดการบริษัท นานมีบุ๊คส์ จำกัด กล่าวว่า "ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้ร่วมมือกับมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็กและอีก 6 สำนักพิมพ์ คัดสรรหนังสือดีเข้าร่วมโครงการ ซึ่งนับเป็นโครงการที่ยอดเยี่ยม คาดว่าน่าจะกระตุ้นให้เยาวชนไทยหันมารักการอ่านกันมากขึ้น มั่นใจได้แน่นอนว่าวรรณกรรมเยาวชนทั้ง 7 เล่มล้วนนำเสนอเนื้อหาสาระที่มีประโยชน์ต่อเยาวชน ขณะเดียวกันก็ให้ความสนุกสนาน ส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ด้วย"
 เมืองอสุรกาย เป็นผลงานนักเขียนมือรางวัลระดับโลก นักเขียนคนนี้เขียนเฉพาะวรรณกรรมให้ผู้ใหญ่อ่าน เล่มนี้เป็นเล่มแรกที่เขาเขียนให้กับเด็ก เขียนเล่มแรกก็ได้รางวัลจากซานฟรานซิสโก แล้วก็ได้รางวัลหนังสือเยาวชนดีเด่นของบุ๊คส์แม็กกาซีน
 "หนังสือเล่มนี้จะสร้างให้เด็กรักธรรมชาติและหวงแหนในผืนแผ่นดินของตัวเอง อเล็กซ์ ตัวเอกของเรื่องต้องไปอยู่กับย่า ซึ่งย่าเป็นนักข่าวของ National Geographic ไปทำข่าวในป่าอะเมซอนซึ่งได้ข่าวว่ามีอสุรกายอยู่ ปรากฏว่าอสุรกายตัวเหม็นมาก แค่ได้กลิ่นก็เป็นลมแล้ว เขาก็งงว่าอสุรกายทำไมไปอยู่ในป่าอะเมซอนได้ อเล็กซ์ก็ไปเจอนาเดียซึ่งเป็นลูกของผู้นำทาง เด็กสองคนนี้ได้เข้าไปช่วยฟื้นฟูชนเผ่าอินเดียนแดงซึ่งได้ชื่อว่าคนในสายหมอก สามารถช่วยปกป้องไม่ให้นายทุนเข้าไปรุกรานได้ ซึ่งถ้าใครได้ดูภาพยนตร์เรื่อง AVATAR ก็จะคล้ายๆ อย่างนั้น แล้วก็เราจะรู้สึกประทับใจ ชนเผ่าจริงๆ แล้วเขาไม่ต้องการความเจริญ แต่เราชาวเมืองไปยัดเยียด บางทีเป็นสิ่งที่เคลือบแฝง แกล้งทำเหมือนจะไปช่วยชาวอินเดียนแดงแต่จะไปหวังตักตวง"
 ด้าน ดร.นันทพร วงษ์เชษฐา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนชั่นเอ็กมอนท์ เอ็ดดูเทนเมนท์ จำกัด ในเครือ เนชั่น กรุ๊ป เปิดเผยว่า "เราผลิตหนังสือสำหรับเด็กและเยาวชนภายใต้นโยบายผลิตหนังสือดี ส่งเสริมทักษะ จึงยินดีที่เข้าร่วมโครงการกับมูลนิธิในครั้งนี้เป็นอย่างมาก เพราะต้องยอมรับว่าเด็กและเยาวชนอ่านหนังสือน้อยลง โครงการนี้อาจจะช่วยส่งเสริม ปลูกฝัง วัฒนธรรมการอ่านให้เด็กและเยาวชนมากขึ้น ซึ่งในด้านธุรกิจนั้นยังเป็นการแสดงความสามัคคีของทุกสำนักพิมพ์ร่วมกันทำโครงการดีๆ เพื่อสังคม แสดงจุดยืนร่วมกันที่จะผลักดันหนังสือดีสู่สังคมไทย
 สำหรับ 'Mirror Scape ทะลุมิติภาพมายา' ผลงานของ ไมค์ วิก ศิลปินภาพและนักเขียนที่มีผลงานหนังสือขายดีทั่วโลกซึ่งติดอันดับติดต่อกัน 57 สัปดาห์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ เมล จิตรกรหนุ่มฝึกหัด ที่กำลังมีความสุขกับความฝันที่เฝ้ารอมานานในสตูดิโอของจิตรกรเอก นอกจากจะได้พบเพื่อนแท้สองคนคือ เรนและลูโด เขายังค้นพบโลกสุดแสนพิสดาร และสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ที่มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ… เป็นโลกซึ่งมีคนรับใช้ที่ใบหน้าหมุนเปลี่ยนได้อยู่ในบ้านมีขา รวมทั้งเขาวงกตพีระมิดย้อนเวลา และขณะนี้กองทัพขององค์กรมิสเทอรี หน่วยที่ห้าอันร้ายกาจได้บุกเข้าไปยังโลกที่อันตรายและมีมนตร์ขลังนี้แล้ว สตูดิโอธรรมดาจึงกลายเป็นสมรภูมิสงครามสุดระทึก ที่พู่กันต้องเปลี่ยนเป็นสถานะเป็นอาวุธร้าย
 โชติกา อุตสาหจิต รองประธานกลุ่มบริษัทบันลือกรุ๊ป บอกว่า "ที่ผ่านมาสำนักพิมพ์บันลือบุ๊คส์ได้ผลิตหนังสือการ์ตูนที่นอกจากจะให้ความสนุกสนาน เพลิดเพลินแล้วยังแทรกความรู้และคำนึงถึงเยาวชนมาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ผลิตหนังสือการ์ตูนชุด Edu'toon หนังสือชุดความรู้มหาสนุกออกวางจำหน่าย และสุดพิเศษ ได้จัดทำหนังสือวรรณกรรมเยาวชนแสนสนุกเปิดโลกธรรมหรรษากับเณรน้อยน่ารัก พร้อมสาระความรู้คู่ความดีชื่อ 'เด็กวุ่นวายกับเจ้าชายเจ้าปัญญา' หนังสือมีภาพประกอบที่สวยงาม นำเสนอเนื้อหาเข้าใจง่าย เราหวังว่าเยาวชนที่ได้อ่านจะชื่นชอบและสามารถนำข้อคิดจากหนังสือนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย"
 นอกจากนี้ โชติกา ยังเล่าด้วยว่า เดิมทีที่ได้รับการชักชวนให้ร่วมโครงการ ก็คิดว่าจะส่งหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งบริษัทซื้อลิขสิทธิ์มาแล้ว เป็นหนังสือดีมากชื่อ 'ปริศนาสมบัติอัจฉริยะ' ปรากฏว่าทางมูลนิธิฯอยากให้เป็นการเปิดตัวครั้งแรก หนังสือเล่มนี้จึงได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นใหม่เพื่อโครงการนี้โดยเฉพาะ ตั้งแต่ทีมวาด ทีมคิดเรื่อง 
 และแรงบันดาลใจของหนังสือเล่มนี้ส่วนหนึ่งมาจากพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี เพราะท่านเคยปรารภว่าไม่ค่อยมีหนังสือวรรณกรรมเยาวชนที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ซึ่งเกี่ยวข้องกับเด็กโดยตรง ส่วนมากเป็นพุทธประวัติหรือเป็นชาดก เมื่อทีมงานได้ทราบดังนั้นก็รีบกุลีกุจอนำไปบูรณาการ โดยยังคงไว้ซึ่งแกนหลักของวรรณกรรมเยาวชน เช่น เรื่องมิตรภาพ ความสนุกสนาน จินตนาการ ความฝัน บวกกับกลิ่นอายของความเป็นไทยและธรรมชาติ 
 สำหรับ โสภา ประชาเรืองวิทย์ กรรมการผู้จัดการ สำนักพิมพ์เพิร์ล เชื่อว่าการปลูกฝังให้เยาวชนรักการอ่านเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ไม่ยาก การเริ่มต้นที่ง่ายและเป็นธรรมชาติที่สุดก็คือครอบครัว พ่อแม่ควรให้ความสำคัญกับการอ่าน
 "สำนักพิมพ์เพิร์ลจัดพิมพ์หนังสือเรื่อง 'ลิลลี่กับค่าไถ่ของโจรสลัด' ซึ่งทางทีมงานได้คัดสรรมาเป็นอย่างดีและเชื่อว่าเป็นวรรณกรรมเยาวชนแนวไซไฟ-แฟนตาซีที่มีคุณสมบัติครบครัน นอกจากการผจญภัยและจินตนาการอันน่าตื่นเต้นแล้ว เนื้อเรื่องยังสอดแทรกมุกตลก ให้ข้อคิดเกี่ยวกับความกล้าหาญ ความถูกต้อง ปลูกสำนึกรักษ์ธรรมชาติแก่เยาวชน และให้ความรู้เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน ซึ่งกำลังเป็นประเด็นปัญหาสำคัญในขณะนี้ 'ลิลลี่กับค่าไถ่ของโจรสลัด' จึงเป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย ทั้งครอบครัวสามารถอ่านและแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกันได้"
 หนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับเด็กผู้หญิงอายุ 13 ปี ซึ่งอาศัยอยู่กับพวกชาวประมง ในยุคหลังโลกแตก เทคโนโลยีที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ต่อมามีโจรสลัดเข้ามาบุกที่หมู่บ้าน แล้วจับตัวลูกสาวของนายกรัฐมนตรีไป หมู่บ้านนี้จึงถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด แต่คนในหมู่บ้านกลับชาเฉย ไม่ต่อสู้ ไม่ทำอะไร
 "ลิลลี่ที่เป็นตัวเอกของเรื่องไม่ยอม เธอรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง แล้วเธอก็มีแมวเป็นเพื่อนคู่ใจ เธอจึงไปขโมยอัญมณีที่ล้ำค่ามากของหมู่บ้าน ซึ่งโจรสลัดกลุ่มนี้ตั้งใจจะมาขโมยอยู่แล้ว แต่เธอชิงขโมยก่อนแล้วก็ออกทะเลไป เพื่อจะไปช่วยตามหาลูกสาวของนายกรัฐมนตรี ธีมของเรื่องแสดงถึงความกล้าหาญ แสดงถึงการรักความถูกต้อง อีกเรื่องที่สำคัญมากเลยคือเรื่องนี้เด็กจะใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติมาก เพราะเทคโนโลยีผิดกฎหมายฉะนั้นจะอยู่กับธรรมชาติ พึ่งพิงธรรมชาติ ฉะนั้นเป็นการรณรงค์ไม่ให้เกิดภาวะโลกร้อนไปด้วย"
 องอาจ จิระอร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานหนังสือเล่ม บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) มองถึงคุณค่าของหนังสือในโครงการนี้ว่า
  "หนังสืออาจเป็นต้นทุนของชีวิต แต่กับวรรณกรรมเยาวชนแล้ว นี่คือต้นทุนแห่งมุมมองของความคิด เพราะวรรณกรรมเยาวชน คือสิ่งที่ทำให้คนเรามองเห็นโลกในมุมที่แตกต่าง โดยเฉพาะทำให้เรามองเห็นความหวัง ความฝัน การแบ่งปัน และมิตรภาพ เห็นความงามที่เคยถูกมองข้าม เห็นพลังอันยิ่งใหญ่ในสิ่งเล็กๆ
 วรรณกรรมเยาวชน บอกเราเสมอว่าอะไรคือผลของการให้
 วรรณกรรมเยาวชน บอกเราเสมอว่าชีวิตไม่เคยดำรงอยู่เพียงลำพัง
 วรรณกรรมเยาวชน ทำให้เราเห็นความแตกต่าง เพราะเห็นความต่าง จึงเห็นความฝัน
 และวรรณกรรมเยาวชนก็ทำให้เรากล้าที่จะเดินไปตามเส้นทางแห่งความฝันนั้น เพราะเรารู้ว่าสิ่งที่ลงมือทำมิใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อผู้อื่น"
 องอาจเผยความรู้สึกเมื่อได้อ่านหนังสือ 'แปดคน สามขา บนโลกสองใบ' ว่าสิ่งแรกที่คิดถึงคือน้องชายของเขา เพราะในวัยเด็กเขาและน้องชายตีกันชกกันตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ไม่ต่างจากตัวละครหลักของเรื่องอย่าง 'จิ๊ด' กับ 'จ๊าด'
 "แปดคน สามขา บนโลกสองใบ ชี้ให้เห็นถึงบ้านเรานี่แหละ ชี้ให้เห็นความเปลี่ยนแปลงว่า เดิมทีเราเคยอยู่บ้านที่มีต้นไม้ แต่วันหนึ่งที่หน้าบ้านถูกซื้อไปแล้วเอาไปทำสนามกอล์ฟ โลกก็ตั้งอยู่บนความเปลี่ยนแปลงอยู่แล้วล่ะ มันสอนเด็กเหมือนกันว่า วันหนึ่งหนูตัวเล็ก ก็โตขึ้น ในที่สุดก็ต้องออกไปเผชิญชีวิตด้วยตัวเองเหมือน จิ๊ด กับ จ๊าด"
 นอกจากนี้เขายังให้คำจำกัดความหนังสือเล่มนี้ว่า 'ง่ายงาม' ง่าย…ที่การเล่าเรื่องเป็นธรรมชาติของนักเขียน งาม…ที่ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง
 ด้าน ผ่องเพ็ญ อาชาเทวัญ ประธานกรรมการบริษัท สกายบุ๊กส์ จำกัด กล่าวว่า "จากผลงานของสกายบุ๊กส์ที่สร้างสรรค์หนังสือเพื่อเยาวชนมาโดยตลอด ภายใต้แนวคิด 'นำเรื่องที่ยากมาผลิตใหม่ให้ง่ายขึ้น' ด้วยการ์ตูนภาพประกอบพร้อมเนื้อหาที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย เริ่มต้นด้วยเรื่องแรก 'รามเกียรติ์ฉบับการ์ตูน' ที่ได้รับรางวัลชมเชย จากการประกวดหนังสือดีเด่น ประจำปี 2548 กลุ่มหนังสือการ์ตูนหรือนิยายภาพ และเรื่อง 'สังข์ทองฉบับการ์ตูน' ได้รับรางวัลชนะเลิศ ประจำปี 2549 โดยสำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และล่าสุดจากเรื่อง 'ผจญภัยตามรอยพระพุทธเจ้า (พระเจ้า 500 ชาติ ฉบับการ์ตูน)'
 สำหรับเรื่อง 'โรงเรียนมหาเวท เมจิก อคาเดีย ตอน..เคมีมหัศจรรย์' ที่นำความรู้เกี่ยวกับธาตุชนิดต่างๆ ในวิชาเคมี มาสร้างสรรค์เป็นวรรณกรรมที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานจากการตามหาตุ๊กตาธาตุให้กลับมา และนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการเรียนได้จริง"
 ส่วน วรพันธ์ โลกิตสถาพร กรรมการผู้จัดการบริษัทสถาพรบุ๊คส์ จำกัด บอกว่า "วรรณกรรมสำหรับเยาวชนเป็นหนังสืออีกหมวดหนึ่งที่สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์ตั้งใจผลิตและสร้างสรรค์มาโดยตลอด ด้วยเล็งเห็นว่าถ้าเราบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์เยาว์วัยด้วยความรัก ความดีงาม กล่อมเกลาด้วยวรรณกรรมที่จรรโลงใจ เมื่อเมล็ดกล้าเหล่านั้นเติบใหญ่ เขาก็จะเป็นไม้งามที่ยืนต้นให้ร่มเงาแก่ผู้คนด้วยสำนึกที่ดีเช่นกัน
 'เด็กหญิงรถถัง' ผลงานของ สุริยัน สุดศรีวงศ์ เป็นผลงานสำหรับเยาวชนที่ทางสำนักพิมพ์ภูมิใจนำเสนอด้วยจุดเด่นที่ผู้เขียนแสดงถึงผลจากความรุนแรงของสงคราม โดยมีเด็กหญิงรถถังเป็นตัวเอก เน้นให้พลังของเด็กๆ ที่มองโลกในแง่ดี ซึ่งในที่สุดเธอก็เอาชนะ 'รถถัง' อีกนัยหนึ่งคือ 'สงคราม' ได้สำเร็จ ผู้เขียนใช้รูปแบบการเขียนแนวแฟนตาซี ซึ่งเด็กๆ จะเพลิดเพลินไปกับเนื้อเรื่องที่มีเด็กหญิงผู้มีพลังพิเศษเป็นเสมือนซูเปอร์ฮีโร่ที่ผจญภัยและอุปสรรคต่างๆ ทั้งนี้ เด็กๆ จะเรียนรู้ความหมายของคำว่า 'เพื่อน' หรือกระทั่งพิษภัยของความรุนแรงที่มีชื่อสงครามที่แทรกอยู่ในเนื้อเรื่องโดยไม่รู้ตัว"
 สุดท้าย คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ได้ฝากถึงสำนักพิมพ์ทั้งหลายด้วยว่าสิ่งที่มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็กต้องการเห็นคือหนังสือสำหรับเด็กดีๆ รวมทั้งการใช้ทักษะและกลยุทธ์ดีๆ ไม่ควรสอนตรงๆ แบบนิทานอีสป "นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า" เพราะมันหมดสมัยเสียแล้ว !
 "อย่าลืมว่าอีก 2 ปีกรุงเทพมหานครก็จะเป็นเมืองหนังสือโลก และอีก 4 ปีประเทศไทยก็จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ฉะนั้นก็น่าจะเริ่มคิดแล้วว่าผลิตหนังสืออย่างไร มิเช่นนั้นจะกลายเป็นว่าเราต้องเอาหนังสือจากต่างประเทศเข้ามา ควรจะเป็นหนังสือไทยที่ประชาคมอาเซียนเขาอยากเอาไปแปล…"
 หากมองให้ลึกแล้ว…พันธกิจนี้จะไม่มีทางสร้างแรงกระเพื่อมอะไรได้เลย หากขาดปัจจัยสำคัญ คือ พ่อแม่ ผู้ปกครอง และ สถาบันการศึกษา 
 เพราะนี่ไม่ใช่แค่การหยิบยื่นหนังสือแก่เด็กเท่านั้น ทว่าเป็นการหยิบยื่นอนาคตของชาติอีกด้วย
 
โดย : ปริญญา ชาวสมุน