ในความเดียวดาย

ฤดูร้อนปี ค.ศ. 1999 มีบทกวีที่อ้างว่าเป็นของ "กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ"
นักเขียนละตินอเมริกันชาวโคลัมเบียผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าของรางวัลโนเบลปี 1982
จากผลงานอมตะ "หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว" ถูกส่งต่อในโลกไซเบอร์สเปซอย่างครึกโครม
ว่ากันว่าเป็นรำพึงความในใจถึงเพื่อนพ้องก่อนที่พญามัจจุราชจะมาพรากชีวิตเขาจากไป เวลานั้นมีข่าวลือว่ามาร์เกซกำลังป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ทำให้เขาต้องวางมือจากงานเขียนทั้งหมดและหลบลี้หนีหายจากสังคมไปอยู่ในโลกส่วนตัวเงียบ ๆ รอคอยวันสุดท้ายของชีวิต
ได้ยินแบบนี้ใคร ๆ ก็ใจหาย แถมบทกวีชิ้นนั้นก็แสนจะสั่นสะเทือนอารมณ์ด้วยถ้อยคำอลังการกินใจแบบนักเขียนใหญ่เท่านั้นที่จะกลั่นกรองออกมาได้
ไม่ต้องสงสัยว่าบรรดาสาวกของมาร์เกซจะตกอกตกใจขนาดไหนกับเนื้อความที่สื่ออารมณ์อันแสนโดดเดี่ยวของคนที่มีเวลาเหลืออยู่บนโลกน้อยนิดแต่ยังปรารถนาที่จะอยู่กับความรักและคนที่รัก เป็นโศลกร้องขอชีวิตจากพระเจ้าเพื่อจะได้ทบทวนสิ่งที่ควรทำและลงมือทำในสิ่งที่ถูกต้องก่อนที่จะจากทุกคนไป
ฟอร์เวิร์ดเมล์ถูกส่งออกไปนับล้านฉบับภายในเวลาไม่นานด้วยความเชื่อ คล้อยตามกัน โดยเฉพาะหลังจากหนังสือพิมพ์รีพับลิกของเปรู นำบทกวี
"La Marioneta" หรือ "The Puppet" ลงตีพิมพ์ในเดือนพฤษภาคมปี 2000
หลังจากนั้นก็มีหนังสือพิมพ์อีกหลายฉบับ คัดลอกไปเผยแพร่ต่อ โดยเฉพาะ La Cronica ของเม็กซิโก ที่พาดหัวตัวใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่งเลยว่า "Gabriel Garcia Marquez sings a song to life"
เท่านั้นแหละ สถานีวิทยุโทรทัศน์และสื่อสารพัดชนิดก็นำบทกวีแปลเป็นภาษาอังกฤษไปเผยแพร่ต่อทั่วโลก เหมือนไฟลามทุ่ง แต่หลังจากนั้นไม่นานความจริงก็ปรากฏ เมื่อคนใกล้ชิดของมาร์เกซยังยืนยันว่า เขาไม่ได้เจ็บป่วยอย่างที่เป็นข่าว จนในที่สุด Johnny Welch นักเขียนมือสมัครเล่นชาวเม็กซิกันต้องออกมายอมรับความจริงว่า เขาเป็นเจ้าของผลงานชิ้นนี้เอง โดยเขียนอุทิศให้กับหุ่นชื่อ Mofles และนำขึ้นเผยแพร่บนเว็บไซต์ แต่ด้วยเหตุผลกลใดไม่ปรากฏ ชื่อของกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ กลายมาเป็นเจ้าของผลงานแทนเขา
มาร์เกซไม่ได้แสดงความเห็นใดต่อเรื่องนี้ เขายังใช้ชีวิตอย่างสมถะในเมืองเม็กซิโกซิตี และยังคงเขียนหนังสืออย่างต่อเนื่อง โดยนิยายเล่มล่าสุดเขียนเสร็จเมื่อปี 2004 คือ Memoirs of My Melancholy Whores (ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ แต่ยังนำออกฉายไม่ได้เพราะถูกต่อต้าน) และหลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏผลงานใด ๆ ของเขาอีกเลย
คาดกันว่า Memoirs of My Melancholy Whores น่าจะเป็นวรรณกรรม ชิ้นสุดท้ายในชีวิตของเขาแล้ว เพราะแม้แต่เอเย่นต์ส่วนตัวก็ออกมายืนยันว่า
ตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา มาร์เกซยังไม่ได้จับปากกาเขียนอะไรอีกเลยแม้แต่บรรทัดเดียว แม้แต่ในวันเกิดครบรอบ 80 ปีของเขาเมื่อ ค.ศ. 2007 ที่
โคลัมเบียบ้านเกิดเฉลิมฉลองกันอย่างครึกโครมด้วยเสียงพลุดอกไม้ไฟและผีเสื้อกระดาษที่โปรยหว่านจากท้องฟ้าไปทั่วเมือง ส่วนที่กรุงมาดริดมีการอ่านหนังสือ
หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว อย่างมาราธอนข้ามวันข้ามคืน เขาก็ยังเก็บตัวเงียบเชียบไม่ไปฉลองกับใครที่ไหน รวมทั้งปฏิเสธการพบปะกับผู้คนในแวดวงวรรณกรรม ปฏิเสธการแถลงข่าวและความเป็นอยู่ที่หรูหราทั้งหลายทั้งปวง
ไม่น่าเชื่อว่าหนึ่งทศวรรษผ่านไปแล้ว บทกวีชิ้นนั้นยังถูกฟอร์เวิร์ดต่อไปอีกเรื่อย ๆ ด้วยความเข้าใจผิดแต่เดิมว่าเป็นผลงานของมาร์เกซ วันหนึ่งมันเดินทางมาถึงฉันอีกรอบ เป็นรอบที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้เสียแล้ว แต่คราวนี้มาพร้อมกับรูปแบบใหม่ของไฟล์ที่มีภาพประกอบสวยงาม ถ้อยคำถูกเสริมแต่งให้ลุ่มลึกดึงดูดใจยิ่งขึ้น
แม้จะไม่ใช่บทกวีของกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ ฉันก็ยังยินดีอ่านด้วยความซาบซึ้งตรึงใจอย่างเคย โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่านักเขียนอาวุโสท่านนี้วางปากกาลงแล้วอย่างสิ้นเชิงในวัย 83 ปี
เมื่อนักเขียนวางปากกาก็ไม่ต่างไปจากจิตรกรวางพู่กันของเขาลงเฟรมผ้าใบขึงตึงยังตั้งอยู่ข้างหน้า แต่บนผืนผ้านั้นว่างเปล่ารอคอยให้จินตนาการออกมาขับขานบทกวีเติมสีสร้างภาพ
ถ้าเราเป็นมาร์เกซ จะรู้สึกอย่างไรหนอที่ได้แต่มองหน้ากระดาษเปล่าโดยไม่อาจร่ายคำใด ? กาลเวลายังเป็นพระเจ้าแท้จริงที่ใครก็ไม่อาจเอาชนะได้
ความชราเมื่อมาถึงแล้วไม่มีทางเลี่ยงได้ นอกจากต้องยอมรับและอยู่กับมันเพื่อรอนาทีสุดท้ายที่จะได้เห็นโลกนี้
เราจะมองโลกอย่างไรในห้วงเวลาที่สุดแสนเดียวดายก่อนจะหมดลมหายใจ นั่นต่างหากคือสิ่งที่น่ากังขา เราจะอยู่กับความโดดเดี่ยวนั้นได้แบบไหนหนอ เพราะความหนุ่มสาวทำให้เราหลงเพ้อว่าจะมีวันพรุ่งนี้อยู่เสมอ
แต่ถ้าไม่มีวันพรุ่งนี้ ?…บทกวี The Puppet บอกไว้ว่า
อย่ากล่าวทุกถ้อยคำที่คิด แต่จงใคร่ครวญให้ลึกซึ้งก่อนเปิดปาก
จงหลับให้น้อยลงแต่ฝันให้มากขึ้น ออกเดินต่อไปขณะที่คนอื่นหยุด และตื่นในเวลาที่พวกเขาหลับ
จงใส่ใจกับเสื้อผ้าให้น้อยลง แต่เปิดเปลือยตัวตนและจิตวิญญาณให้มากขึ้น…
อย่าหยุดรักเมื่อแก่ตัวขึ้น เพราะความชราจะมาเยือนทันทีที่คุณหยุดมีความรัก
จงมอบปีกให้เด็ก ๆ แล้วปล่อยพวกเขาเรียนรู้การโบยบินเพียงลำพัง…
ใคร ๆ ก็ปรารถนาจะยืนอยู่บนยอดเขาโดยหารู้ไม่ว่าความสุขที่แท้อยู่ระหว่างทางที่ป่ายปีน
หากมีอีกสักวันให้แก้ตัว จงพูดในสิ่งที่รู้สึก ทำในสิ่งที่คิด จุมพิต โอบกอด บอกรักคนสำคัญในชีวิตของคุณ ปกป้องดูแลหัวใจพวกเขาเท่าชีวิต
จงบอกรักออกมาเป็นถ้อยคำ เพราะไม่มีใครสามารถจดจำสิ่งที่อยู่ในใจคุณได้
ทำแบบนี้ได้ เราอาจมีช่วงเวลาสุดท้ายที่ไม่เดียวดายนัก
(หน้าพิเศษ D-Life)
คอลัมน์ DEJAVU
โดย สุมิตรา จันทร์เงา
วันที่ 05 เมษายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4198 หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ