Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

๑๐๐ ปี ป.อินทรปาลิต : นักเขียนอมตะมหัศจรรย์ของไทย

 

 
ในช่วงงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่เพิ่งผ่านไปนี้ ผมได้รับเชิญไปร่วมอภิปรายเนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปี ชาตกาล ป.อินทรปาลิต จัดโดยสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
 
       เมื่อครั้งที่ผมได้รับแจ้งยืนยันกำหนดการสัมมนานี้ทางอีเมล์ ผมถึงกับว่า – ถ้าใช้ถ้อยคำของ ป.อินทรปาลิต คือ เย็นวาบไปทั้งตัวนั่นแหละครับ – เมื่อรู้ว่าต้องร่วมพูดกับท่านผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งล้วนแต่ “เป็นเอก” ในแต่ละด้าน ได้แก่ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (ซึ่งในวันจริงท่านป่วยจึงขอถอนตัว) ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล พล.ต.โทพีระพงศ์ ดามาพงศ์ และ พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์ ซึ่งท่านสุดท้ายนี้เป็นนักเขียนคนโปรดของผมอีกท่านหนึ่งที่ผมอ่านหนังสือของท่านในช่วงเดียวกับที่รู้จักสามเกลอเลย คือ เรื่องชุดสอยดาวมาร้อยบ่า – หัสนิยายในรั้วโรงเรียนนายร้อย
 
        แล้วผมจะเอาอะไรมาพูดดี ? ผมเป็นเพียงอดีตคอลัมนิส ชั้นจะเรียกตัวเองว่านักเขียนก็ไม่ค่อยเต็มปากเพราะมีผลงานตีพิมพ์ช่วงหลังน้อยเหลือเกิน ถ้าจะมองว่าเป็นนักวิชาการ ในสาขาของผมเองคือด้านรัฐธรรมนูญก็ไม่ใคร่จะเข้าแก๊ปกับงานสักเท่าไร – เมื่อปรึกษากับท่านผู้จัดงานแล้วมานั่งคิดหาจุดตั้งวางตำแหน่งของตัวเองสำหรับเวทีนี้ ก็เลยจะขอเสนอตัวว่า ขอเป็นผู้ให้ความเห็นในฐานะ “นักอ่าน” – คนรุ่นเก่ากลางใหม่วัย 30 กว่าปี ที่พลัดหกตกหลงมาเป็น “นักพยายามเขียน” เพราะถูกกระตุ้นด้วย ป.อินทรปาลิต ก็แล้วกัน
 
        บทความนี้ เป็นส่วนหนึ่งของร่างคำอภิปรายของผมที่ตั้งใจจะไปพูดในงานนั้น แม้สุดท้ายจะไม่ได้พูดทั้งหมดโดยละเอียดเพราะข้อจำกัดด้านเวลา ก็เลยขอนำเอามาประมวลใหม่ในรูปแบบของบทความนำเสนอในเวบไซต์นี้
 
คนรุ่น “Post ป.อินทรปาลิต”
 
       นอกจากประเมินความแตกต่างด้านคุณวุฒิเมื่อเทียบกับท่านผู้อภิปรายทุกท่านก่อนหน้าแล้ว จุดที่ผมแตกต่างจากทุกท่านอีกประการคือวัยวุฒิ – ผมเป็นคนเดียวบนเวทีนี้ที่เกิด “หลัง” การเสียชีวิตของ ป.อินทรปาลิต (ผมเกิดปี 2518 เจ็ดปีหลังการถึงแก่กรรมของท่าน) ถ้าจะเรียกกันเล่นๆ อย่างที่นักปรัชญาชอบใช้ในการแบ่งยุคความคิด ก็อาจจะเรียกได้ว่า ผมเป็นคนยุค “Post ป.อินทรปาลิต” ดังนั้น ท่านจึงไม่ใช่นักเขียนร่วมสมัยสำหรับผม ความโด่งดังขนาดหนักของท่านในยุครุ่งเรืองผมก็ไม่เคยผ่าน บอกตามตรงว่า ผมรู้จัก พล นิกร กิมหงวน ครั้งแรกจากแผงขายหนังสือเลหลังสามเล่มสิบบาท (สามเกลอเล่มแรกที่ผมอ่านนั้นผมซื้อมา คือตอน “หลานนางนาค” ซึ่งจากชื่อจากปกนั้นผมเชื่อว่าเป็นหนังสือเรื่องผีเรื่องสางอย่างที่ชอบอ่าน เลยซื้อติดมา ปรากฎอ่านเข้าไปเล่มเดียวได้เรื่องเลย จากนั้นก็มาตามหาเจอในชั้นหนังสือของคุณพ่อ คุณปู่ที่บ้านในกาลต่อมา)
 
       แต่เพราะเหตุผลนั้นมันอาจจะเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า อย่างน้อยผม, และนักอ่านร่วมรุ่น ก็ไม่ได้อ่าน พล นิกร กิมหงวน และงานอื่นของ ป.อินทรปาลิตเพราะความโด่งดัง หรือเห็นเป็นหนังสือขายดีใครๆก็อ่านกันเลยขออ่านด้วย – เช่นนี้แล้วอะไรเล่าที่ทำให้ ป.อินทรปาลิต มีมนต์วิเศษในการ “ดึง” ให้คนที่เกิดหลังจากที่ท่านละโลกไปแล้วร่วมสิบปีหรือยี่สิบปีมาอ่านหนังสือของท่าน สิ่งใดที่ดูดดึงคนรุ่นผมหรือหลังจากนั้นไปอีก อ่านและ “ติด” งานของท่านอย่างงอมแงมไม่ต่างจากคนร่วมยุคร่วมสมัยของท่านได้อย่างไรกัน และหากจะพิจารณาด้วยว่า คนในรุ่นผมนั้นเต็มไปด้วยสิ่งสร้างความบันเทิงที่เพลิดเพลินตื่นเต้นน่าหลงไหลมากมายกว่าสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูนทั้งไทยทั้งญี่ปุ่น โทรทัศน์ เกมคอมพิวเตอร์ มัลติมีเดียและอินเทอร์เน็ท
 
       และยิ่งกว่านั้น “โลก” และ “ฉาก” ของงานเขียนของท่าน ก็ยังเป็นโลกในยุค พศ. 2482 ถึง 2511 อันเป็นโลกที่พ้นสมัยคนรุ่นที่โตและจำความได้ในยุคนี้ จะเข้าใจหรือ ? กับประเทศไทยในยามที่รถสปอร์ตหรูหราคันละสามพันบาท เจ้าคุณมูลนายคุณหลวงคุณพระยังใช้ชีวิตอยู่ทั่วไป และ แถวหน้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีคูคลองขนาดที่รถยนต์ตกลงไปได้ทั้งคัน ?
 
       ผมเชื่อว่าสิ่งนั้น สิ่งที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้งานของ ป.อินทรปาลิตเป็นอย่างที่คำพระว่า “อกาลิโก” คือสนุกได้และขำได้ไม่จำกัดกาล โดยส่วนตัวแล้ว เชื่อว่าเป็นเพราะ “ลมหายใจ” ที่อยู่ในงาน
 
ความมหัศจรรย์ในความสมจริง “ใน”งานเขียน – งานที่มี “ลมหายใจ” และจิตวิญญาณแห่งยุคสมัย
 
        ผมไม่แน่ใจว่าเป็นแนวคิดของเขาเองหรือไม่ แต่เป็นแนวคิดที่ผมชอบและรับมาใช้ในการวิเคราะห์งานเขียนทั้งหลาย ปราบดา หยุ่น ได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง “เป็น” ของเขาว่า งานเขียนที่ทรงพลังคืองานเขียนที่มี “ลมหายใจ” ของงานเขียน – ซึ่งมาจากผู้เขียน และทำให้งานนั้น “เป็น” – เป็นในที่นี้คือตรงข้ามกับ “ตาย” ซึ่งผมเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ของเขา เพราะจากการสังเกต งานเขียนที่ทรงพลัง จะต้องเป็นงานเขียนที่มี “ลมหายใจ”
 
       ลมหายใจของงานเขียนจะพาเราเข้าไปสู่โลกของงานเขียนนั้น – อย่างแนบเนียนโดยเราไม่รู้ตัว ผมเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้เป็นนักอ่าน และก็คงเคยมีประสบการณ์การอ่านร่วมกันอย่างหนึ่ง คือ อยู่ดีๆเราก็รู้สึก “หาย” เข้าไปในโลกของหนังสือหรือเรื่องที่เรากำลังอ่าน เคยใช่ไหมครับ ที่เราอ่านหนังสือจนลืมไปว่า เรานั่งอยู่ในห้องสมุดหรือนอนอยู่ที่เตียงในห้องนอน เราแทบไม่รู้สึกหรือสัมผัสถึงเวลาและสถานที่ของเราได้เลย สำนึกของเราหลุดไหลเข้าไปในหนังสือที่เราอ่าน ในโลกที่ผู้เขียนได้สร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์ ประสบการณ์นี้เชื่อว่าหลายคนคงเคยพบนะครับ ประสบการณ์ที่เงยหน้าจากหนังสือมาอีกที ฟ้ามืดไปนานแล้ว ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน ท้องเพิ่งจะมาร้องเอาตอนนั้นเอง
 
       นี่คือหนังสือที่มี “ลมหายใจ” ผู้เขียนได้ปลุกโลกของเรื่องแต่งของเขาด้วยลมหายใจของเขาเอง สร้างโลกให้ทุกคนเข้าไปเยี่ยมเยือนทันทีเมื่อเปิดหนังสือขึ้นอ่าน
 
       และเช่นกัน หลายคนอาจจะเคยอ่านงานเขียนบางชิ้นนะครับ ที่อ่านแล้วเราไม่ได้รู้สึก – อาจจะใช้คำว่า “ไม่อิน” ไม่ได้รู้สึกหายตัวไปจากภาวะชั่วคราวเช่นนั้น เรามีความรู้สึกอยู่นั่นเองว่าเราอ่านหนังสือนั้นอยู่ในร้านตัดผม หรือบนโต๊ะทำงานตัวเก่า อย่างไรก็อย่างนั้น เราไม่ได้หายตัวไปไหน หนังสือนั้นเล่าเรื่องให้เรารู้อย่างเป็นคนนอกผู้รับฟัง ไม่ใช่การมองเข้าไปหรือหลุดหายเข้าไปในโลกนั้น นั่นเองคือหนังสือที่ยังขาด “ลมหายใจ” หรือ “จิตวิญญาณ”
 
 
 
       เชื่อว่า คนที่ต้องเสน่ห์แรงดึงดูดของสามเกลอ ล้วนแต่เคยถูก “ดูด” ลงไปอยู่ในกรุงเทพฯ และประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2482 – 2511 แล้วแต่เล่มที่ท่านอ่านนั่นเอง กันมาแล้ว หรือแม้ในสถานที่อันไม่มีจริง เป็นเพียงในจินตนาการเช่น แฮปปี้ฮอลล์ แต่หลายคนคงรู้สึกว่าคุ้นเคยเหมือนได้ไปกินเหล้าที่นั่นพร้อมฟังเพลงจากวงดนตรีคณะนายสมพงษ์ หรือได้ชมการออกฤทธิ์ออกค่างของสามเกลอขี้เมากันมาแล้วจริงๆ หรือกระทั่งหลายคนอาจจะคุ้นเคยกับ “บ้านพัชราภรณ์” เหมือนเป็นบ้านของตัวเอง นึกภาพห้องอาหาร ห้องครัว ห้องรับแขก ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ สระน้ำ คอกม้า ได้อย่างกระจ่างชัดเหมือนบ้านเพื่อนคนหนึ่งที่เคยไปเที่ยว
 
       ผมคงไม่สามารถบอกได้ว่า ป.อินทรปาลิต “ทำได้อย่างไร” – เพราะถ้าผมรู้เทคนิคในการเป่าลมหายใจลงไปในผลงานได้เช่นท่าน ผมคงเป็นนักเขียนชื่อดังกว่านี้ไปแล้วละครับ…
 
        อย่างไรก็ตาม หากจะให้บอกเล่าข้อสังเกตก็อาจจะทำได้บ้าง คือ ป.อินทรปาลิต ท่านเป็นนักให้รายละเอียด ท่านสามารถให้รายละเอียดด้วยถ้อยคำสั้น ง่าย ด้วยภาษาไทยที่แม่นยำแต่ลื่นไหลของท่าน (ท่านเชื่อว่า ภาษาไทยสามารถ “ให้เสียง” ได้ทุกเสียงในโลก) ภาษาที่ท่านใช้สามารถวาดภาพในจิตนาการของผู้อ่านได้ค่อนข้างสมบูรณ์ สังเกตได้จากการบรรยายภาพพระนครกรุงเทพฯ ในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นร้านรวงตึกราม ถนนหนทาง หรือเทศกาลกิจกรรม เช่นงานฉลองรัฐธรรมนูญ ท่านใช้ถ้อยคำง่ายๆ ที่บอกเล่าก่อร่างสร้างภาพอันชัดเจนในจินตนาการของเรา ผมได้เห็นภาพงานฉลองรัฐธรรมนูญจริงๆ เอาจากหนังสือของ ท่านอาจารย์ ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ก็ประหลาดใจมากว่า “ภาพ” ที่ผมวาดไว้ในวัยเด็กเมื่อได้อ่านสามเกลอตอนเที่ยวรัฐธรรมนูญ กับภาพถ่ายที่เหลือรอดมาจนยุตสมัยนี้นั้น เกือบตรงกันเลย
 
       และที่สำคัญ งานเขียนของท่านยังมีสิ่งที่เรียกว่า “จิตวิญญาณแห่งยุคสมัย” – นอกจากฉากที่สมจริงแล้ว “ความคิด” กับ “จิตวิญญาณ” ของคนในยุคนั้น ก็ถูกท่านนำมาชลอไว้ในหนังสือ และมันจะกลับมากระซิบบอกเล่าเมื่อเราเปิดอ่าน
 
       เราได้เห็นว่า ในยุครัฐนิยมนั้น ประชาชนมีความตื่นเต้นตื่นตัวกับนโยบายแปลกใหม่ของจอมพล ป. (ช่วงก่อนสงครามโลก) อย่างไร เราสัมผัสความ “เห่อ” รัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยของคนสมัยนั้นจากหลายตอนที่กล่าวถึงงานฉลองรัฐธรรมนูญ เรารู้สึกได้ถึงความหวาดหวั่นที่จะถูกจับไป “บางเขน” เหมือนเช่นสี่รัฐมนตรีในยุคจอมพล ป. และความ “ใหญ่โต” ของบรรดาอัศวินแหวนเพชรของท่าน (ช่วงหลังสงครามโลก) อย่างไร และความนิยมในตัวจอมพลสฤษดิ์ มาจากการปราบ “อันธพาล” ที่ “ครองเมือง” ในยุคแห่งความกลัว ตลอดไปจนถึงต้นยุค “คอมมิวนิสต์” ซึ่ง ป.อินทรปาลิตได้แสดงจิตวิญญาณเหล่านั้นไว้อย่างแยบคายเป็นธรรมชาติ ผ่านบทสนทนาและการดำเนินเรื่องโดยไม่ได้ตั้งใจ – แต่เพราะไม่ได้ตั้งใจนี้เองจึงเป็นธรรมชาติ เพราะเป็นสิ่งที่คนยุคนั้น สังคมยุคนั้น รู้สึกนึกเห็นเช่นนั้นจริงๆ ท่านเพียงแต่นำมา “ชะลอ” ไว้เป็นตัวอักษรเท่านั้น ต่างจากงานบันทึกประวัติศาสตร์บางอย่างที่สอดใส่เอาอุดมการณ์ ความคิดทางการเมือง หรือแม้แต่การสร้างความชอบธรรมให้แก่อำนาจของคนกลุ่มตน เป็นลักษณะของ “ประวัติศาสตร์ที่ถูกสร้าง”
 
 
 
       ซึ่งเราไม่พบเจตนาเช่นนั้นในงานของ ป.อินทรปาลิต เพราะท่านไม่มีเจตนาใดๆ นอกจากบอกเล่าความคิด ความรู้สึกของท่านอย่างซื่อสัตย์ผ่านตัวละครทั้งหลาย
 
       การ “ให้ลมหายใจ” และ “ระบายจิตวิญญาณ” ลงในงานเขียนของท่านนี้เอง ทำให้งานเขียนของท่านมีความมหัศจรรย์ การสร้างโลกของงานเขียนให้คน “หาย” ลงไปในโลกนั้นได้ว่ามหัศจรรย์แล้ว – งานเขียนของท่านยังทำให้คนอ่านรู้สึกว่า – “โลก” ในงานเขียนของท่าน “หลุด” ออกมาจากหน้าหนังสือ มาอยู่ร่วมรวมตัวกับโลกเดียวกันกับที่ผู้อ่านอาศัยอยู่ได้อีกด้วย
 
ความมหัศจรรย์ในความสมจริง “นอก” งานเขียน – ตัวละครที่อยู่รอบตัวเรา
 
        ผมเอง และเพื่อนนักอ่านสามเกลอหลายคน รวมทั้งเชื่อว่าหลายท่านที่อ่านบทความนี้ด้วย คงจะมีความรู้สึกแปลกๆ ที่ตรงกันอย่างหนึ่งว่า – บางครั้งแรามีความรู้สึกเหมือนคณะพรรคสี่สหายนั้น “มีตัวตนจริงๆ”
 
        นักอ่านท่านหนึ่งเคยเล่าว่า ครั้งหนึ่งเขาไปกินอาหารที่ภัตคารห้อยเทียนเหลา (สมัยที่ยังไม่ปิดกิจการ) เขาก็แอบเหลียวๆมองๆว่า จะมีชายหนุ่มท่าทางอารมณ์ดีสี่คนกับตาแก่หัวล้านพุงพลุ้ย พากันมานั่งกินหรือไม่
 
        และบางคนเคยเดินเล่นหรือขับรถผ่านถนนพญาไท เพชรบุรี หรือแถวสุขุมวิท แล้วชะเง้อหาว่า บ้านพัชราภรณ์อยู่ไหนหนอ – แม้แต่ผมเองช่วงที่ทำงานแถวพาหุรัด ยังเคยไปตามหา “ศิวิไลซ์พาณิชย์” เลย
 
        ความรู้สึกเช่นนี้เป็นมนต์วิเศษของงานเขียนของ ป.อินทรปาลิต ที่ยากแก่การอธิบาย ไม่ได้เป็นไปเพราะการ “ละลืม” ความเป็นจริง แต่เรารู้สึกว่า “มันเป็นจริง” ของมัน “จริงๆ” เรารู้สึกว่าสามเกลอและคณะพรรคสี่สหายอาจจะ “ดำรงอยู่” ในซอกเงาของความเป็นจริงรอบตัวเราจริงๆ – ผมเชื่อว่า แฟนของเรื่องชุดสามเกลอนี้จะคงเข้าใจสิ่งที่ผมกล่าวไปแม้จะวกวนไปบ้าง
 
        ตัวอย่างในเรื่องของความรู้สึกว่าตัวละครในเรื่องชุดสามเกลอนั้นมีตัวตนจริง มีตัวอย่างที่แสนคลาสสิกอยู่เรื่องหนึ่ง หลายคนคงเคยได้ยินวาทกรรมที่เล่าล้อต่อกันมาว่า เขียนหนังสืออย่างนั้นอย่างนี้ หรือกระทั่งเล่นเวบบอร์ดตอบกระทู้แล้ว อาจจะได้ไปคุยกัน “สันติบาล” หลายคนที่โตมาใน พ.ศ. นี้ คงนึกไม่ออกว่า เรื่องแบบนี้สันติบาลเกี่ยวอะไร แต่จะขอเล่าว่า อย่างน้อย ป.อินทรปาลิตนี่แหละครับ เคยต้องไป “คุย” กับสันติบาล เพราะการ “เขียนหนังสือ” มาแล้ว
 
 
 
        เมื่อปี 2490 ป.อินทรปาลิตได้นำเสนอนิยายบู๊โลดโผนที่เป็นตำนานอีกเรื่องหนึ่งของวงการ เรื่องของจอมโจรผู้ดีตกยากที่ปล้นคนรวยมาช่วยคนจน จอมโจรผู้รักความยุติธรรม หัวหน้าแห่งซ่องโจรเชิ้ตดำ นาม “เสือใบ”
 
       เสือใบของท่านโลดแล่นในหน้านิตยสาร “ปิยมิตร” สร้างวีรกรรมตื่นเต้นสะเทือนขวัญชนิดตำรวจก็ต่อกรไม่ได้ เป็นอันต้องหนีญะญ่ายพ่ายจะแจให้แก่เสือดำทุกคราวไป จนกระทั่ง “ผู้การ” ของ “สันติบาล” ในยุคนั้นทนไม่ได้ ต้อง “ขอแสดงความนับถือ” เชิญท่านผู้เขียนไปที่สันติบาล แล้วขอร้องให้ยุติเรื่อง “เสือใบ” นี้เสีย เพราะนอกจากจะเป็นเรื่องหยามเกียรติศักดิ์ของผู้พิทักษ์สันติราษฎรแล้ว ยังอาจจะเป็นการปลุกใจให้คนเห็นว่าการเป็นเสือเป็นโจรนั้นเป็นเรื่องโก้เก๋น่าเลียนแบบ ซึ่งในขณะนั้น – จากคำบอกเล่าของคุณปริญญา อินทรปาลิต หลานปู่ของ ป.อินทรปาลิต ก็ได้เล่าว่า แฟชั่นฮิตที่สุดของวัยรุ่นสมัยนั้น คือใส่เสื้อเชิ้ตดำ กางเกงดำ เหมือนจอมโจรก๊กเสือใบกันเลยจริงๆ
 
       จากเรื่องที่เล่ามานี้ อาจสรุปได้ว่า – ไม่เพียงแต่ปัจเจกชนอย่างผมหรือใครหลายคนหรอก ที่เชื่อว่าโลกของเรากับโลกในหนังสือของ ป.อินทรปาลิต มี “รูหนอนเชื่อมมิติ” ที่มองไม่เห็นมาบรรจบกันอยู่สักที่ใดที่หนึ่ง และที่นั่น ตัวละครของท่านจะมีตัวตน มีเลือดเนื้อ มีชีวิต อยู่ร่วมกับพวกเราจริงๆ – หากทาง “ราชการ” เองก็ยังเชื่อเช่นนั้นเลย ! เสือใบของ ป.อินทรปาลิต นั้นเกิดมีตัวตนขึ้นเป็นจริงเป็นจังในมโนสำนึกของตำรวจ หลอกหลอนอาละวาดจนสันติบาลจะต้องดำเนินการอย่างไรอย่างหนึ่งกันเลยทีเดียว
 
ป.อินทรปาลิต – นักเขียนแนวสัจจนิยมมหัศจรรย์
 
       นอกจากความมหัศจรรย์อันมีวิญญาณของตัวหนังสือของ ป.อินทรปาลิต ซึ่งก่อให้เกิดทั้งความสมจริงภายใน และความสมจริงภายนอกแล้ว ยังมี “ความมหัศจรรย์” อีกอย่างที่ผมอยากจะกล่าวถึง เป็นข้อสังเกตส่วนตัวเล็กน้อย อาจจะไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการในการแบ่งสกุลของวรรณกรรมไปบ้าง ก็อาจจะต้องขอแรงผู้รู้ผู้ศึกษาช่วยอภิปรายกันต่อไป
 
       มีผู้สรรเสริญ ป.อินทรปาลิตว่า ท่านเป็นนักเขียนที่เขียนหนังสือได้ทุกรสทุกแนว ทั้งแนวรัก โศก ตลก บู๊โลดโผน วิทยาศาสตร์แฟนตาซี ไปจนถึงแนวเพื่อสังคม อันนี้เชื่อว่านักอ่านและนักวรรณกรรมทั้งหลายคงจะเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ส่วนตัวแล้ว ผมใคร่ขอเสริมเพิ่มอีกแนวหนึ่งซึ่งเป็นการสังเกตส่วนตัวของผมเอง ว่า เรื่องชุดสามเกลอ พล นิกร กิมหงวน ของ ป.อินทรปาลิตนั้น อาจจะจัดอยู่ในรูปแบบงานเขียนแนว สัจนิยมมหัศจรรย์ (Magical Realism) หรือไม่
 
       งานเขียนแนวสัจนิยมมหัศจรรย์นี้อาจจะเป็นแนวใหม่ในการจำแนกงานเขียน ตามความเข้าใจของผม – ผู้ไม่ได้เรียนวรรณกรรมมาโดยตรง ผมเข้าใจว่า งานแนวสัจนิยมมหัศจรรย์นี้ จะต้องเป็นงานที่ “โลก” ของ “เรื่อง” นั้นเป็นโลกของเหตุผลอันสามัญ หรือโลกที่ใช้เหตุผลอย่างสมจริงแบบตรรกะวิทยาศาสตร์ หรือเป็นโลกใบเดียวกับเรานั่นเอง แต่ในโลกนี้ กลับมีปรากฎการณ์ “เหนือจริง” ที่ปรากฎขึ้นมา แบบไม่ต้องให้เหตุผลหรือกล่าวถึงที่มาที่ไปใดๆของมัน เสมือนหนึ่งว่า ความมหัศจรรย์เยี่ยงนั้นมันก็เป็น “เหตุผล” ของโลกอันสมจริงนี้ได้ด้วยเช่นกัน เหมือนเราไม่สงสัยว่าทำไมไฟถึงลุก น้ำถึงไหล เราก็ไม่สงสัยเหมือนกัน ว่าทำไมคนคุยกับแมวได้
 
        ในขณะที่แนวจินตนิยาย (Fantasy) นั้น จะสร้าง “โลก” ที่มีเหตุผลอัน “มหัศจรรย์” ขึ้นมาเพื่ออธิบายความมหัศจรรย์นั้น เช่น การวางกฎเกณฑ์ของโลกในเรื่องว่า ทำไมถึง “มหัศจรรย์” เช่นนั้นได้ เช่นการวางระบบโรงเรียนเวทย์มนต์ในแฮร์รี่ พอตเตอร์ หรือการสร้างโลกสมมติไร้กาลขึ้นมาหนึ่งใบ อย่าง The lord of the rings คือโลกมหัศจรรย์ที่สร้างขึ้นนั้นเอง เป็นผู้อธิบายกลไกของมหัศจรรย์นั้น
 
       งานในสกุลนี้ที่มีชื่อเสียงก็เช่นงานของ กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ (Gabriel García Màrquez) – “หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว” หรือของ ฮารูกิ มูราคามิ (Haruki Murakami) หลายเรื่อง เช่น “แกะรอยแกะดาว” หรือ “คาฟก้า วิฬา นาคะตะ” กระทั่งงานของนักเขียนไทยหลายท่านก็อาจจำแนกในสกุลนี้ได้ เช่น งานของอนุสรณ์ ติปยานนท์ บางชิ้นอย่าง “มรณสักขี” หรืองานของกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ เช่น “แม่มดแห่งหุบเขา” (ปรากฎในรวมเรื่องสั้น “แผ่นดินอื่น”) ก็มีผู้วิเคราะห์ว่าเป็นแนวสัจนิยมมหัศจรรย์เช่นกัน
 
        งานสัจนิยมมหัศจรรย์อาจจะมีไว้เพื่อเล่าเรื่องหรือรับใช้อุดมการณ์ หลายอย่าง แต่สำหรับงานของ ป.อินทรปาลิตนั้น – ท่านใช้สัจนิยมมหัศจรรย์เพื่อ “รับใช้” อารมณ์ขันของท่านเองและผู้อ่าน
 
       ตัวอย่างที่สวยงามของการใช้เหตุผลแบบเหนือจริงมา “คลี่คลาย” ลงในเหตุผลของความจริง เช่น ในตอนหนึ่ง สี่นาง – ภรรยาของ คณะพรรคสี่สหายอยากจะติดตามว่า ที่ผัวๆตัวเองไปเที่ยวสำมะเลเทเมาตอนกลางคืนนั้น พวกเขาไปไหน และทำอะไร – วิธีการติดตามทำอย่างไร… ป.อินทรปาลิตก็เลยหาทางออกให้อย่างคาดไม่ถึงว่า ให้สี่นางหายตัวไปตามผัว ! โดยเธอทั้งหลายขอให้ ดร.ดิเรกแปลงสภาพให้กลายเป็นมนุษย์ล่องหน เพื่อติดตามไปเฉ่งบรรดาสามเกลอถึงแฮปปี้ฮอล ในตอน “ล่องหนผู้หญิง”
 
       หรือในสามเกลอหลายตอน ก็มีการพูดถึงอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ แบบกลมกลืนกันไปโดยไม่แปลกแยกจากแกนเรื่องหลัง ซึ่งเรื่องชุดสามเกลอ พล นิกร กิมหงวน ก็ไม่ใช่เรื่องแนวเหนือจริงหมดจดเสียทีเดียว (แม้ผู้เขียนมักจะออกตัวไว้เสมอว่างานของท่านคือการ “โกหก” ให้ผู้อ่านฟัง) หากสี่สหายและคณะก็ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับประชาชนชาวไทยในยุคนั้นอย่างกลมกลืน มีส่วนร่วมในกิจกรรมเยี่ยงสมาชิกของสังคมในยุคนั้น ไปรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้นเสด็จนิวัติพระนคร ไปส่องพระสนามพระหลังศาลฎีกา ไปดูฟุตบอลนัดสำคัญ เชียร์โผน กิ่งเพชร ชิงแชมป์โลกครั้งแรก ฯลฯ พล นิกร กิมหงวน มีชีวิตอยู่ในโลกของเขาอย่างสมจริงทั้งภายในและภายนอก ดังที่ผมได้กล่าวไปแล้ว หากแต่ในบางครั้ง ผู้เขียนก็เรียกเอา “ความมหัศจรรย์” วางใส่ลงไปได้อย่างแนบเนียนและไม่ติดขัด – เรา – ผู้อ่านทั้งหลายเชื่อว่า ดร.ดิเรกสามารถทำให้คนล่องหนได้จริง ผลิตหุ่นยนต์ที่โต้ตอบได้ราวกับมีชีวิตจริงๆ ไม่ใช่เรื่องนอกเหตุเหนือผล หรือต้องไปอยู่ในโลกวิทยาศาสตร์ล้ำยุคหรือดินแดนสมมติกลางป่าลึก แต่อย่างใด ความกลมกลืนของเหตุผลและความเหนือจริงนี้ ไม่แตกต่างจากที่เราเชื่อว่าผู้เฒ่านาคะตะในหนังสือของมูราคามิ จะสามารถคุยกันแมวได้จริงๆ
 
ป.อินทรปาลิต – จิตวิญญาณอมตะที่ยังไหลเวียนอยู่ในตัวนักอ่านและนักเขียนทั้งหลายตลอดกาล
 
       หัวข้อของการอภิปรายต้นเรื่องนี้ คือ “ป.อินทรปาลิต นักเขียนอมตะมหัศจรรย์ของไทย” – ผมได้กล่าวไปแต่เฉพาะแง่มุมของ “ความมหัศจรรย์” ของ ป.อินทรปาลิต แล้ว แล้วความอมตะละอยู่ตรงไหน ?
 
       แปลตรงตัว “อมตะ” แปลว่า “ไม่ตาย” (อะ คำอุปสรรคแปลว่าไม่ – มะตะ ตาย) ถ้าเรามองการ “ไม่ตาย” ในความหมายแคบว่า “ไม่มีวันสิ้นชีวิต” ในทางกายภาพแล้วนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ขัดต่อทั้งหลักวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนาว่าทุกสิ่งเป็นของไม่เที่ยง
 
       แต่ถ้าเรามองกันในมิติพันธุกรรม ว่าหากสิ่งมีชีวิตสามารถ “ถ่ายทอด” รหัสเชื้อชีวิตหรือ DNA ของตน ไปเจริญเติบโตในสิ่งมีชีวิตอื่น โดยการสืบพันธุ์ถ่ายรหัสดังกล่าวไปในสิ่งมีชีวิตรุ่นลูกรุ่นหลานแล้ว พันธุกรรมเชื้อชีวิตของสิ่งมีชีวิตนั้นก็จะถ่ายทอดไปไหลเวียนอยู่ในชีวิตอื่นเรื่อยๆ อย่างไม่สิ้นสุดไปตราบที่ยังมีทายาทอยู่ – เช่นนี้เราอาจจะมองว่าเป็นความ “ไม่ตาย” ในทางพันธุกรรมนั้น
 
       ทั้งนี้ หากนักเขียนท่านหนึ่งสามารถ “ถ่ายทอด” จิตวิญญาณของท่าน แทนที่ DNA ไปสู่คนรุ่นหลัง ผ่านตัวอักษรอันทรงพลังแล้ว “จิตวิญญาณ” ของนักเขียนท่านนั้นก็จะ “วนเวียน” อยู่ในตัว “ผู้อื่น” และถูกถ่ายทอดต่อไปเรื่อยๆ บางคนอาจจะพัฒนาไปเป็นนักเขียนเยี่ยงเดียวกันท่าน เป็นการสืบทอดเชิงจิตวิญญาณอย่างไม่จบสิ้น ไม่รู้จักตาย เช่นนี้อาจจะถือว่าเป็น “อมตะในทางวรรณกรรม” ก็ได้กระมัง
 
       ป.อินทรปาลิต ได้ส่งต่อ DNAแห่งจิตวิญญาณบริสุทธิ์ ปรารถนาดี และรับผิดชอบต่อผู้อ่าน ผ่านอารมณ์ขันของท่าน สืบทอดต่อไปยังนักอ่านและนักเขียนหลายท่าน วนเวียนอยู่ในตัวเราโดยไม่รู้ตัว รุ่นต่อรุ่น
 
       ผมเชื่อว่านักเขียนหลายๆท่าน ได้รับพลังและจิตวิญญาณแห่งการเขียนหนังสือนี้ไปจากท่าน หลายคนทีเดียวที่มีท่านเป็นแรงบันดาลใจให้ลุกขึ้นมาเขียนหนังสือในทุกวันนี้
 
       และอาจจะดูบังอาจ แต่ผมก็อยากกล่าวว่า จิตวิญญาณบางส่วนของ ป.อินทรปาลิต อาจจะยังวนเวียนอยู่ในตัวผม นับแต่ที่ผมตัดสินใจจะเขียนเรื่อง “เสือใบสอง” (ซึ่งเป็นลักษณะที่ปัจจุบันเราเรียกว่า “แฟนฟิกชั่น” – Fan’s fiction) ให้เพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนมัธยมศึกษาปีที่หนึ่งของผมได้อ่าน – ตอนนั้นผมผูกเรื่องง่ายๆเลย คือ ใครคนหนึ่งอ่านหนังสือ “เสือใบ” แล้วเลื่อมใส เลยตั้งตัวเป็นเสือใบที่สองบ้าง
 
       ในครั้งนั้น ผมได้รู้จักความสนุกของการสร้าง “โลก” แห่งตัวหนังสือขึ้นมาด้วยตนเอง หลังจากเป็นผู้ท่องเที่ยวในงานของท่านก่อนหน้านี้มานานหลายปี
 
       และผมยังคงสนุกเช่นนั้นอยู่จนทุกวันนี้ครับ.
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก http://www.chezplayers.com/article.php?id=145